ความคิดเห็นที่ 1 ก็อย่างที่ น้องเค้าถามนะครับคุณหมอ จะว่าไงครับเกี่ยวกับ รักษาฟรี ของ ปชป ครับ..เอาแบบตรงประเด็นกันเลยครับ.. เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดออกมา คุณหมออาจจะตอบว่ายังไม่รู้รายละเอียดเลยยังบอกไม่ได้ก็ได้ครับ.. แต่ในเมื่อหลักการของทั้งสอง ประเภทเป็นไปในทางเดียวกัน.. แล้วจะว่าอย่างไรครับ.. เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ..ไม่ได้ต้องการจะหาเรื่องหาราวอะไรนะครับ..เด๋วจะเข้าใจผิด แต่อยากถามในฐานะ หมอคนนึงที่มีความคิดที่ค่อนข้างจะดีอยู่ไม่น้อย. ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่ ได้มีการโจมตีนโยบาย 30 บาท มาค่อนข้างมากครับ.. แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 49 18:29:08 จากคุณ : T_Romance - [ 8 ส.ค. 49 18:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คิดว่าต่อไปคงมีการปรับปรุงด้านต่างๆให้ดีขึ้นได้ แต่คงต้องใช้เวลาครับ จากคุณ : Start now - [ 8 ส.ค. 49 18:31:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนจะสงเคราะห์ขึ้นมาได้ถึงระดับไหน ก็แล้วแต่ว่า ทางรัฐมีความพร้อม เพียงใด ครับ ถ้าอย่างปัจจุบัน สงสารน้องๆ ที่อยู่ตามรพ.ชุมชนเล็กๆ ที่ต้องมาแบกรับคนไข้จำนวนมาก ในงบจำกัด เงินจำกัด คนจำกัด ตรวจคนไข้มากๆ ผิดพลาดก็มีเรื่องมีราว ให้เครียด เป็นข่าวกันทุกวันครับ ทุกวันนี้ หมอตามรพ.ชุมชน ทำงานเกินเกณฑ์ที่ควรจะเป็น  อย่างเช่นคนนึง ตรวจคนไข้กันวันล่ะเป็นร้อย ดังนั้น ต้องบอกว่าเสี่ยงต่อความผิดพลาดมากเกินไป ครับ ฝากทุกรัฐบาล ใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยดูด้วยครับ ...................................................... ชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต  คลุกคลีกับคนอาชีพเป็นแพทย์ เห็นด้วยกับ ข้อความทุกอักษรของ จขกท...นะคะ เมื่อก่อนพ่อเคยรักษาคนอื่นมามากมาย   มาวันนี้ พอพ่อต้องถูกคนอื่นรักษา  เดือนหนึ่งต้องมาโรงพยา บาลทุกครั้ง  ก็มองเห็นตามที่  จขกท...บอกนะคะ ..***ขอให้สรุปเอาเองนะคะว่าเราจะปรับ สามสิบ บาทรักษาทุกโรคอย่างไร ....ให้มันสมดุลย์ลงตัวกว่านี้ จากคุณ : กตัญญูกตเวทีคุ้มครองโลก - [ 8 ส.ค. 49 18:40:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ประเด็นที่ผมพูด ไม่ได้เน้นพรรคใดๆทั้งสิ้น ถ้าประชาธิปัตย์ บอกว่า รักษาฟรีได้ และรักษาคนไทยทั้งหมด เหมือนที่ไทยรักไทย ทำ ผลก็ออกมาเหมือนกัน ครับ คือมีปัญหาอย่างที่เกิดอยู่ตอนนี้ ในความพร้อมที่รัฐมีอยู่แค่นี้ ดังนั้น ใครที่เข้ามา  จะต้องประเมิน ขีดความสามารถ ของเงินทุน และทรัพยากร ที่เรามี ว่า จะแบ่ง ออกมาใช้กับ คน ระดับไหน บ้าง ถึงจะเหมาะสม ได้ประโยชน์สูงสุดครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 8 ส.ค. 49 18:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ความคิดเห็นที่ 3   กฏหมายต้องใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันแบบ30บาทครับหมอ เราจะแยกว่าไอ้นี่จนไอ้นี่รวย เราเอาอะไรมาวัดครับ สู้ให้การบริการเท่าเทียมกัน แตถ้าคนมีเงินเขาเห็นว่าถ้าเขามารักษา30บาทแล้วเขาต้องเข้าคิว หรือได้รับบริการไม่พิเศษไปจากชาวบ้านเขาไม่มาใช้สิทธิ์ดีกว่าครับ จากคุณ : maxjasun  - [ 8 ส.ค. 49 18:38:07 ] กฏหมายใช้กับคนทุกคน ถูกต้องเท่าเทียมกันถูกต้อง ครับ แต่การสงเคราะห์ นี่ ต่างกันครับ การสงเคราะห์ ควรสงเคราะห์คนที่ควรได้รับ หรือจำเป็นต้องได้รับก่อนเสมอ ครับ แม้แต่การเก็บภาษี เราก็เว้นให้คนรายได้น้อยเก็บคนได้มากก่อน ครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 8 ส.ค. 49 18:46:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เข้าใจครับผม ทางพรรคการเมือง กำลังเล่นแง่ เกทับกันอยู่ แต่ปัยหาจริงๆ มันอย่ที่ งบประมาณ กับ บุคลากร แล้วก็ คนไข้ ว่าเกิดความไม่สมดุลย์กัน ว่าแต่จะทำไงดี เอาเป็นว่าผมจะพยายามป่วยให้น้อยที่สุดก็แล้วกัน จะได้ช่วยลดภาระ ของหลายๆคนลง... รัฐเปิดให้ความรู้ด้านสุขภาพ คนจะได้ป่วยกันน้อยลง ก็ น่าจะดี.... จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 8 ส.ค. 49 18:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทุกวันนี้ก็มีการแบ่งระดับอยู่เนืองๆ นะครับ.. สำหรับท่านที่ทำงาน ก็จะมี ประกันสังคม ตรงส่วนนี้เป็นสิทธิที่นำมาใช้ได้จริงนะครับ สำหรับคนทำงานและคนที่ประกันตนเอง.. การประกันชีวิตและประกันสุขภาพ คนจำนวนไม่น้อยนะครับที่ถือกรมธรรม์นี้.. ซึ่งในขณะนี้บริษัทประกันต่างๆ ออก แคมเปญ จูงใจทำให้ยอดของผู้ถือกรมธรรม์แบบนี้เพิ่มขึ้นครับ.. สำหรับ บัตร 30 บาท.. อันนี้ผมว่าอาจจะต้องกล่าวเลยไปถึง จริยธรรม คุณธรรม ของผู้ถือบัตรชนิดนี้ด้วย ความหมายคือ หากผู้ใดมีกำลังพอที่จะจ่ายในค่ารักษาพยาบาลใดๆเองได้ก็ควรต้องจ่ายเพื่อให้ โครงการ 30 นั้นเหลือพอที่จะตกไปถึงผู้ที่ไม่มีโอกาสตามจริงครับ.. แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 49 18:56:07 จากคุณ : Vee&Cat - [ 8 ส.ค. 49 18:55:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ : Vee&Cat ถุกต้องเลยครับ........... จากคุณ : ไก่ชน - [ 8 ส.ค. 49 19:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณหมอจะสื่อ นะครับ.. แต่อยากแย้งนิดนึง ที่ห่วงในเรื่อง"ชนชั้นกลางมาแย่งสิทธิคนจน" ดังนี้นะครับ.. (ขออนุญาตใช้ข้อมูลปี 47 ถ้าเทียบกับปัจจุบัน สัดส่วนคงไม่ต่างกันมาก) 1) ประชากรทั้งประเทศ  = 65  ล้านคน 2) จำนวนคนที่อยู่ในวัยทำงาน(มีรายได้)  = 36  ล้านคน ที่เหลือ 29 ล้านคน คือคนวัยชราและเด็กที่ยังไม่ได้ทำงานมีรายได้  <== ส่วนนี้ผมถือว่าควรได้รับสิทธิอยู่แล้ว เพราะไม่มีรายได้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง น่าจะถือว่าเป็นคนจน 3) มาดูที่ 36 ล้านคน ของผู้ที่ทำงานมีรายได้(จากข้อ 2) ขอแบ่งเป็น.. - คนจน(กรรมกร ลูกจ้างและเกษตรกรรายได้น้อย)  = 20 ล้านคน - ชนชั้นกลาง(ที่พอมีรายได้) ที่คุณหมอฯพูดถึง  =  16  ล้านคน 4) ในชนชั้นกลาง 16 ล้านคนนี้.. เป็นข้าราชการ 1.5 ล้านคน(ที่ใช้สิทธิข้าราชการได้) และพนักงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม อีก 8.6 ล้านคน(ที่ใช้สิทธิประกันสังคมอยู่) 5) ดังนั้นจำนวน"ชนชั้นกลาง" ที่มาแย่งร่วมใช้สิทธิกับ"คนจน" ก็เหลือเพียง  = 5.9 ล้านคน.. ผมว่า  5.9 ล้านคนนี้ มาใช้สิทธิร่วมกับคนจนและผู้ที่ยังไม่มีรายได้จำนวน  49 ล้านคน.. อาจจะกระทบบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่.. ซึ่งน่าจะดีกว่า"การมาจัดระบบแบ่งแยกชนชั้น" ว่าคนนั้นควรได้สิทธิ คนนี้ไม่ควรได้.. ซึ่งจะเพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้นเข้าไปอีก นะครับ.. . จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน - [ 8 ส.ค. 49 19:29:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ปชป. น่าจะเอา 29 บาทรักษาทุกโรค จะใกล้เคียงกัน หรือกลัวชาติไทย28บาท ประชาราด 27 บาท เลยเทหมดหน้าตัก 0 บาทรักษาทุกโรค จากคุณ : แมวเกเร - [ 8 ส.ค. 49 19:35:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบาย 30 บาทพร้อมกันทั่วประเทศพร้อมกันทีเดียวโดยไม่ค่อยๆจัดลำดับชั้นการได้สิทธิ์ เพราะคำนวณแล้วว่าโดยส่วนใหญ่บุคคลกรทางการแพทย์ เค้ารับได้ (ยกเว้นบางพื้นที่ห่างไกล) แต่เดิมคนไข้ยากจนมักทนเจ็บป่วยอยู่กับบ้านเพราะไม่มีกะตังค์ เจ็บหนักก็ถูกหามมาก็รักษาที่โรงพยาบาลโดยงบอนาถา (ก็ฟรีอยู่ดี) และมักเสียค่ารักษามาก  หรือไม่ลูกหลานก็ต้องไปก่ออาชญากรรมหาเงินมารักษาอีกที อย่างน้อยการประกาศใช้โครงการ 30 บาท ทำให้รัฐได้รับข้อมูลเชิงสาธารณสุขที่แท้จริงจากทั่วประเทศ ว่าใครในพื้นที่ส่วนไหนมักจะเป็นโรคอะไร ข้อมูลชุดนี้มีประโยชน์ในการจัดโปรแกรมสาธารณสุขเชิงป้องกัน และในระยะยาวคนไข้ก็น่าจะน้อยลง  และที่เห็นผลชัดๆก็ตอนไข้หวัดนก ที่ประเทศไทยสามารถป้องกันและกำราบการระบาดอย่างได้ผล เพราะมีข้อมูลด้านสาธารณสุขที่ถึงกันอย่างเป็นเครือข่าย ทั้งนี้เพราะคนไข้กล้าไปโรงพยาบาลทันที ถ้าเป็นสมุยก่อนคงนอนตายอยู่ที่บ้านแล้วแพร่เชื้อไปทั้งหมู่บ้าน ดีไม่ดีโรคอาจจะกลายพันธุ์เป็นแบบจากคนถึงคนได้แล้ว ยังงัยก็ต้องถือเป็นอานิสงค์ของโครงการนี้ครับ จากคุณ : บิ๊กแหนม - [ 8 ส.ค. 49 19:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 กรณีที่ จขกท. เสนอขึ้นมาก็น่าสนใจมาก คนพอมีฐานะไม่น่าที่จะมาเบียดเบียนผู้ที่ด้อยโอกาส เจ้าของนโยบายนี้น่าจะแบ่งระดับความช่วยเหลือตามเศรษฐฐานะ.... เมื่อพิจารณาผ่านๆอย่างรวดเร็วก็น่าจะเป็นเช่นนั้น คล้ายการยกเว้นภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อย แต่สมมตินะ ถ้าเป็นผู้มีรายได้อยู่บ้างเอาเป็นว่าเดือนละ 15000 บาท แต่ป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้เงินมหาศาลในการรักษา เช่น ผ่าตัดหัวใจ  หรือใส่สายสวนหัวใจ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น .....  ในตอนนี้ยังไม่มีเส้นที่จะแบ่งได้อย่างชัดเจนระหว่างคนพอมีตังค์บ้างกับไม่มี เพราะตัวโรคภัยไข้เจ็บมีความรุนแรงมากน้อยไม่เท่ากัน วัดไม่ได้เหมือนรายได้สุทธิที่จะต้องเสียภาษีหรือไม่เสียภาษี.... ปัญหาจริงๆมันอยู่ตรงที่คนพอมี(ทั้งตังค์และความรู้)เอาเปรียบคนด้อยโอกาสอย่างที่ จขกท. ตั้งประเด็นขึ้นมา จะเอายาเยอะๆบ้าง ขอยาเพิ่มเติมที่ไม่เกี่ยวกับโรคที่เป็นบ้าง พอไม่ได้ก็งอแง โวยวาย แต่ตรงนี้น่าจะใช้ระบบหรือระเบียบมาจัดการได้ สิทธิของผู้ป่วยมีอยู่ สิทธิของผู้ถือบัตรทองมีอยู่ ป่วยเป็นโรคอะไรก็จะได้ยาตามโรคที่ป่วย ถ้าจะขอยาเพิ่มเติมหรือยาอื่นๆไปเก็บเผื่อไว้ที่บ้าน ก็ต้องเคารพว่าผู้อื่นก็มีสิทธิของเขาเหมือนกันเท่าๆกับที่คุณมี ต้องช่วยกัน(สั่ง)สอน ให้คนที่คิดถึงตัวเองมากกว่าส่วนรวมได้คิด ได้อาย จะได้ไม่เอาเปรียบผู้อื่น หากอยากได้ตามใจที่อยากก็ควรไปตรวจรักษาจากสถานพยาบาลเอกชนที่เขาพร้อมจะให้ตามที่ท่านขอ เพราะท่านต้องจ่ายตังค์เอง ด้วยความเคารพในความคิดเห็นของ จขกท. ดีใจที่มีหลายมุมมอง ให้ช่วยกันคิด ช่วยกันออกความเห็น ช่วยกันผ่อนคลายความอึดอัดใจให้โล่งขึ้น เผื่อวันหน้ามีใครใจ รดน. มาเป็นผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมือง จะได้นำความคิดเห็นที่หลายหลากไปปรับปรุง พัฒนาให้สิ่งต่างๆในบ้านนี้เมืองนี้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จากคุณ : คนขี้สงสัย (Dr.Pete) - [ 8 ส.ค. 49 19:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พึ่งไปหาหมอตาที่คลีนิคมา นอนๆอยู่ตื่นมาตาบามสงสัยโดนแมลงต่อย ไปถึงไม่เห็นคนไข้สักคนเห็นหมอนั่งหาวดูทีวีกับเมียอยู่ที่นั่งรอของคนไข้ พอเห็นผมก็เรียกเข้าห้องตรวจมองตาผมไม่ถึง3วินาที บอกสงสัยแมลงต่อยเรียกผมไปรับยา ได้ยาหยอดขวดเล็กๆไม่มียี่ห้ีอกับยาเม็ดมา10เม็ด บอกราคา 890 บาท อะไรจะแพงปานนั้น กับมาถึงบ้านพอตกเย็นหน่อยตาก็ยุบจนเกือบหายแล้วท้ิงยาไปไม่ใช้เลยเสียดายไม่นึกว่าจะแพงขนาดนี้ไม่น่าโง่ไปหาหมอเลย คลีนิคหมออยู่ติดกับคลีนิคหมอเด็ก คนไข้เยอะมากๆจนล้นออกมารอคิวข้างนอกตลอดเวลา ซึ่งหมอเด็กนี่มาเปิดหลังหมอตาคนนี้อยู่เกือบ6ปีแต่เปิดไม่ถึง2ปีจากที่มีห้องเดียวเหมือนกัน ขยายเป็น3ห้องแล้ว ได้ยินจากเพื่อนว่าพ่อเค้ารู้จักกับหมอตา    ชอบบ่นให้ฟังว่าไม่น่าเืลืิอกเป็นหมอตาเลยถ้า้เป็นหมอเด็กก็รวยไปแล้ว ผมก็คิดว่ายังงั้นทําไมร้านหมออื่นๆถึงไม่เคยเห็นคนไข้ล้นออกมานอกร้านเหมือนหมอเด็กเลย เป็นทุกร้าน ผ่านไปเห็นทุกที อีกที่หมอกระดูกที่แม่ผมไปหา ได้ยินจากร้านขายของชําที่อยู่ติดกันว่าแกชอบบ่นว่าไม่น่าเลือกเป็นหมอกระดูก  ถ้าลูกโตจะให้เป็นหมอฟันแทนจะได้รวยๆ เพราะหมอกระดูกจะได้เงินเยอะทีคนไข้ต้องเป็นหนักๆ แต่หมอฟันได้เงินง่ายกว่ามากๆ ทั้งๆที่ผมก็เห็นว่าหมอกระดูกคนนี้ก็รวยอยู่นะมีบ้านหลังใหญ่โต รถเก๋งหลายคัน **อยากรู้ว่าคนที่ทุกคนในโลกไซเบอร์ยอมรับว่าเป็นคนดีอย่างคุณหมอJ คิดยังไงกับนายกคนปัจจุบันครับ คุณหมอเชื่อเรื่องที่คนอื่นเค้ากล่าวหากันอยู่หรือเปล่าโดนเฉพราะเรื่องโกง** แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 49 20:53:52 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 49 20:48:59 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 49 20:45:41 จากคุณ : sui44 - [ 8 ส.ค. 49 20:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นใจคุณหมอครับ ที่อยากให้มองตรงจุดที่มาตราฐานการรักษาของคนไข้ก่อนก็เข้าใจนะครับ แน่นอนครับเมื่อการรักษามาก  โอกาสผิดพลาดก็มีมากตามไปด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือ การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอย่ามโหฬาร ขวัญ  กำลังใจ แพทย์ก็ลดลง จนไม่อยากทำงานให้กับรัฐ มันเป็นปัญหาที่ซ่อนในปัญหา เมื่อแก้ปัญหา ก็ เกิดปัญหาตามมา แต่เราจะละเว้นไม่แก้ปัญหาก็ไม่ได้ ส่วนเรื่องการ คัดสรร คนไข้ ก่อนรับสิทธิ์ ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย ผมมองมุมนี้นะครับ " 30 บาทพลาดรักษาคนรวย 100 คน  ดีกว่า คัดสรรแล้วคนจนตาย ไปคนเดียว" (ส่วนตัวและครอบครัว...มีประกันกับ บริษัทเอกชนทุกคน เพราะเห็นประโยชน์การทำประกันสุขภาพ ) จากคุณ : ฐานันดรที่โหล่ - [ 8 ส.ค. 49 21:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ จขกท ครับอยากให้ดูสังคมชั้นรากหญ้านะครับที่มีรายได้ต่อวันไม่น่าจะถึง 200 บาทเดือนนึงไม่ถึง 6000 บาท แบบนี้ยังมีอยู่ในประเทศไทยและมีมากด้วยนะครับทุกคนมีลูกมีแม่และหลายคนที่ต้องใช้เงินจำนวนไม่เกิน 6000 บาทมาดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือบางคนได้เงินไม่ถึงแบบที่ผมบอกด้วยซ้ำ แล้วเวลาพวกเขาเจ็บไข้ละครับถ้าไม่มี 30 บาทรักษาทุกโรคคุณคิดว่าเขาจะหาเงินที่ใดมาล่ะครับเมื่อต้องใช้เงินรักษามากกว่ารายได้เขา ผมเคยเห็นผู้ป่วยอนาถานอนรอความตายเมื่อไม่มีเงินรักษาอยู่ในโรงพยาบาลก่อนที่จะมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคครับมันสท้อนใจในคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งคำพูดว่าคนจนเจ็บป่วยไม่ได้นั้นมันเป็นคำพูดที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน แล้วในเมื่อเขาสามารถรักษาได้จะไม่ให้เขามีโอกาสหรือครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลหรอกครับถ้าไม่ป่วยจริงๆ จากคุณ : คมคนไธ - [ 8 ส.ค. 49 22:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ปัญหา ของเรื่องนี้ มีสองอย่างหลักๆ คือ 1. จำนวนหมอ : คนไข้  เป็นอัตราส่วนที่น้อยเกินไป 2. จำนวนเงินที่ รัฐจัดให้ น้อยเกินไป ปัญหา แรก หนักกว่ามาก  ถ้า จะทำแบบ หมอ J ว่า คงจะช่วยผ่อนคลายได้มากทีเดียว แล้วค่อยๆ ทะยอย ผลิตแพทย์ ออกมา ซึ่ง ขณะนี้ รัฐบาล ได้มี โปรแกรม ผลิตแพทย์ ออกมา 50,000 คนใน 10 ปี เริ่มปี 2550 นี้ครับ แต่ปี 2550 นี้ คงได้ นศ.พ.ใม่ ไม่ถึง 5,000 อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนงบประมาณ นั้น ถ้าทาง รพ. จะแจ้ง เหตุผลความจำเป็นไปให้ทางหน่วยเหนือ เชื่อว่า จะมีทางออก อีกเรื่องหนึ่ง คือ การรณรงค์ ป้องกัน โรค และ ส่งเสริมความรู้ ด้านสาธารณะสุขพื้นฐาน ให้มากขึ้น และเกิดความตระหนัก ในระดับหมู่บ้าน   เชื่อว่า จำนวน คนไข้ ที่เทมายัง รพ. จะน้อยลง แล้ววันนั้น บุคคลากร ทางสาธารณะสุข คงจะได้มีความสุข กะเขาบ้าง จากคุณ : น้าพร - [ 8 ส.ค. 49 23:28:49 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาเบิ่ง...ทัศนะสายตรงจากคุณหมอ jfk ^^~* ทุ้ก่อน ผุ้ตั้งกระทุ้ต้องการทราบคคห. ว่า 30บาทรักษาทุกโรค... ของทักษิณ มันประชานิยมชัด ๆ ทีนี้คุณหมอเจอนโยบายคุณอภิสิทธิ์ แล้วคิดยังไง .. .. .. พี่หมอครับ พี่หมอ เห็นไล่นายกฯ30บาท ..มาร์คฟรีทุกโรคเอาไงล่ะครับ ^ ^ การไม่ชอบนโยบายทรท. ไม่ได้หมายความว่าเราต้องชอบ ปชป. อ่านทุ้ก่อน คล้าย ๆ ว่าตกลงจะเย้ยคุณหมอที่ต่อต้านทักษิณ ... ยังไง ชอบกล  . . . ( เด๋วขอฟังคคห.ต่อละกันค่ะ ) จากคุณ : Sary - [ 9 ส.ค. 49 00:42:45 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ส่วนหนึ่งที่น่าจะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องการจัดการงบประมาณได้ น่าจะเป็นระบบข้อมูล ที่ตรวจสอบได้ทันทีว่าคนคนนี้ มีสิทธิรักษาจากสิทธิไหน จาก 30 บาท หรือ ประกันสังคม หรือ ประกันสุขภาพส่วนตัว แล้วดำเนินการเรื่องการเบิกจ่ายเงินตามนั้น.. อาจจัดลำดับความสำคัญของการเรียกเก็บให้ดีด้วย.. รวมทั้งน่าจะเพิ่มอิสระในการโยกย้ายเงินจาก รพ. หนึ่ง ไปอีก รพ. หนึ่ง.. (แต่ตรงนี้ ก็เข้าใจว่ามันกระทบกับงบประมาณของ รพ. ด้วย) ยายผม ทะเบียนบ้านอยู่พระโขนง แต่สิทธิ 30 บาท ไปอยู่ รพ. เลิดสิน.. (บางรัก) ฟังดูแล้วมันแหม่งๆ อะนะ.. จากคุณ : Wobbegong - [ 9 ส.ค. 49 01:02:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณลุงหมอ  JFK   เขียนได้เยี่ยมแล้วครับ ประเด็นที่  1ตอบ  กระทู้เดิมที่  post   ไว้โดยน้องหมอ  ADERNALIN ปชป    หาเสียง  หวังแย่งฐานคะแนนเสียงจาก  ทรท เพราะ  ปชป  คงมองแล้วว่า   ฟรี  ไม่ต่าง  กับสามสิบบาท จากคุณ : คนเมล่อ - [ 9 ส.ค. 49 01:14:38 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ต่อ   โดยส่วนตัวผมว่ายังยังงัย  ก็ไปไม่รอดขึ้นอยู่ว่าช้าหรือเร็ว หรือไม่ก็หาเงินได้มาโปะมากกว่าที่จ่าย  ซึ่งที่ผ่านมาเห็นมองกันจังเลยกองทุนประกันสังคม  กับ  กองทุนสวัสดิการข้าราชการ จากคุณ : คนเมล่อ - [ 9 ส.ค. 49 01:15:26 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ต่อ  ซึ่งต้องยอมรับว่า ทรท  น่าจะหาเงินเก่งกว่า  ปชป   หรือไม่ก็ต้องส่งเสิรมการวิจัยอย่างหนักผลิตยาเอง ก้อปปี้ยาเอง  รวมกับส่งเสริมการศึกษาอย่างหนัก   ส่งเสริมการป้องกันโรค อาจจะรวมกับออกกฎหมายการกระทำ Euthinasia ได้ถ้าผู้ป่วยร้องขอในผู้ป่วยระยะสุดท้าย  รวมถึงหยุดการยื้อชีวิตในผู้ป่วยสูงอายุ และส่งเสริมการทำพินัยกรรมชีวิตในผู้สูงอายุทุกคน ผมว่ารวม  รวมกันทั้งหมด   น่าจะอยู่รอด รู้ไว้อย่างคนเราไม่มีทางชนะธรรมชาติหรอก เรารักษาโรคหนึ่งได้สุดท้ายก็ต้องไปตายกับอีกโรคอยู่ดี ประเด็นที่สองจากกระทู้ที่แล้ว เห็นเถียงกันจังเลยว่า  ถ้าให้รักษาฟรี แล้วคลินิกจะเจ๊ง ผมว่า  อาจเป็นได้สำหรับบางแห่ง  แล้ขึ้นกับความสามารถของหมอด้วยครับ ที่ไหนคนไข้มาก  การตรวจก็จะห่วยกว่าธรรมดาเพราะมีเวลาดูน้อย และยิ่งต้องคอยนาน ความสัมพันธ์ระหว่างการรักษา  patient  doctor  relationship  ไมมี     ผมว่าอันนี้ทำให้  placebo  effect  มันลดลงไป  โรคที่รักษาแม้เป็นยาเดียวกัน แต่ได้คนละแห่ง  ทำไมคนไข้ถึงบอกว่าคลินิกดีกว่า และอีกอย่างหัตถการบางอย่างคิวโรงพยาบาลนานมากจนผู้ป่วยขี้เกียจคอยต้องไปทำคลินิก เช่นอัลตร้าซาวด์    2decho  ผ่าตัดเล็ก ประเด็นที่  3 คห   10  ของคุณเพดานช่างฝัน ข้อมูลผู้สูงอายุ  กับเด็กไม่มี รู้ไหมโรคที่กินงบประมาณมากก็มาจากผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังทั้งนั้นครับ นักเศรษฐศาสตร์เคยรวบรวมข้อมูลไว้ ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล  70-80% มันอยูที่ 1-2  ปีสุดท้ายก่อนเราเสียชีวิตครับ สิ่งที่   จะทำให้โครง สามสิบบาทล้มเหลวคืออะไรรู้มั้ยครับ คือการที่ อายุของคนเรานานขึ้น  ทำให้ต้องซ่อมสุขภาพบ่อยขึ้น และจากกรที่เรามีความรู้และเทคโนโลยีดีขึ้น  แต่ไม่ได้คิดเองต่างหาก  ทำให้เราต้องใช้เพื่อซ่อมชีวิตโดยต้องยินยอมจ่ายราคาแพง  ซึ่งการวิจัยตัวยาก็จะหลายตัวเพราะร่างกายมันซับซ้อนทำให้ต้องเสียเงินมาก ซึ่งผมไม่แปลกว่าบริษัทยา  รวยเอาทุกวัน และสุดท้ายก็คือผู้ป่วยโรคเอดส์  หนึ่งล้านคนที่ไม่ได้พูดถึง  นีแหละคอยกัดกินสังคมอย่างช้าช้า  จากภาระที่ต้องดูแล  จากการแพร่เช้อของผู้ป่วยกินยาต้านไวรัสที่ไม่มีมโนธรรมบางคน ที่จริงมีอีกหลายแง่มุมว่าง  ว่างจะมาแสดง  ความคิดเห็น จากคุณ : คนเมล่อ - [ 9 ส.ค. 49 01:16:54 ]

ความคิดเห็นที่ 23 จากข้อควาข้างบนต้องตัดเป็นสามท่อนเนื่อจาก มีคำไม่สุภาพโดยใช้คำว่า(ยกเลิกไปเลยโรงเหล้า โรงบุหรี่  ทำได้หรือเปล่า)  ทำให้ต้องตัดทอนออก จากคุณ : คนเมล่อ - [ 9 ส.ค. 49 01:20:28 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แนวทางในนโยบาย 30 บาท ประเด็นของหมอ คือ เลือกที่รัก (คนจน) มักที่ชัง (คนรวย) เลือกสงเคราะห์ให้ถูกที่ และถูกคน อันนี้เป็นขั้นนำนโยบายนำไปปฏิบัติ และนำไปใช้ ในความคิดที่ถูกต้องของหมอ แต่ตรรกะบางอย่างของหมอมันขัดกันเองน่ะ "คนชั้นกลาง หรือคนมีเงิน ที่ได้รับสิทธิ์ จะอ้างความชอบธรรมที่จะใช้สิทธิ์ ของตน (ที่รัฐมอบให้ ทั้งที่ความจริงเค้าอาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ) พวกนี้คือคนที่มีความรู้มีปากมีเสียง ในการเรียกร้องสิทธิ ของตน ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เกรงใจ" นี่คือมุมมองหรือทัศนคติของหมอ คือ เกรงใจชนชั้นกลาง หรือคนมีเงิน ซึ่งเป็นที่มาของการปฏิบัติที่ทำให้เกิดการให้บริการเลื่อมล้ำ ถ้าคนพวกนี้ขออะไรก็ให้ แต่ถ้าคนชนชั้นล่าง หรือคนจน ไม่เอ่ยปากขอ หมอเองก็ไม่เอ่ยปากให้ ประเด็นของกระทู้นี้ก็จะวกย้อนกลับไปที่กระทู้ของน้องเค้าที่ น้องเค้าเปิดประเด็นว่า มันขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณ และจิตวิญญาณในการเป็นหมอเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง คนไข้หรือคนป่วยทุกคนเท่าเทียมกัน โดยปราศจากทัศนะคติกับคำว่า "เกรงใจ" ต่อคนรวย มากกว่า คนจน ตรงนี้ต้องไปว่ากันที่เรื่องตัวบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของจิตสำนึกในการให้บริการมากกว่า ต้องทำการอบรม หรือฝึกให้รับการกับสภาวะการณ์แบบนั้น ส่วนในแง่หลักบริหาร ก็ต้องแล้วแต่ความสามารถของผู้บริหารโรงพยาบาลแต่ล่ะแห่งแล้วล่ะ ว่านอกจากความสามารถในวิชาชีพที่ตนเองมีอยู่ สามารถบริหารการเงินได้มากน้อยเพียงใด หมอเก่งในวิชาชีพบางคน แต่ไม่ได้เก่งในเรื่องทำธุรกิจ ก็อาจใช้ชีวิตอุทิศตนตามอุดมคติที่ตั้งมั่นไว้ อย่างพออยู่พอกิน ไม่ได้หวังร่ำรวยจากอาชีพหมอ หมอธรรมดาในวิชาชีพบางคน แต่เก่งในเรื่องทำธุรกิจ ก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างร่ำรวยจากอาชีพของตนเอง แต่เราก็ไม่สามารถไปกล่าวโทษเค้าได้ เพราะแต่ละคนมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้นจะหาหมอที่เก่งทั้งด้านวิชาแพทย์ และด้านบริหาร รวมถึงมีหลักมนุษยธรรมในตัว มันก็ยากพอๆ กับหานายกที่เก่งไปทุกเรื่อง คนที่ไม่เก่งอะไรเลย แต่รู้จักบริหารงาน และใช้คนเป็น จะทำประโยชน์ได้มากกว่า คนที่มีความรู้ แต่ไม่มีความสามารถในการบริหารงาน และบริหารคน แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 02:00:20 จากคุณ : เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม - [ 9 ส.ค. 49 01:24:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมกลับมองว่าปัญหามันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นกลางมากกว่าครับ ถ้าเป็นผม การที่จะทำบัตรสามสิบ ต้องมีการพิจารณารายได้ต่อหัวก่อน ที่หมอ JFK บอกเรื่องว่าที่ไหนควรทำหรือไม่ควรทำก่อนผมว่ามันแปลก ๆ นะครับ คนจนมันก็มีอาศัยอยู่ทั่วไปทุกที่นะหละครับ เราจะเลือกปฎิบัติได้อย่างไรหรอ คนจะตาย หมอ ดันบอกว่าอยู่เขตนี้ตายก่อน ให้เขตโน้นเขารอดหรือครับ แค่ยกตัวอย่างนะครับ นี่หละคือปัญหาของชนชั้นกลางที่ชอบเอารัดเอาเปรียบจนน่ารังเกียจ จากคุณ : Vincent Van Gogh - [ 9 ส.ค. 49 01:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เห็นด้วยกับ #25 สถานภาพของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน คนรวยอาจเปลี่ยนแปลงเป็นคนจนได้ ไม่ว่าจะทางใด เช่นไฟไหม้ หรือประสบอุบัติเหตุจนพิการไม่อาจปฏิบัตงานได้ หรือกรณีบริหางานกิจการจนล้มละลายเป็นต้น ส่วนคนจนก็อาจจะเป็นเศรษฐีได้ในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะบากบั่น ขยันทำมาหากิน ถูกล็อตเตอรี่ แล้วอย่างยิ่ง การเจ็บไข้ได้ป่วย มันไม่เข้าใครออกใคร และไม่ได้เจาะจงพื้นที่ เจาะจงเป็นเวลา ส่วนในพื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพเอง ก็มีแหล่งชุมชนแออัดกระจายไปอยู่ทั่วทุกแห่งเหมือนกัน สังคมเมืองหรือชนบท มันมีคนรวยคนจนปะปนกันทุกที่ ดังนั้นการเลือกพื้นที่นั้นในทางปฏิบัติทำยาก ไม่งั้นหมอจะไปเปิดโรงพยาบาลเอกชนในชนบทเพื่อเป็นทางเลือกให้ชาวบ้านได้อย่างนั้นหรือ จากคุณ : เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม - [ 9 ส.ค. 49 01:55:51 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมคิดว่าน่าจะขยายคนที่ใช้สิทธิประกันสังคมให้กว้างขึ้น จากระดับ 9 ล้านคน  ต้องเพิ่มเป็นเท่าตัวให้ได้โดยเร็ว จะช่วยแก้ไขปัญหา  การใช้สิทธิบัตรทองที่เกินกำลังรับ เช่น ให้สิทธิในการประกันตนเองได้เรื่อยๆ  หลังเกษียณ การขยายสิทธิในการรักษาพยาบาลไปยัง พ่อแม่  ภรรยา และ ลูกๆ ซึ่งไม่ได้ทำงาน  (โดยอาจต้องจ่ายต่อเดือนเพิ่มเล็กน้อย) ถ้าประกันสังคมขยายวงกว้างออกไป   การรับภาระของบัตรทองก็จะลดลงไปเอง  เป็นเรื่องธรรมดา... ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายครับ คุณมาร์คน่าจะเล่นตรงนี้มากกว่า  การประกาศรักษาฟรี.... แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 02:49:20 จากคุณ : เฟยหง - [ 9 ส.ค. 49 02:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ปัญหาประกันสุขภาพ  มักจะมองกันแต่ในด้านการรักษาพยาบาลเท่านั้น ความจริงคุณหมอคงจะทราบดีว่าโครงการนี้ เน้นหนักที่งานส่งเสริม ป้องกันมากกว่า คือพูดง่ายๆว่าต้องสร้างมาก่อนซ่อม  แต่ผู้ปฎิบัติทั้งหลายตั้งแต่แพทย์ลงมาจนถึงระดับล่างในหน่วยบริการสุขภาพมักชอบทำงานซ่อมมากกว่างานสร้าง เพราะคงต้องยอมรับกันว่างานส่งเสริมป้องกันทำได้ยากมากต้องทุ่มกันสุดชีวิต เสี่ยงต่อการโดนด่า  ซึ่งหากไม่มีใจรักจริงก็จะท้อ ทำให้ต้องทุ่มเงินที่ได้รับไปใช้ในงานรักษาเกือบหมด 30 บาท ก็เลยเถียงกันแต่เรื่องเงินไม่พอใช้  ทั้งๆที่เป็นการให้พื้นที่ จัดสรรงบประมาณในการใช้เองตามความเหมาะสมของพื้นที่  ถ้าคุณจะให้งบประมาณเหลือก็ต้องเน้นงานเชิงรุก ทำงานในพื้นที่หนักขึ้น การทำงานจะทำเดี่ยวๆไม่ได้ ต้องร่วมมือกันทั้งพื้นที่ คุณหมอคงต้องยอมรับนะว่าในพื้นที่หมอแทบเป็นเทวดาถ้าหมอมีใจรักชาวบ้านเข้าไปสัมผัสกับเค้า  งานส่งเสริมที่ว่ายากมันกับง่ายกว่าปอกกล้วยอีก แต่คิดว่าที่มีหมอออกมาต่อต้านส่วนหนึ่งน่าจะเป็น การที่จะปรับเปลี่ยนผู้บริหารเป็นบอร์ดบริหาร โดยใช้มืออาชีพเข้ามาบริหารแทนแพทย์ แพทย์ก็มีหน้าที่รักษา ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนไป แต่วันนั้นอาจมาไม่ถึงก็ได้ จากคุณ : amitra - [ 9 ส.ค. 49 08:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมว่าเรื่องการกำหนดว่าใครควรได้รับสิทธิ์ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากครับ มันมีปัจจัยหลายอย่าง แค่แบ่งรายได้อย่างเดียวไม่ได้แน่ ๆ แต่มีข้อสังเกตว่า ถ้า หมอเจ คิดแบบนี้มาตลอด แสดงว่า แนวคิดมัน ok แต่ต้องปรับแก้ในบางจุด ถ้าหมอคิดได้ หมอคนอื่นก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน ก็ไม่น่าถึงกับจะต้องมีหมอออกมาประท้วงเรื่องนี้นะครับ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 08:58:26 จากคุณ : Alucard - [ 9 ส.ค. 49 08:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องการผลิตแพทย์เพิ่มเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงนะ เพราะที่ได้ยินมาให้ผลิตเพิ่มแต่ไม่ให้เงินเพิ่ม หรือนักศึกษาแพทย์บางคนของโรงพยาบาลศูนย์ก็ใช้เส้นสอบเข้า จำนวนพอเพียงแต่วินิจฉัยโรคผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน และระวังจะเป็นแบบ ปัญหาขาดแคลนครูเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ครูขาดก็ผลิตครูออกมาจน เขาว่าเอนท์อะไร ไม่ติดก็ให้ไปเป็นครู ปั้มครูจนกลายเป็นปัญหา ครูไม่มีคุณภาพในปัจจุบัน ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนเรื่องการป้องกัน ก็ยอมรับความจริงกันหน่อยว่า คนไทยดูแลสุขภาพกันยังไง ซดเหล้ากันตั้งแต่หัววัน อาหารก็กินรสจัดสุดขีด ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งจานใส่ผงชูรสกันกี่ช้อน แล้วที่สำคัญขนาดหมอรักษาโรคยังไม่พอ จะเอาหมอที่ไหนไปให้ความรู้ชาวบ้านอีก ก็ต้องใช้พวกรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุซึ่งรายการพวกนี้ชาวบ้าน ก็น้อยคนที่จะฟัง ------------------------------------------------------------------------------------------------------- แต่ที่แย่ที่สุดในยุคนี้ก็คือการหายไปของความไว้ใจซึ่งกันและกันระหว่างหมอกับคนไข้ อีกหน่อยหมอก็คงเป็นแค่ผู้บริการ และคนไข้ก็เป็นแค่ลูกค้าผู้ซื้อบริการ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 09:42:57 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 9 ส.ค. 49 09:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมอ่านความเห็นของพี่หมอ jfk แล้วรู้สึกว่าผมถูกสอนมาผิด หรือผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ 1. การแบ่งแยกระดับของคนในการได้รับบริการที่ทั่วถึงจากรัฐ ....อันนี้โดยส่วนตัวขอแย้งอย่างรุนแรงครับ อย่างไรเสียแพทย์ถูกสอนมามากเรื่องความเป็นมนุษย์ "มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิที่จะได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน" ถ้าตัดคนมีรายได้สูงออก เท่ากับกระทำผิดหลักความเป็นมนุษย์และกฎหมายรัฐธรรมนูญครับ 2.เรื่องคนมีเงินมักเรียกร้อง.....ถูกกกกกกกก อันนี้ถ้าผมพูดในฐานะที่ผมเป็นคนไข้...เป็นสิ่งที่ดีครับ ผมรู้สึกว่าปัจจุบัน "มนุษย์มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นครับ" เค้าเริ่มเรียนรู้ที่จะเรียกร้องสิทธิของเขาได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพทย์ทำอะไรกับเขาก็ได้เหมือนในอดีต ....คนจนเองก็ได้มีโอกาสเรียนรู้จากคนกลุ่มนี้ เค้าได้เริ่มรู้ถึงสิทธิของเขามากขึ้น ....เมื่อก่อนคนจนกลัวมากครับ บางทีหมอถามว่าเป็นอะไร เค้ายังลืมเลยครับ เพราะเค้าไม่กล้า น่าสงสารครับ ปัจจุบันเค้ากล้าถามมากขึ้น รู้สิทธิของตนมากขึ้น ในแง่ของแพทย์.....แน่นอนครับย่อมเป็นที่รำคาญหัวใจถ้าเราพบคนไข้ที่เรียกร้องอะไรมากๆ แต่ต้องระลึกไว้นะครับ อาจารย์หรือพี่หมอก็สอนผมเองนี่ครับว่า ...."ให้เราระลึกไว้เสมอว่าถ้าคนไข้ท่านนี้ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติพี่น้อง ของเรา เราจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร" ....ผมเองก็พบปัญหาจุดนี้บ่อยๆครับ หลายครั้งก็ต้องนับ 1-100 ในใจ แต่พอเราใจเย็นอธิบาย เขาก็เข้าใจครับ เน้นนะครับ  เคล็ดลับ คือ "การสื่อสารที่ดีระหว่างแพทย์ กับ ผู้ป่วย" แค่นี้ ผมว่าผมกะพี่หมอคงจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ครับ ....ถ้าเป็นผมจะไม่หาทางออกโดยการตัดสิทธิการเข้าถึงบริการของคนบางกลุ่มไป แต่ผมจะบอกน้องๆของผมครับ ว่าน้องต้องอดทน น้องต้องอดทน ....ถึงเวลาแล้วครับที่แพทย์ต้องปรับตัว คับ 3.แพทย์ทำงานหนักขึ้น อันนี้ผมก็เห็นด้วยกับพี่หมออย่างยิ่ง ว่าน้องๆ เพื่อนๆของผมทำงานหนักครับ ผมเห็นใจอย่างยิ่งครับ .....แต่มันก็เป็นมาอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย .....ปัญหาเกิดจากผู้ป่วยที่มากขึ้น ก็ส่วนหนึ่งครับ .....แต่สิ่งที่ยังแก้ไม่ได้คือ แพทย์ มักย้ายกลับมาทำงานในเมืองมากกว่าการทำงานตามชนบท(ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ) แต่รัฐบาลก็พยายามหาทางออกอยู่แล้วนะครับ คงต้องใช้เวลาสักพัก       การเพิ่มเบี้ยเลี้ยง สวัสดิการให้เท่ากับเอกชน(เหมือนของโรงพยาบาลพี่หมออ่ะครับ)       การเพิ่มการผลิตแพทย์ให้เป็นไปตามเป้าหมายครับ 4.แพทย์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับสามสิบบาท ผมก็เห็นด้วยกับพี่หมออีกครับ แต่ผมเปิดประเด็นไว้สำหรับ แพทย์ที่ทำเกินหน้าที่ของตนที่ควรทำนะครับ ที่ออกมาเดินขบวน ที่ออกมาประท้วง ผมเลยทวงถามว่า "พี่หมอครับพี่ไล่นายกฯทักษิณ แล้วว่าที่นายกฯมาร์คล่ะครับ พี่หมอจะเอาไง" เพราะผมเห็นแนวนโยบายเหมือนๆกัน ....ถ้าพี่หมอที่ออกมาประท้วงไม่มีจุดยืนของตัวเอง คือ การเป็นแพทย์มีหน้าที่อะไร สุดท้ายพี่ก็ต้องออกมาไล่นายกฯทุกคนนะครับ อย่าให้การเมืองมมามีผลหรือมาเบียดบังจิตใจที่มีคุณงามความดี จิตใจที่มีเมตตาของเราเลยครับ "มุ่งหน้าทำงานตามหลักวิชา และจรรยาบรรณที่เรามีกันถอะครับ ผมเชื่อว่าการเมืองออกนโยบายที่มีประโยชน์ต่อประชาชน แม้มีปัญหาบ้าง ผมและพี่ต้องทำงานหนักบ้าง ถ้าเราช่วยกัน ผลประโยชน์ย่อมตกกับคนไข้ทุกๆท่านครับ" ด้วยความนับถือ...คุณหมอทุกท่านที่ทำงานหนักเพื่อผู้ป่วยอย่างใจจริง จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 09:53:54 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คห.18 คุณSaryคับ ต้องรบกวนคุณSary อ่านกระทู้ของผมอีกครั้งนะครับ ผมไม่ได้มีเตนาที่จะเย้ยแพทย์ด้วยกันครับ ด้วยความเคารพถ้าทำให้เข้าใจผิด http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4604542/P4604542.html จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 09:57:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คห.30 คุณPongkm ครับ 1. การผลิตแพทย์นั้นมีมาตรฐานครับ ควบคุมโดยแพทยสภา แพทย์ที่จบมาจากสถาบันเอกชน ต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งของรัฐ ต้องผ่านขบวนการมากมายครับ ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ กว่าจะทำงานได้ต้องเข้มข้นครับ 2.การทำงานเชิงรุก จุดนี้สำคัญมากๆครับ ในอดีตต้องยอมรับว่าวงการสาธารณสุขขาดเรื่องนี้อย่างมากครับ (ทำมาตลอดแต่ขาดการโฟกัส) ......จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่แก้ยาก แพทย์มักเน้นรักษาแต่ไม่ส่งเสริม ตัวอย่าง....คนไข้ถามหมอว่า มีวิตามิน ดีมากมีเพื่อนแนะนำให้ทาน ....หมอส่วนใหญ่จะตอบว่า......????? ....ไม่จำเป็นหรอก ออกกำลังกายและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็พอแล้ว .....(ใครบ้างครับทานอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อ ทุกวัน ผลการวิจัยในกทม.เด็กวัยเรียนควรทานผัก-ผลไม้วันละ5ส่วน แต่เด็กทานได้เพียง 1ส่วน) สุดท้ายคนจึงเป็นมะเร็งกันมากเพราะกันไม่เรียนรู้การป้องกัน ต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายครับ 3.ก็อย่างที่บอกน่ะครับ Relationship สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 10:14:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อคืนตั้งกระทู้ไว้ แล้วออกไปข้างนอก แวะเข้ามาอ่านก่อน เด๋วเคลียร์งานภาคเช้าเสร็จจะแวะมาตอบ ความเห็นที่เกี่ยวข้องให้เท่าที่พอจะชี้แจงกันได้ ง่ายๆนะครับ มันเยอะ อย่างที่บอกถึงไม่ค่อยอยากคุยกันทางกระทู้ ประเด็นมันหลากหลายเหนื่อย เด๋วอาจจะทิ้งเบอร์โทรไว้ให้คนสงสัยโทรคุยกันเลย ดีกว่ามั้ง จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 10:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าแพทย์ทำตัวเป็น service provider และให้ความสำคัญกับ doctor-patient relationship อีกยังมองคนไข้ทุกคนเท่าเทียมกัน รับรองว่าปัญหาไม่เกิด เรื่องโดนฟ้องร้อง โดยเฉพาะในระดับ 30 บาท แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่แน่ เพราะจ่ายแพง ความคาดหวังก็สูง ระบบราชการแพทย์โดนฟ้องนั้นน่าเห็นใจเพราะหลายรายดูแล้วปฏิบัติงานไม่ผิด แต่ก็คงเป็นบทเรียนในการปรับปรุงของทุก ๆ ฝ่ายต่อไป จะให้โครงการใหญ่ ๆ แบบนี้ไม่มีปัญหาเลยคงไม่ได้ ผมพูดในส่วนนี้เท่านั้น ไม่อยากพูดในประเด็นอื่นให้มากกว่านี้ เรื่องมันมีหลายประเด็น แต่ผมเห็นด้วยกับน้อง adrenaline อย่างหนึ่ง ผมคิดว่าแพทย์ที่ออกมาเดินขบวนประท้วง ก่อม็อบ ขึ้นเวทีไฮปาร์ค สนับสนุนการฉีกบัตรเลือกตั้ง และกระทำการวุ่นวายมากขนาดนั้น คงมีอะไรบกพร่องบางอย่าง หรือไม่ก็มีความเกี่ยวพันทางการเมืองกับบางกลุ่มบางคณะ ผมเชื่อว่าแพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำก้าวร้าวอุกอาจแบบนี้ อย่างมากก็บ่นกับโครงการ บางคนแรงหน่อยก็ด่า แต่ไอ้ประเภทออกมาเดินขบวนเนี่ย ผมอายแทน จากคุณ : ขุนอิน - [ 9 ส.ค. 49 11:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โรงเรียนแพทย์ไม่ได้สอนให้แพทย์เป็น service provider คือไม่มีความอดทนต่อคนไข้มากเท่าที่ควร ในระบบที่ดีคนไข้ที่มีปัญหากับหมอคนหนึ่งจนแก้ไขให้เกิดความไว้วางใจกันไม่ได้ แพทย์ก็สามารถจะมีวิธีโอนให้แพทย์ท่านอื่นดูแลแทนได้ เทคนิคมีมากมายที่จะจัดการปัญหากับคนไข้ที่พูดไม่รู้เรื่อง คนไข้ส่วนใหญ่ไม่ได้ก้าวร้าว หรือพูดไม่รู้เรื่องกับหมอ ที่ผมเจอส่วนใหญ่จะออกไปในทางงุนงง กังวล ไม่เข้าใจมากกว่า ซึ่งเป็นปัญหาที่จัดการได้ .................. ผมขอพูดประเด็นนี้หน่อย เพราะสองสามวันก่อน ก็มีน้องหมอคนหนึ่งบ่นเรื่องคนไข้เรียกร้องมาก และในอีกทางหนึ่งคือน้องหมอคนนี้ก็ทำงานเกินกำลังเพราะ responsibility syndrome ทำงานหนักโดยที่ไม่จำเป็นทั้ง ๆ ที่ระบบไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น งานก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าตัวเองไม่ทำเกินหน้าที่ ผมบอกให้เขาลองคิดว่าตัวเองเป็น service provider อย่าคิดถึงขั้นต้องรับผิดชอบปัญหาทุกอย่างที่พบเห็น เพราะคนทำงานคนอื่นก็มี คนอื่นก็มีความรู้ความสามารถ ให้เขาทำไป ทางออกมันมี ระบบโรงเรียนแพทย์ไม่ได้สอนการบริหารจัดการงาน และการจัดการคนให้กับนักเรียนแพทย์ สอนแต่ให้ทำงานหนัก ให้ศึกษามาก ๆ และรับผิดชอบ (โดยขอบเขตจำกัดอยู่ตรงไหน?) นอกเรื่องหน่อยนะครับ ผมอยากพูดเรื่องวิธีคิดในการทำงานเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสามสิบบาท จากคุณ : ขุนอิน - [ 9 ส.ค. 49 11:46:37 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ปชป.จะทำบ้าง เลยกลายเป็นหลักการใช้ได้ แค่ปรับปรุงเพิ่มซะงั้น ..... อืม ๆๆ จากคุณ : Mr.DogGie - [ 9 ส.ค. 49 11:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ครับพี่ขุนอิน ถ้าแพทย์เรียนรู้เรื่องนี้เพิ่มอีกนิด ผมว่านะสังคมไทย คนไทยใจดี ให้อภัย เห็นใจแพทย์อยู่แล้ว เรื่องการบริการด้วยใจ การใส่ใจผู้ป่วย อธิบายสัดนิด หรือถามสักนิดว่าเค้าสงสัยตรงไหนไม๊ ปัญหาการฟ้องร้องคงหมดไป ....แพทย์เองก็แม้จะทำงานหนัก แต่ก็สุขใจครับ จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 12:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ตอบความเห็น 8 คุณ Vee&Cat สำหรับ บัตร 30 บาท.. อันนี้ผมว่าอาจจะต้องกล่าวเลยไปถึง จริยธรรม คุณธรรม ของผู้ถือบัตรชนิดนี้ด้วย ความหมายคือ หากผู้ใดมีกำลังพอที่จะจ่ายในค่ารักษาพยาบาลใดๆเองได้ก็ควรต้องจ่ายเพื่อให้ โครงการ 30 นั้น เหลือพอที่จะตกไปถึงผู้ที่ไม่มีโอกาสตามจริงครับ.. เรื่องนี้ ถ้าเอาถึงจริยธรรม คุณธรรม คงพูดยาก แต่ตัวกฏหมายและระเบียบเราทำได้ คระบ อย่างที่บอก คนที่ควรจะ จ่ายเอง หรือมีกำลังจ่ายได้ รัฐไม่ควรจะต้องเข้าไป จ่าย ให้เค้าดูแลตัวเอง จะได้เอาทรัพยากร ที่มีจำกัด มาใช้กับ คนที่ควรได้รับจริง ได้เต็มที่ ส่วนการคัดกรอง ว่าใครควรได้รับการสงเคราะห์ (ผมตอบไว้ตรงนี้เลยล่ะกัน ข้างล่างก็มีพูดถึงกันอยู่)   เราดูได้จากพื้นฐาน รายได้ ของเค้า โดยเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ใกล้ชิดกับประชาชน อย่างเช่น กำนันผู้ใหญ่บ้านหรือ อบต. พวกนี้ ช่วยคัดกรองได้ระดับนึง และเจ้าหน้าที่ระดับบน ช่วยดู อีกทีตามความเหมาะสม อาจจะให้คนที่ต้องการแสดงความจำนง มาเองก็ได้ แล้ว มาคัดกรองคนที่ต้องการได้รับการสงเคราะห์ การทำอย่างนี้ อย่างน้อย คนรวยหรือ คนที่มีฐานะดี อย่างน้อยก็ไม่หน้าด้านไปขอสิทธิ์ หรือขอไป ก็จะโดนตีกลับ และแม้ว่าจะมีบางส่วน ที่หลงหลุดเข้าไปปะปนกับคนจนบ้าง แต่อย่างน้อย ก็จะน้อยลงไปเยอะ ดีกว่าเอาไปให้โดย เค้าไม่ร้องขอ  และ พวกนี้ยังมีผลต่อเนื่องมาถึงการใช้สิทธิ์ ถ้าพวกมีตังค์ แต่แอบไปเบ่งได้บัตรมา ถ้ามารักษาแล้ว ใช้สิทธิ์เกินงาม เช่น รักษา แบบวีไอพี ขอนอนห้องพิเศษหรู จ่ายตรงนั้น แต่ว่า ยาเอาอย่างดีๆ แต่ขอใช้สิทธิ์ อย่างนี้ เจ้าที่ที่ดูแล ก็ยังแย้งได้ ว่าเค้ามีฐานะดีแล้ว ควรช่วยตัวเอง บ้าง (แต่ถ้าระบบปัจจุบัน เค้าจะอ้างสิทธิ์เค้ามีชอบธรรม ซึ่งต้องยอมรับ ว่าคนทำงาน ไม่ค่อยอยากมีเรื่อง เจอพวกหัวแข็ง หัวหมอพวกนี้ กลัวไปฟ้องนักการเมือง (ซึ่งก็เห็น กันบ่อยๆ) ให้เดือดร้อน ทำให้ปล่อยๆไปผลก็คือ คนจนโดนแย่งทรัพยากรที่จำกัดไป ครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ตอบความเห็น 10   ผมว่า  5.9 ล้านคนนี้ มาใช้สิทธิร่วมกับคนจนและผู้ที่ยังไม่มีรายได้จำนวน  49 ล้านคน.. อาจจะกระทบบ้าง แต่ ก็ไม่มากเท่าไหร่.. ซึ่งน่าจะดีกว่า "การมาจัดระบบแบ่งแยกชนชั้น" ว่าคนนั้นควรได้สิทธิ คนนี้ไม่ควรได้.. ซึ่งจะ เพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้นเข้าไปอีก นะครับ.] จากคุณ : เพดาน ช่างฝัน .[/u ขอบคุณ สำหรับตัวเลข ที่ทำให้เห็นภาพรวมดี ขึ้น ถ้าเอาตามตัวเลข ที่ยกมา 6 ล้าน จากประมาณ 50 ล้าน ก็คือ ประมาณ 12% และเป็นสิบสองเปอร์เซนต์ ที่อย่างที่ บอก ครับ ว่ามีปากมีเสียง หรือ จะเรียกว่าหัวหมอ มากกว่า คนจนจริงๆ และ ใน 29 ล้านคนที่แฝงในกลุ่มเด็ก และ คนชรานั้น แม้ว่าจะไม่มีรายได้ (หรือมีแต่น้อย) และรัฐจะสงเคราะห์ แต่ในความเป็นจริงพวกนี้ มีจำนวนมากพอ สมควร ที่อยู่ในครอบครัวฐานะดี ช่วยตัวเองได้  ซึ่งถ้าการสงเคราะห์แบ่งแยก ว่าสงเคราะห์ คนที่ควรสงเคราะห์( คือคนรายได้น้อย) พวกนี้ ก็จะไม่ค่อยเข้ามาใช้ ในส่วนนี้ แต่ถ้า เอาแบบปัจจุบัน คือประกาศ ฟรีทุกคน เค้าก็จะรวม เข้ามา ด้วย  และเม็ดเงินที่ ใช้ กับ คนกลุ่มนี้ ก็จะไม่ใช่แค่ 12% ที่ว่า แต่มากไปกว่านี้ เรื่องการแบ่งชนชั้นหรือช่องว่างไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ ครับ การแบ่งชนชั้น หรือ ทำให้เกิดช่องว่าง คือการกดชนชั้น ล่าง  หรือดันคนชั้นบน ขึ้นไป ช่องว่างจะห่าง แต่ตรงกันข้าม ครับ การ จำแนกและเลือกสงเคราะห์คนจน  และ ให้คนที่ช่วยตัวเองได้ ช่วยตัวเอง ได้นี่เป็นการ ขยับให้คนชั้นล่าง ได้เลื่อนขึ้นมามีโอกาส ทัดเทียมกับคนชั้นข้างบน ลดช่องว่างลง ต่างหาก ------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 12   [u]ผมเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบาย 30 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ พร้อมกันทีเดียวโดยไม่ค่อยๆจัดลำดับชั้นการได้สิทธิ์ เพราะคำนวณแล้วว่าโดยส่วนใหญ่บุคคลกรทางการแพทย์ เค้ารับได้ (ยกเว้นบางพื้นที่ห่างไกล) จากคุณ : บิ๊กแหนม ตรงนี้ต้องขอแย้งเรื่องการ ยอมรับของบุคคลากรทางการแพทย์ ที่ว่าส่วนใหญ่ยอมรับได้ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ ค้าน กันครับ บอกว่าไม่ไหว ก็จะเห็นครับ ว่ามีหมอที่ยอม ขัดใจผู้บังคับบัญชา และยอมเสียหน้า ยอมโดนด่า ออกมา เรียกร้องเคลื่อนไหว อย่างที่เห็นกันตามสื่อบ่อยๆ แต่พอบอกไม่ไหว ก็ จะโดนต่อว่า ว่าเห็นแก่ตัว  ขี้เกียจ ไม่เสียสละ เสียผลประโยชน์ ทำให้บางคนต้องยอมทนต่อไป ถ้าคิดว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เห็นด้วย ผมท้าให้โหวตเลยครับ ถ้าหมอส่วนใหญ่เห็นด้วย จะได้เอาไว้อ้างได้ ว่าหมอ ส่วนใหญ่เห็นด้วย คนอื่นจะได้ไม่กล้าโวย แต่ถ้าออกมา แล้ว มันเห็นว่า คนทำงานเค้าไม่เห็นด้วยไม่ไหว ก็ ควรจะนำไปทบทวนครับ -------------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 14   **อยากรู้ว่าคนที่ทุกคนในโลกไซเบอร์ยอมรับว่าเป็นคนดีอย่างคุณหมอJ คิดยังไงกับนายกคนปัจจุบันครับ คุณหมอ เชื่อเรื่องที่คนอื่นเค้ากล่าวหากันอยู่หรือเปล่าโดนเฉพราะเรื่องโกง เรื่องหมอคนไข้มากคนไข้น้อย งกมากงกน้อย ขอไม่ออกความเห็นนะครับเพราะว่าไม่มีข้อมูล คงเป็นเรื่องของ ปัจเจกบุคคล และใครทำดี ก็ได้ดี ตามมนั้น บอกก่อนไม่ใช่ทุกคนในโลกไซเบอร์หรอกครับที่คิดว่าผมเป็นคนดี ทั้งในไซเบอร์ และโลกจริง ก็มีคนทั้งที่ยอมรับ และไม่ยอมรับ ว่าผมเป็นคนดี เพียงแต่ผมอาจจะโชคดี ที่ได้รับการยอมรับมากกว่า ไม่ยอมรับ และ ที่สำคัญ สำหรับตัวผมเองผมมั่นใจ ว่าผมไม่ใช่คนเลวแน่นอน ส่วนคำถาม ว่านายกโกงหรือไม่ ตอบว่าผม ก็ยังคลางแคลงใจ เหมือนกับ ที่หลายคนแคลงใจ ถึงอยากให้องค์กรอิสระ ที่มีความเป็นธรรมตรวจสอบ ผู้นำ ให้เคลียร์ ก่อนที่จะลงมาบริหารประเทศ ต่อไปไงครับ (อันนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะท่านนายกคนปัจจุบันนะครับ อยากให้ทำกับทุกคนด้วย) ------------------------------------------------------------------------------ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 13:58:31 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดเห็นที่ 15   ส่วนเรื่องการ คัดสรร คนไข้ ก่อนรับสิทธิ์ ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วย ผมมองมุมนี้นะครับ " 30 บาทพลาดรักษาคนรวย 100 คน  ดีกว่า คัดสรรแล้วคนจนตาย ไปคนเดียว" จากคุณ : ฐานันดรที่โหล่ อันนี้เห็นด้วยในการ ที่ว่าการคัดสรร อย่าปล่อยให้คนจนหลุดลอดหมดโอกาสไป อย่างที่ผมบอกข้างบนครับ ปล่อยให้คนรวยปนเข้ามาก็ยังได้ แต่มันจะน้อยลงทำให้เรามีเวลาดูคนจนได้มากขึ้น เรื่องการคัดกรอง และการอลุ้มอล่วย ให้คนจนได้รับสิทธิ์ นี่เจ้าหน้าที่เจาะลึกเข้าไป หาเค้าได้ง่าย ครับเพราะว่าเป็น การเอื้อประโยชน์ให้เค้า คนจนไม่ปฏิเสธ บัตร หรอกครับ และแม้จะไม่มีบัตร นี่ก็อยากฝากให้เจ้าหน้าที่ให้เค้าดูได้ ครับ ว่า มันสมควรช่วยแค่ไหน ถ้างานมันพอดีกับ เจ้าหน้าที่เค้าก็จะมีเวลามาดูและเรื่องแบบนี้ ทุกวันนี้ ปัญหาใหญ่เวลาส่งคนไข้สามสิบบาท ข้ามเขต รพ.กันนี่ คือเรื่องปวดหัว ของแต่ละรพ.เลยครับ ที่ผมเป็นห่วง อยากให้เลือก สงเคราะห์ให้เหมาะสม ก็คือกลัว พวกคนรวย หลงเข้ามา 10 ล้านคน ไปแย่งสิทธิ์ คนจน สามสี่สิบล้านคน แล้ว ต้องตายไป จำนวนมาก มากกว่า ครับ ------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 16   คุณ จขกท ครับอยากให้ดูสังคมชั้นรากหญ้านะครับ ซึ่งคำพูดว่าคนจนเจ็บป่วยไม่ได้นั้นมันเป็นคำพูดที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน แล้วในเมื่อเขาสามารถรักษาได้จะไม่ให้ เขามีโอกาสหรือครับ ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาลหรอกครับถ้าไม่ป่วยจริงๆ จากคุณ : คมคนไธ ก็นั่นสิครับ คนจนหรือรากหญ้า  ควรได้รับการช่วยเหลือ ที่เขียนมาทั้งหมด นั่นก็คือให้ ระบบ มันช่วยคนจนให้เต็มที่ ครับ ทรัพยากร ที่จำกัด ขอช่วยคนจนที่มีโอกาสด้อย กว่าก่อน ไม่ให้หว่านแห ครับ ------------------------------- ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนงบประมาณ นั้น ถ้าทาง รพ. จะแจ้ง เหตุผลความจำเป็นไปให้ทางหน่วยเหนือ เชื่อว่า จะมีทางออก อีกเรื่องหนึ่ง คือ การรณรงค์ ป้องกัน โรค และ ส่งเสริมความรู้ ด้านสาธารณะสุขพื้นฐาน ให้มากขึ้น และเกิดความตระหนัก ในระดับหมู่บ้าน   เชื่อว่า จำนวน คนไข้ ที่เทมายัง รพ. จะน้อยลง แล้ววันนั้น บุคคลากร ทางสาธารณะสุข คงจะได้มีความสุข กะเขาบ้าง จากคุณ : น้าพร เรื่องงบประมาณ รพ.ที่เค้าขาดทุน ทำไม่ไหวเค้าก็แจ้งกันอยู่แล้ว แต่งบมันมีแค่นั้น  ถึงได้ต้องบอกว่าต้องปรับscale เรื่องการช่วยเหลือให้เหมาะสมไงครับ ส่วนเรื่องการป้องกันโรค หรือ สาธารณสุขมูลฐาน ทำกันอยู่แล้ว มาหลายสิบปีแล้ว ครับไม่ว่ายุคไหน แต่ว่า มันก็ ช่วยได้ส่วนนึง และก็ยังเน้น แต่ ว่าโรคมันก็ยังมีอยู่ ปัญหาที่คุยกันส่วนใหญ่ คือ เมื่อเกิดโรคแล้ว ทำไง นี่แหละครับ ที่ยังเหนื่อยกันอยู่ คนสมัยนี้ ด้วยเทคโนโลยี่ที่เพิ่มขึ้น แม้สุขภาพดี ขึ้น แต่ว่าโรคที่พบ และต้องรักษา และค่าใช้จ่ายในการรักษา ไม่ ได้ลดลงนะครับ มันเจอโรคใหม่ๆ หรือแม้แต่โรคเก่าๆ ที่คนแต่ก่อนไม่รักษา ก็มาใช้เครื่องมือ ไฮเทคขึ้น ตรวจเจอ เพิ่มขึ้น และ รักษากันเปลืองมากขึ้นไปด้วย (ตามมาตรฐานการรักษา ที่เราพยายามจะยกตามประเทศที่เจริญแล้ว นั่นแหละครับ) ---------------------------------------------------------------- ขอบคุณ คุณ คนเมล่อ  ที่ช่วยชี้แจงและเพิ่มเติมข้อมูล ครับ ------------------------------------------------------------------ ตอบความคิดเห็นที่ 24จากคุณ : เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เรื่องการที่หมอหรือเจ้าหน้าที่เกรงใจ คนชั้นกลาง หรือคนรวยที่มีสิทธิ์ นี่ ยอมรับ ครับว่ามันมีจริง โดยเฉพาะถ้าเค้า อ้างว่าเค้ามีสิทธิ์ ที่ได้รับ มันต้องได้ตามนั้นเป๊ะๆ (หรือบางทีก้ำกึ่ง ก็ต้องยอม) ทำไมต้องยอม เพราะว่า พวกนี้ พร้อมที่จะฟ้อง สื่อ และนักการเมือง  มาเล่นงานไงครับ ถ้าผิดก็โดนหนัก ถ้าไม่ผิดก็ เสียชื่อไปแล้ว หลายคนถึงไม่อยากยุ่งยาก ยอมๆกันไป ส่วนคนระดับรากหญ้ามักไม่มีปัญหา ครับ เค้าจะรับการรักษาตามสิทธิ์ ที่เค้าพึงมี หมอก็สบายใจ แต่ว่าติดตรงที่ อย่างที่บอก งบจำกัด โดนพวกข้างบน แย่งไปแล้ว พวกนี้เลยกลายเป็นเสียโอกาส (เพราะว่าPower น้อยกว่าเค้า นั่นแหละครับ หมอทุกคน คงไม่มีใคร Perfect หรอกครับ ทุกคนนอกจากช่วยดูแลคนไข้ แล้วก็คงต้องดูและครอบคร้ว และตัว เองด้วย ---------------------------------------------------------------- ความเห็น 25 ผมกลับมองว่าปัญหามันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของชนชั้นกลางมากกว่าครับ ถ้าเป็นผม การที่จะทำบัตรสามสิบ ต้องมีการพิจารณารายได้ต่อหัวก่อน ที่หมอ JFK บอกเรื่องว่าที่ไหนควรทำหรือไม่ควรทำก่อนผมว่ามันแปลก ๆ นะครับ คนจนมันก็มีอาศัยอยู่ทั่วไปทุก ที่นะหละครับ เราจะเลือกปฎิบัติได้อย่างไรหรอ คนจะตาย หมอ ดันบอกว่าอยู่เขตนี้ตายก่อน ให้เขตโน้นเขารอดหรือครับ แค่ยกตัวอย่างนะครับ นี่หละคือปัญหาของชนชั้นกลางที่ชอบเอารัดเอาเปรียบจนน่ารังเกียจ จากคุณ : Vincent Van Gogh ผมอ่านของคุณ แวนโก๊ะแล้วงงเหมือนกัน ถ้าคนชั้นกลาง ของคุณ กับ คนชั้นกลางกับคนมีตังค์  ที่มีรายได้ดี พอช่วยตัวเองได้ของคุณกับผม เป็นอันเดียวกัน ก็ถูกแล้วไงครับ ที่ไม่ต้องไปช่วยเค้า ไม่ต้องให้บัตรเค้าเอามาอ้างสิทธิ์ได้ เรียกร้องเอาเปรียบคนชั้นล่าง ส่วนเรื่องคนจน นี่อยู่ที่ไหน อะไรนี่ ต้องได้รับสงเคราะห์หมด ครับ ไม่อยากให้แยกเขตเหมือนปัจจุบันได้ซ้ำ ผมไม่ ได้บอก เรื่องจำกัดเขต คนจนตรงไหน ครับ ย้ำก็คือ คนจน หรือ คนช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องได้รับการสงเคราะห์(แม้แต่คนที่พอจะมีบ้าง แต่เจอ ค่ารักษาที่มันมาก เกินขีดปกติ ก็ควรพิจารณช่วยด้วย แต่คนที่มีเงินช่วยตัวเองได้อยู่แล้วไม่ต้องไปช่วยเค้าก็ได้ ถ้าเค้าไม่ได้ร้องขอ (ถ้าร้องขอ ก็มาดูว่าสมควรมั้ย) 'งบจำกัด คนจำกัด ทำให้คนจนที่จำเป็นก่อน พอรัฐรวย มีเงินมาก คนมาก แล้วค่อยขยายขึ้นมาคลุมให้หมด ก็ไมว่า กัน ครับ ---------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 28   ปัญหาประกันสุขภาพ  มักจะมองกันแต่ในด้านการรักษาพยาบาลเท่านั้น ความจริงคุณหมอคงจะทราบดีว่าโครงการนี้ เน้นหนักที่งานส่งเสริม ป้องกันมากกว่า คือพูดง่ายๆว่าต้องสร้างมาก่อนซ่อม  แต่ผู้ปฎิบัติทั้งหลายตั้งแต่แพทย์ลงมาจนถึงระดับล่างในหน่วยบริการสุขภาพมักชอบทำงานซ่อมมากกว่างานสร้าง เพราะคงต้องยอมรับกันว่างานส่งเสริมป้องกันทำได้ยากมากต้องทุ่มกันสุดชีวิต เสี่ยงต่อการโดนด่า  ซึ่งหากไม่มีใจรักจริงก็จะท้อ ทำให้ต้องทุ่มเงินที่ได้รับไปใช้ในงานรักษาเกือบหมด 30 บาท ก็เลยเถียงกันแต่เรื่องเงินไม่พอใช้  ทั้งๆที่เป็นการให้พื้นที่ จัดสรรงบประมาณในการใช้เองตามความเหมาะสมของพื้นที่  ถ้าคุณจะให้งบประมาณเหลือก็ต้องเน้นงานเชิงรุก ทำงานในพื้นที่หนักขึ้น การทำงานจะทำเดี่ยวๆไม่ได้ ต้องร่วมมือกันทั้งพื้นที่ คุณหมอคงต้องยอมรับนะว่าในพื้นที่หมอแทบเป็นเทวดาถ้าหมอมีใจรักชาวบ้านเข้าไปสัมผัสกับเค้า  งานส่งเสริมที่ว่ายากมันกับง่ายกว่าปอกกล้วยอีก แต่คิดว่าที่มีหมอออกมาต่อต้านส่วนหนึ่งน่าจะเป็น การที่จะปรับเปลี่ยนผู้บริหารเป็นบอร์ดบริหาร โดยใช้มืออาชีพเข้ามาบริหารแทนแพทย์ แพทย์ก็มีหน้าที่รักษา ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนไป แต่วันนั้นอาจมาไม่ถึงก็ได้ จากคุณ : amitra   เรื่อง ป้องกันโรคแทนการรักษา อย่างที่ตอบไว้ข้างบนแล้ว นะครับ ทำกันมานาน ทำกันมาตลอด แต่ว่ายังไง มันก็ยังต้องมีเรื่องการรักษาเป็นเรือ่งใหญ่ ใครที่คิดว่าเก่งป้องกันไม่ให้เกิดโรค จนหมดหรือเหลือน้อยมากๆ ก็ช่วยกันเข้ามาทำเถอะครับ เอาให้หมดเลยก็ได้หมอจะได้เบาแรงลงไปอีกเยอะครับ ส่วนเรื่องการให้นักบริหารมืออาชีพ เช้ามาบริหารแทนแพทย์ ลองดูก็ได้ครับ แต่ผมมองเห็นปัญหาเยอะแยะโดยเฉพาะ นักบริหารเค้ามองแต่ตัวเลขผลกำไร มากกว่า คนไข้  ดังนั้นของผมเองแม้เป็นรพ.เอกชน แต่ขอเลือกบริหารด้วยตัวเอง ยืดหยุ่น แทนการเน้นผลกำไร จากนักบริหารมืออาชีพ แทนครับ ----------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 29   ผมว่าเรื่องการกำหนดว่าใครควรได้รับสิทธิ์ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากครับ มันมีปัจจัยหลายอย่าง แค่แบ่งรายได้อย่างเดียวไม่ได้แน่ ๆ แต่มีข้อสังเกตว่า ถ้า หมอเจ คิดแบบนี้มาตลอด แสดงว่า แนวคิดมัน ok แต่ต้องปรับแก้ในบางจุด ถ้าหมอคิดได้ หมอคนอื่นก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน ก็ไม่น่าถึงกับจะต้องมีหมอออกมาประท้วงเรื่องนี้นะครับ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 08:58:26 จากคุณ : Alucard ประเด็นยากมั้ย ผมตอบไปแล้ว ข้างบนไม่ยาก และ ถ้าไม่แน่ใจ ใครจนหรือไม่ ให้ยกประโยชน์ให้จำเลย ครับ คือ ไม่แน่ใจว่าจน นับเป็นจนไปก่อน อย่างน้อย พวกแกล้งจน  เวลาเค้าเห็นว่ารวย จะได้ไม่กล้าอ้าง ว่า ได้สิทธิ์มาโดยชอบธรรม เรื่องคิดผมว่าทุกคน ก็คงคิดได้ เหมือนๆกัน แต่แปลก ทำไม ยังไม่ทำ ไอ้ที่เค้าประท้วง ก็คือ อยากให้คนได้รับทราบปัญหา แล้วนำไปแก้ไข ไงครับ  ซึ่งจริงๆมันมีประเด็นปลีกย่อยเยอะ ------------------------------------------------------------------------- ความเห็น 30 ของคุณ (Pongkm) เห็นด้วยครับการเร่งผลิตแพทย์ออกมาตอนนี้ ที่ต้องคอยดูคือเรื่องมาตรฐานที่หลายคนเป็นห่วงกันครับ แต่ยังไงตอนนี้ต้องใช้คน ก็ต้องทำไปก่อน แล้วคอยควบคุมแก้ไข ขอให้จับตากันหน่อย อย่าชะล่าใจ ประมาณเรื่องคุณภาพครับ เรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างหมอกับคนไข้ นี่ แย่ลงเยอะครับ ผมเองโชคดี ที่อยู่ในชนบท สำหรับผมเองกับคนไข้ผม ยังดี ครับ ยังอยู่กันแบบพี่ๆน้องเหมือนเครือญาติ ---------------------------------------------------------------------- ของคุณหมอ Adrenaline ยาวมาก และ ผมเองไม่เห็นด้วย หลายประเด็น (จริงๆ ต้องบอกว่า หลังจากที่อ่านความเห็นหลายๆอันของ คุณหมอแล้ว ผมไม่แน่ใจ ในตัวตน ว่าคุณหมอ Adrenaline เป็นหมอจริงหรือไม่  ไม่ทราบว่ารังเกียจ ที่จะโทรมาคุยกันมั้ยครับ ถ้าจริง ใจเพื่อส่วนรวมจะได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เต็มที่ เบอร์โทรผม 01-6044444 ยินดีแลกเปลี่ยนด้วยครับ ) ตอบสั้นๆ เรื่องสิทธิ์ ในการรักษา คนจนคนรวยทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการรักษาเหมือนกัน ใช่ครับโดยเฉพาะกรณีฉุกเฉิน แต่ที่เรากำลังคุยกัน คือเรื่องของการ จ่ายค่ารักษาพยาบาล ซึ่ง ในภาวะที่ทรัพยากรรัฐมีจำกัด การที่จะไปสงเคราะห์ทั้งหมดมันทำไม่ได้ หรือทำได้ก็ไม่ดี มีปัญหา อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ครับ ------------------------------------------------------------------------- ไล่ตอบมาจนถึง ความเห็นที่ 35 ของน้องขุนอิน ใช่ครับ ความสัมพันธ์ กับการสื่อสาร กับคนไข้ สำคัญที่สุด ในการลดปัญหาการขัดแย้งและฟ้องร้อง ผมเองสอนน้องทุกคนที่ผ่านมาในเรื่องการสื่อสารกับคนไข้ ซึ่งผมเองเน้นเป็นพิเศษ (อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ จากการทำงานในอาชีพนี้ มาตลอดยี่สิบกว่าปี มากกว่า ผมเชื่อว่า คนไข้ส่วนใหญ่ ชอบความทุ่มเทเอาใจใส่ของผม ให้กับเค้ามากกว่า  ความเก่งของผม (ซึ่งจบแค่มหาลัยเล็กๆ ต่างจังหวัด แถมไม่ได้เป็นหมอเฉพาะทางอีกต่างหาก) แต่แม้ว่าจะสื่อสารกันดี ก็ไม่ใช่หมดไปแน่นอนครับ ถ้างานยังเยอะกว่า คน โอกาสผิดพลาดยังสูง ข่าวทางหนังสือพิมพ์ ที่มีลงมาเรื่อยๆตลอดเวลามีให้เห็น อยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องการเล็คเชอร์ เรื่อง Patient Relationship ล่ะก้อ ผมว่าเชิญผมไปเล็คเชอร์ก็ได้ นะ รับรอง ไม่น้อยหน้าใครครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 13:58:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 โรงเรียนแพทย์มีสอนครับ  Communication skill แต่ปัญหาที่เกิดแล้วแต่พื้นฐานตัวบุคคล ไม่เหมือนกัน ที่เหลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับหมอ ทักษะการจัดการปัญหา อยู่ที่ประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งจะต้องเรียนรู้ตอนฝึกงาน และมีแพทย์พี่เลี้ยงช่วยดูแล จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 14:01:56 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ครับปัญหามันมีจริง ช่องโหว่มีมากในโครงการ 30 บาท ส่วนคุณ Adrenaline inside me ผมก็สงสัยในตัวตน แต่ไม่ขอต่อความไปแล้วกัน แลกความเห็นล้วน ๆ แนวทางของคุณหมอ jfk เป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งผมเห็นด้วย แต่จะติดปัญหาเรื่องความเท่าเทียมนี่แหละ ใครว่าโครงการ 30 บาท เท่าเทียมนี่ไม่ใช่เลย ถ้าเป็นแพทย์จริงต้องรู้ ประกันสังคมนี่น่าสงสารที่สุด  เงินต้องเสียทุกเดือน เท่าเทียมกันที่ไหน การรับการรักษาก็มีปัญหามาก ถ้าสงสัยจะหาเวลาอธิบาย แต่ถ้าคนมีประสบการณ์จะรู้ แนวทางของผมคือการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ร่วมกันรับผิดชอบค่ารักษาโดยประชาชนทุกคน ปรับปรุงคุณภาพ และรวมกองทุน แต่นี่สิเท่าได้ยากกว่าเพราะ ปัญหาตรงตัวเงินนี่แหละ แต่แก้ได้หากให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกสิทธิ์การรักษาได้ จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 14:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 43 สำหรับการตอบกระทู้ เกี่ยวกับโครงการสามสิบบาท นี่ผมของดแค่นี้น่ะครับ เหนื่อยและเสียเวลามากทีเดียว เนื่องจากพูดแล้วมันมีประเด็นมาก แตกออกไป เกินจะถกกันในกระทู้ เพื่อนที่ต้องการ ถกกัน โทรมาได้ ครับ หรือยิงมาให้ผมโทรกลับ ก็ได้ครับ ขอเป็นช่วงบ่างถึงก่อนเที่ยงคืน ยินดี แลกเปลี่ยนความเห็นด้วยครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 14:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ้า..... มาช้าไปหน่อย จากคุณ : Devil_electric - [ 9 ส.ค. 49 14:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เป็นสิทธิที่จะคิดได้ครับ ว่าผมเป็นแพทย์จริงหรือไม่ คงไม่สำคัญตรงนั้น พี่หมอครับปรับแนวคิดสักนิดเถอะครับพี่ 1.ยังไงเสียคนชนชั้นกลางหรือมีเงินก็ยังควรได้รับสิทธิเหมือนคนอื่นนะครับ 2."ใครที่คิดว่าเก่งป้องกันไม่ให้เกิดโรค จนหมดหรือเหลือน้อยมากๆ ก็ช่วยกันเข้ามาทำเถอะครับ เอาให้หมดเลยก็ได้หมอจะได้เบาแรงลงไปอีกเยอะครับ " ก็เป็นความเห็นที่แย้งกันนะครับ ถ้าเป็นผมต้องเริ่มคิดที่ตัวเราครับ ..... ผมไม่ได้ทำธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นเปิดคลินิคหรือเปิดโรงพยาบาลเอกชน ผมจึงลืมไปว่าถ้ากลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้รับสิทธิบัตรทอง เค้าสามารถไปใช้บริการตรงนั้นได้ ต้องขออภัยที่ผมลืมคิดประเด็นนี้ครับ งั้นก็เริ่มเห็นด้วยกับพี่หมอเจ ว่ามีตังค์ก็ไม่ต้องได้สิทธิบัตรทอง (ต้องกราบขออภัยพี่ๆที่เปิดคลินิกนะครับ ตั้งแต่จบมาผมคิดตั้งนานว่าทำไมต้องเปิดคลินิคหรือเปิดโรงพยาบาลเอกชนกัน จนถึงบัดนี้ผมยังคิดไม่ออกครับ ผมอาจจะเป็นหมอที่ไม่เหมือนใคร ถึงว่าสิ่เค้าส่งผมไปอยู่ตามอนามัยอยู่เรื่อย) จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 14:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 หากจะแบ่งแยกมีเงินไม่มีเงิน เป็นเรื่องการจ่ายค่ารักษาจะทำให้เกิดความวุ่นวาย เดี๋ยวเอาไปใช้ตามอิทธิพลบ้าง  เส้นแบ่งก็ไม่รู้จะตัดที่ไหน คนที่อยู่ตรงเส้นแบ่งก็ลำบาก ให้สิทธิ์เท่า ๆ กันดีที่สุด  ตัวเขาจะเลือกใช้หรือไม่ใช้เอง หลักการคร่าว ๆ ของผมที่อยากให้เกิดขึ้น หลักเลยคือต้องนำเงินเข้าระบบมาเพิ่ม เงินก็ได้รับจากใครอื่นไปไม่ได้นอกจากประชาชน  วิธีมีมากมาย ผมยกตัวอย่างวิธีนึงละกัน ให้สิทธิ์เท่ากันทุกคน         สิทธิ์เบิกได้ก็คงไว้ ปรับปรุงให้ไม่ต้องเสียเงินก่อน เช็คได้ 100%ก็พอ ให้คนทำงานมีสิทธิ์ไม่เลือกประกันสังคมได้ อายุ 1-18 ปี  และ อายุ >60 ปี  ผู้พิการ ผู้ไร้ความสามารถ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ก็จะมี อสม.ญาติได้ส่วนลด หรือ ฯลฯ อีกจิปาถะ พิเศษแต่ละกรณีพิเศษต่าง ๆ ผู้อยู่ในวัยทำงานปรกติ เสียเงินค่ารับบริการ OPD    รพ.ชุมชน 30 บาท   รพ.ทั่วไป 50  รพ.ศูนย์ฯ รพ.แพทย์ 100 กลับมารักษาด้วยโรคเดิมเนื่องจากไม่หายไม่ต้องจ่ายซ้ำ โรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน  ความดัน  เก็บครั้งเดียว  60 บาท ไม่ต้องเสียอีก ยกเว้น ขาดการรักษา กลับมาใหม่เสียใหม่ ฉีดยา + 20 บาท   ตัดนู่นตัดนี่ +30 บาท  ตรวจด้วยแล้วทำแผล + 10 บาท ฯลฯ นอนโรงพยาบาลทุกกรณี 60 บาท ห้องพิเศษตามกำหนดราคา ผ่าตัด เช่น ไส้ติ่ง รพ.ชุมชน 100 บาท   รพ.ทั่วไป 200  รพ.ศูนย์ฯ รพ.แพทย์ 500 ดูแลจนจบการรักษาไม่เก็บเพิ่ม อย่างนี้เป็นต้น งบไม่พอสิ้นปี  เก็บภาษีสุขภาพเพิ่มในอัตราเท่ากันทุกคน ไม่เกี่ยวกับการยกเว้นภาษี ยกเว้นรายได้น้อยไม่ถึงกำหนดไม่ต้องเสีย ผู้ยากจนไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาลจึงลงทะเบียนเพื่อขอรักษาฟรี จะได้แก้ปัญหาความยากจนด้วย ตรวจสอบทุก 3 ปี แต่ฉุกเฉินไม่มีเงิน  ให้ผู้อำนวยการ หรือผู้รับผิดชอบเซ็นอนุมัติขอฟรีได้ จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 15:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เข้ามาตอบอีกรอบ ล่ะกัน ครับ เพาะว่า น้อง Adrenaline ไม่พร้อมจะเปิดเผยตัว ความจริงฟังดูเป็นหมอที่เสียสละอย่างยิ่ง น่าเปิดเผยตัว ออกจะตาย ผมเอง นี่เปิดเผยตลอด ครับ มาถึงคำถาม สองข้อที่ยกมา 1.ยังไงเสียคนชนชั้นกลางหรือมีเงินก็ยังควรได้รับสิทธิเหมือนคนอื่นนะครับ 2."ใครที่คิดว่าเก่งป้องกันไม่ให้เกิดโรค จนหมดหรือเหลือน้อยมากๆ ก็ช่วยกันเข้ามาทำเถอะครับ เอาให้หมดเลยก็ได้หมอจะได้เบาแรงลงไปอีกเยอะครับ " ก็เป็นความเห็นที่แย้งกันนะครับ ถ้าเป็นผมต้องเริ่มคิดที่ตัวเราครับ ..... สองข้อมันแย้งกันตรงไหน ครับ มันคนล่ะเรื่องคนละประเด็น และ ก็ผมตอบ ตามความเห็นที่ยกมาเป็นอันๆ ข้อหนึ่ง บอกแล้ว ถ้ารัฐมีงบ และคนจำกัด ทำได้ ดี ครับ คลุมให้หมด จบเลย แต่สถานะการณ์ ในวันนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้น ตอนนี้  เงินก็ยังไม่พอ คนและ อุปกรณ์ ก็ยังไม่พอ ในเมื่อทรัพยากรจำกัด มันถึงต้องเลือกคนที่ควรและจำเป็นต้องช่วยก่อน ไม่งั้นก็มีปัญหา พี่คนโต แข็งแรงกว่า แย่งขนมน้องคนเล็กอย่างที่บอกมาเหมือนทุกวันนี้  นี่แหละ ถึงผมจะไม่ได้เรียนบริหาร มาโดยตรง แต่ก็พอจะทราบได้ว่า นี่มันคือการบริหาร ทุน และบุคคล ให้เหมาะกับ Scale ที่ควรจะทำก่อน อย่าลืม ว่าการจำแนกคนจนที่ควรช่วยเหลือ ออกมา จากคน มีเงินที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ใช่เป็นการ แบ่งแยกชนชั้นให้ เกิดช่องว่าง ระหว่างกัน แต่เป็นการขยับให้คนชั้นล่าง ไล่ขึ้นมาได้มีโอกาสใกล้เคียงกับคนชั้นบนที่อยู่เหนือกว่า อย่างที่บอกไว้ แล้วนั่นแหละ ส่วนข้อสอง นั่นตอบคำพูดที่หลายคนชอบบอกว่า แค่ป้องกันโรคไว้ ไม่ให้เป็น ก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงเรื่องการรักษา ไง ครับ คนเป็นหมอจะรู้ดี ครับว่าเราเน้น การป้องกัน กันมา เป็นสิบๆปี แล้ว ซึ่งมันก็ได้ผล แต่ไม่ใช่ว่าทำแล้วมันจะไม่มีโรค ให้รักษาหรือหมด ไป หรือจะสบาย ขนาดเราทำกันเต็มที่แล้ว เป้าหมาย Health For all by the year of 2000 ที่ WHO ประกาศไว้ตั้งแต่สมัยผมเรียน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เราทำกันมา จนถึงตอนนี้ ก็ยังเป็นอย่างที่ว่านี่ ดังนั้น จะบอกว่า ป้องกันโรคดี ครับทำให้เต็มที่ ก็ดี แต่เอาจริงๆแล้ว คนเป็นหมอจะรู้ว่า โรคมันยังมีเรื่องต้องรักษากันอีกมากให้เรามานั่งเถียงกันไง ไม่ใช่ แค่นึกพูดอย่างเดียว ว่าป้องกันซะ ก็ไม่ต้องมาปวดหัวนั่งรักษา  คิดว่าคงเข้าใจประเด็นนะครับ ผมไม่ได้ทำธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นเปิดคลินิคหรือเปิดโรงพยาบาลเอกชน ผมจึงลืมไปว่าถ้ากลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้รับสิทธิบัตรทอง เค้าสามารถไปใช้บริการตรงนั้นได้ อันนี้แปลกเหมือนกัน ครับ ถ้าคนเป็นหมอ ลืมไป ว่า นอกจาก บริการของรัฐ แล้ว ยังมี คลินิคหรือเอกชน ที่กลุ่มคนมีเงิน เค้ารักษากันได้ อยากจะบอกว่า จริงๆแล้ว ไม่ใช่ แค่คนรวย  หรือ คนพอมีตังค์หรอกครับ ที่มารักษา กับคลินิค หรือ รพ.เอกชน แต่คนจนๆ ที่หนีจากบริการฟรี ของโครงการ มารักษาโดยจ่ายเงินเอง ในระบบเอกชน ก็มีมาก (สำหรับผม ที่อยู่ในชนบท อาจจะเป็นสัดส่วน 50:50 เลยด้วยมั้ง) สาเหตุ หลักก็มาจาก การที่เค้าทนต่อความแออัด ของระบบรัฐไม่ไหว นั่นแหละครับ ถึงต้องยอมลำบากเจียดเงิน หรือแม้แต่ กู้หนี้ยืมสิน  เพื่อรักษาตัวและคนที่ตัวรัก ซึ่งผมเองไม่อยากเห็นตรงนี้ ผมอยากให้คนที่มีฐานะยากจน ควรได้รับบริการที่ดี จากรัฐ อย่างพอเพียง ส่วนคน ที่พอช่วยเหลือตัวเองได้ ควรที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน โดยเลือกใช้บริการของรัฐ หรือเอกชน ก็ได้ตาม ความสะดวกของตน จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 15:54:33 ]

ความคิดเห็นที่ 48 และต้องแก้ไข แยกโรงพยาบาล  ปฐมภูมิ  ทุติยภูมิ  ตติยภูมิ  ให้งานชัดเจน ไม่ไปโหลดโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งควรรักษาโรคที่รักษายาก แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 49 15:55:58 จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 15:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอ่ออออออออออ  พี่ครับ ผมจะเปิดตัวหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของผมป่าวคับพี่ พี่เล่นพันธิปมาก็นาน น่าจะรู้จักธรรมเนียมดีนะครับพี่ ไม่ใช่ไม่พร้อมนะครับ แต่ผมไม่มีเหตุสงสัยที่จำเป็นต้องคุยกับพี่ทางโทรศัพท์ครับ คุยกันแบบนี้ดีออก คนอื่นได้รู้ถึง แนวคิดของเราด้วย แนวคิดของผม มันต่างกันน่ะครับ ผมก็พยายามสร้างทางเลือกให้คนไข้อยู่ทุกวันนี้ ก็ ต้องลำบากหน่อยครับ เพราะต้องทำธุรกิจด้านอื่น(ซึ่งไม่ใช่การหารายได้จากผู้ป่วย ผมทำใจเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆครับ เป็นเหตุผลส่วนตัวนาะครับ) พยายามเก็บเงิน  มีมาก ก็ไปออกหน่วยสักทีนึง มีน้อยก็เก็บไว้ก่อน ทำไงได้ล่ะครับ ผมก็อยากมีเงินซื้อเบนซ์ให้แฟนขับไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเหมือนกัน อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเก็บไว้ เป็นกองทุนสำหรับซื้อยาไปช่วยคนจน แนวคิดต่างกัน การกระทำก็ต่างกันครับ (ไม่มีเจตนาที่จะยกตัวเองอย่างที่พี่ZtahCกล่าวหาผมเลยสักนิด) ด้วยความนับถือครับ จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 16:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 50 รับทราบ เหตุผลเรื่องการ ไม่เปิดเผยตัว ครับน้อง Adrenaline การไม่เปิดเผยตัวตน ก็ดี ดีครับ อย่างน้อย จะพูดอะไรออกมาก็ไม่ต้องสนใจ ใครจะรู้ว่าเรา เป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้น จริงมั้ย  นึกอยากจะพูดอะไร เขียนอะไร วาดภาพจินตนาการอะไร ให้สวยหรูดูดี ได้เต็มที่ แต่ถ้าเปิดเผยตัวอย่างผม  นี่เราจะบังคับให้พูด หรือเขียนได้เฉพาะสิ่งที่เราทำจริง เพราะว่าคนเค้า สามารถตรวจสอบได้  จากตัวตนของเรา ดังนั้นไม่แปลก ครับ ที่หลายคน มักจะชอบอยู่ภายใต้เงาใน Cyber ซึ่งผม ก็เข้าใจ แต่ผมเอง ถือว่าผมไม่มีอะไรต้องปิดบัง จริงใจเปิดเผย พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นทุกรูปแบบ ก็เป็นการแสดงความจริง ใจกันอีกรูปนึง ซึ่งอย่างว่า ครับ แล้ว แต่ความคิดแต่ละคน คนรับฟังข้อมูล ก็ใช้ประกอบความเห็น ในเรื่องความน่าเชื่อถือ กันไปตามสมควร ด้วยความเคารพ และดีใจ ครับ ที่ได้ถกกัน แบบสุภาพ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 16:53:02 ]

ความคิดเห็นที่ 51 หมอเจ ครับ ในความเห็นที่ 47 หมอบอกว่า คนจนหลายคน ทนไม่ไหวกับความแออัดของ รพ.รัฐ จนต้องไปกู้มาจ่ายเอกชน ซึ่งถ้าเป็นจริง ถ้ามีคนรวยไปแอบอ้างใช้สิทธิ์อยู่เค้าก็ไม่น่า จะทนความแออัดไหวนะครับ หรือว่า คนรวย อดทน แต่คนจน ทนอด ได้ครับ จากคุณ : Alucard - [ 9 ส.ค. 49 17:04:18 ]

ความคิดเห็นที่ 52 พี่ครับผมเห็นพี่เป็นผู้ใหญ่ในพันธิป ก็ให้ความเคารพและเกรงใจเป็นพิเศษ พี่หยุดกรณีท้าทายเรื่องการเปิดเผยตัวเถอะครับ  มันไม่ใช่ประเด็นครับ ผมยังเคารพพี่หมออยู่ครับ จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 9 ส.ค. 49 17:17:22 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ตอบ 51 นี่แหละครับที่ผมบอก คนมีตังค์ยังคงไปใช้สามสิบบาท หลายคนเค้าไปแบบสบายๆ ไปเวลาว่างจากธุรกิจ ปกติ ไปตอนบ่ายๆ หรือกลางคืน เอายาจากเอกชน บ้างไป ขอตามนั้น หรือ กรณีต้องผ่าตัด ก็ไปจองคิวขอผ่า  ใช้ สิทธิ์ ที่เค้าได้รับ  คนมีเงิน มีเพาเวอร์ มีเส้นสาย ใช้เส้นสาย ในการอำนวยความสะดวก ให้กับตัวเองได้ และได้ เปรียบ คนอื่น แต่อย่างที่บอกไม่ใช่คนมีตังค์ทุกคน ไปใช้บริการ ในระบบ สวัสดิการของรัฐ นะครับ แต่ว่า มันมีบางส่วน ซึ่งไม่น้อย และไม่ควรจะมี คือ น่าจะ Reserve ไว้ให้กับคนที่ มีปัญหาเรื่องค่าใช้ จ่ายอย่างแท้จริงมากกว่า --------------------------------------------------------------- ตอบน้อง Adrenaline อีกครั้งครับ ไม่ได้มีเจตนาท้าทาย ให้เปิดเผยตัวอะไร ครับ แค่ชี้ให้เห็นว่า การเปิดเผยตัวตน กับ ไม่เปิดเผยตัวตน มันต่างกัน มีข้อดีต่างกันอย่างไร ส่วนเรื่องการตัดสินใจเปิดเผยตัวตน ของแต่ละคนนั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคล อยู่แล้ว ครับด้วยความเคารพ แต่ ถ้าจะถามว่า ทำไมผมถึง อยากรู้จักตัวตนของน้อง จริงๆ ผมบอกตามตรง ได้ครับ (บอกแล้วว่าเป็นคนเปิดเผยไง) คือสงสัยตั้งแต่ ตอนกระทู้ก่อน บอกว่าพี่คนไหนเปิดคลีนิค ขอให้บอก จะไปเปิดหน่วย 30 บาทใกล้ๆ ประมาณว่า ให้คลินิค เก็บตังค์เจ๊งให้ดู หรือ บอกว่า เป็นหมอแล้วถูกส่งไปอยู่อนามัยบ่อยกว่าคนอื่น รวมทั้ง โดยเฉพาะที่ บอกว่าทำอาชีพเสริม แล้วแบ่ง เงินไปซื้อยาออกหน่วย  ช่วยคนจน นี่มันสุดยอดจริงๆ ไง ครับ ไม่เคยเห็น ครับ เพราะว่าปกติหมอเรา ออกหน่วยยาโรงพยาบาล หรือจากสาธารณสุขมันมีให้อยู่แล้ว น่ะครับ ถึงได้สงสัย ว่าเป็นหมอจริงหรือป่าว หรือ เขียนเอาตามจินตนาการ แต่ถ้า น้องเป็นหมอจริง ผมว่า น่ายกย่อง ในความเสียสละ อย่างมาก ทีเดียว ผมคนนึงล่ะ คารวะด้วยใจจริง แต่ที่ถ้าไม่ใช่หมอ ผมไม่อยากเห็นคนที่แอบอ้าง วิชาชีพคนอื่น แล้ว เขียนให้ตัวเองดูดี (ซึ่งก็ทำให้คนอื่นกลายเป็น คนเลวไป) ชีวิตจริง กับ นิยายมันไม่เหมือนกัน ถึงต้องแยก ให้ชัดๆ ว่าจะเล่น คุยกันเหมือน นิยาย หรือ ชีวิตจริงไง ครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 18:00:40 ]

ความคิดเห็นที่ 54 หมอเจ ครับ ในความเห็นที่ 47 หมอบอกว่า คนจนหลายคน ทนไม่ไหวกับความแออัดของ รพ.รัฐ จนต้องไปกู้มาจ่ายเอกชน ซึ่งถ้าเป็นจริง ถ้ามีคนรวยไปแอบอ้างใช้สิทธิ์อยู่เค้าก็ไม่น่า จะทนความแออัดไหวนะครับ หรือว่า คนรวย อดทน แต่คนจน ทนอด ได้ครับ ---------------------------------- เรื่องคนที่ยากจน แต่ยอมเป็นหนี้ไปเอกชนนี่มีหลายปัจจัยรวมกัน แออัด เป็นส่วนหนึ่ง แต่มีเรื่องประสบการณ์ที่ได้พบเจอแตกต่างกันออกไป ศรัทธาในการรักษา นั่นคือเขาเชื่อมั่นในการรักษาของเอกชนมากกว่า จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 18:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เข้าใจแล้วนะครับว่าผมมีข้อสงสัยมากมายเช่นเดียวกับคุณหมอ jfk ไม่ได้คิดไปเองคนเดียว แต่ใช่ว่าสิ่งที่คุณเล่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่โอกาสน้อยมากๆ การว่าคุณว่ายกตนนี่ก็ตามที่ผมอ่านละครับ ก็เลยลองหยั่งเชิงดู จะว่าผมเลวก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่ถ้าคุณยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็พร้อมจะเชื่อ (ขอแค่ 90 % อีก 10%ระวังตัว) และขอยกย่อง จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 18:19:11 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณสำหรับคำตอบของ คุณหมอเจ ในความเห็นที่ 39 ครับ.. แต่..คุณหมอครับคุณหมอ เตรียมรับ "ผลกระทบ" จากการที่จะแบ่งแยกระดับคนในสังคมยังไงครับ.. ทำแบบนั้นมันไม่เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำกันในสังคมหรือครับ.. ความแตกแยกในชุมชนนี่ผมว่า อาจเกิดขึ้นได้ นะครับคุณหมอ.. ความอิจฉาในตัวคนเรานี่ มิใช่เพียง คนรวยอิจฉาคนจนได้อย่างเดียวนะครับ คนรวยก็อาจอิจฉาคนจนได้.. จริงมั๊ยครับ.. ผมว่าการใช้กฎระเบียบ แบ่งกลุ่มคนออกจากกัน อย่างชัดเจนนี่ ผมว่าค่อนข้างอันตรายต่อระบอบนะครับ ยิ่งการแบ่งนั้นเป็นการแบ่งโดยมี "ผลประโยชน์ของบุคคล" เป็นโจทก์ ผมว่ายิ่งน่ากลัวครับ.. ด้วยความเคารพครับ.. จากคุณ : Vee&Cat - [ 9 ส.ค. 49 18:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตอบคุณ Vee &Cat ความเห็น 56 ครับ บอกอีกครั้งก็ได้ ครับหลังจากบอกข้างบนมาแล้ว มันไม่ใช่การแบ่งแยกชนชั้น ให้เกิดความแตกแยกครับ มันคือการจำแนกคน ตามฐานะที่ควรจะ ได้รับการสงเคราะห์ เท่านั้นครับ สังคมเราปกติ ก็แบ่งช่วยสงเคราะห์คนต่างกันมาอยู่แล้ว อย่างเช่น คนจนได้รับจัดสรรที่ดินทำกิน ตามเหมาะสมตามสมควร คนจนรายได้น้อยไม่ต้องเสียภาษี หรือ เสียในอัตราต่ำกว่า คนมีฐานะ แม้แต่เรื่องการรักษาพยาบาล นี่เราก็สงเคราะห์คนรายได้น้อยมาตลอดหลายสิบปี ในโครงการสปร. ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น สามสิบบาท  และให้มันคลุมทั้งหมด ทั้งที่ไม่พร้อม ซึ่งนำมาซึ่งปัญหานี่แหละครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 9 ส.ค. 49 18:37:48 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ครับ เรื่องแบ่งแยกนี่สำคัญนะครับ มีผลกระทบสูง ตอนนี้แบ่งสิทธิ์รักษาเป็นสามแบบก็ดูไม่ดีแล้ว คุณหมอ jfk คิดว่าจะมีทางออกอย่างไรดีครับ ส่วนตัวผมคิดถึงระบบประกันสุขภาพให้เสมอกัน แต่จนจริง ๆ ก็ช่วยเหลือ โดยเขาไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในการรักษา ไป ๆ มา ๆ คนมีเงินอาจจะอิจฉาคนจนได้ จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 18:49:34 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขออภัย ที่อ่านไม่ทัน จากคุณ : ZtahC - [ 9 ส.ค. 49 18:51:02 ]

ความคิดเห็นที่ 60 30 บาทรักษาทุกโรคตั้งอยู่บนพื้นฐานคนไทยสิทธิเท่าเทียมกันไม่แบ่งรวยแบ่งจน  หมอส่วนหนึ่งไม่ชอบหรอก (แต่ส่วนหนึ่งที่น้อยชอบเพราะสงสารคนจน) แต่มันจะเป็นตัวบังคับให้พัฒนาระบบฐานข้อมูลประชากรและพัฒนางานอื่นๆได้ในอนาคต  การย้ายคนแต่ไม่ย้ายทะเบียนบ้านจะทำให้การใช้สิทธิยุ่งยากขึ้น(แต่ใช้โรคฉุกเฉินได้ปีละ 2 ครั้ง)  ถ้าคนมีงานทำมากขึ้นระบบประกันสังคมจะมีมากขึ้น  ข้าราชการใช้สวัสดิการข้าราชการ คนรวยอายที่จะแย่งที่คนจนก็ไปโรงพยาบาลเอกชนหรือไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนอกเขตบัตรทองเสียจะได้เสียเงินสมใจ  และพบว่า 30 บาท รพ.ชุมชนส่งตัวมารักษาที่รพ.ศูนย์มากขึ้น  ไม่ผ่าตัดเองเพราะจ่ายเงินให้ รพ.ศูนย์น้อยกว่าผ่าตัดเอง  ทำงานเบาลงเยอะ ยกเว้นส่งเสริมสุขภาพประชาชนไม่ดีเขาเลยป่วยกระเสาะกระแสะมาให้หมอชุมชนตรวจง่ายๆงานเลยเพิ่มมั้ง  ดี..ดี.. 30 บาททุกคนในด้านสุขภาพที่เคยแย่งกันฟุ่มเฟือย  ขายบริการเกินจำเป็น  (บริการเชิงพานิชย์มากขึ้น)และซื้อเครื่องไม้เครื่องมือแข่งกัน  เริ่มมีการแบ่งปันและแชร์กันใช้  มีการทบทวนการใช้จ่ายสุขภาพว่ามันไม่คุ้มค่าอะไรบ้าง(ผ้ที่สั่งยาตามใจตนเองก็มีระบบควบคุมมากขึ้น)  ผู้บริหารก็แข่งกันทำงานว่าใครมีประสิทธิภาพประสิทธิผลกว่ากัน  ดีๆๆๆๆ... เงินไม่พอรัฐบาลมีหน้าที่หาเงิน  ตอนนี้รัฐจ่าย 1,600 บาทต่อคนต่อปี  อีกหน่อยทุกคนรวยก็จ่ายประกันเองเหมือนประกันสังคม  อดจนรอการพัฒนาแบบยั่งยืนหน่อยเถอะ...พวกคนรวยที่ด่านายกทักษิณก็อย่าไปใช้สิทธิ 30 บาทก็แล้วกัน  ไปใช้โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่ไม่เคยสนใจการช่วยคนจนเถอะ จากคุณ : eye opening - [ 9 ส.ค. 49 22:53:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 #32  ..เย้ย ในความหมายSary คือ การเย้ยที่ไปประท้วงรฐบ. /ต่อต้านทักษิณ ซึ่ง...ก็มีเจตนาจะสื่อว่าการประท้วงของคุณหมอ หลาย ๆ ท่านคงไม่จำเปนจะต้องไปเพราะตัวเองเดือดร้อน/เสียผล ประโยชน์เสมอไป ... เข้าไปดูอีกครั้งจากประเดนของทุ้ก่อน...นั้นอ่าค่ะ แต่ประเด็นของผมในกระทู้นี้คือ วันนี้พี่หมอไล่นายกฯทักษิณ วันหน้าพี่จะไล่ใครอีก http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4604542/P4604542.html#58 ด้วยความเคารพ... นโยบายอะไรก็ตามที่คิดขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับประชาชน.. ถ้ารัฐบาลจริงใจในการแก้ไข - ช่วยเหลือจริง ๆ แค่ระดมความคิด ( เช่นคุณหมอทุกท่านในทุ้นี้ )  มีหรือที่ประโยชน์สูง ประหยัดสุด...จะทำไม่ได้   แลกเปลี่ยนคคห.กันต่อค่ะ ( ขออภัยที่นอกประเดน ) ขอบคุณที่มีพื้นที่ให้เข้ามาเพิ่มแนวคิด ^^~* จากคุณ : Sary - [ 9 ส.ค. 49 23:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พี่หมอคงแปลกใจใช่ไม๊ครับ ที่ผมบังเอิญมีแนวคิดที่แตกต่างออกไป ขอเรียนด้วยความสัจจริงครับ ...ถ้าพี่หมอมียาฟรีไปเปิดออกหน่วยตามพื้นที่ชนบทที่เขาประสบปัญหาต่างๆ พี่คิดว่าดีไม๊ครับ  พี่ไม่เคยเห็นหมอที่เค้าทำกันแบบนี้เหรอครับ ผมแปลกใจนะครับ .......ชีวิตแพทย์จำเป็นต้องเป็นแบบนี้หรือป่าวครับ เรียนแพทย์ 6 ปี ใช้ทุน 3 ปี เรียนแพทย์เฉพาะทาง อีก 3,4,5,8 ปี ก็แล้วแต่สาขาที่ต้องการ จบแล้วก็รับราชการ+เปิดคลินิก+เอกชน .......ต้องเป็นแบบนี้หรือป่าวครับ ถึงจะเป็นแพทย์ในแบบที่คนส่วนใหญ่รู้จัก (ที่จริงผมไม่ควรมานั่งตอบประเด็นแบบนี้เลยครับ เสียเวลามากๆ) เพื่อไม่ให้เป็นการเคลือบแคลงในตัวกระผม(ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจมากครับ) พี่คงตามไปพบผมได้ในเวปบอร์ดของ กลุ่มรักเมืองไทยได้ครับ ที่นั่นเค้ารู้จักผมดีครับ   .....พี่หมอจะได้หยุดประเด็นนี้เสียที่ครับ http://www.rukmuangthai.net/ สมาชิกกลุ่ม รักเมืองไทย ลำดับที่19 จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 10 ส.ค. 49 09:34:19 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ขออภัยคุณ Sary  นะครับ ผมเองก็อยากเห็นการแสดงความคิดเห็นในหลายๆมุมมองครับ จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 10 ส.ค. 49 10:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ตอบน้อง Adrenaline อีกครั้ง ไม่แปลกใจหรอกครับ ที่น้องมีแนวคิดเรื่องการออกหน่วย ทำประโยชน์อะไรอย่างนั้น หมอหลายคน เค้าก็มีแนวคิดอย่างนั้น ผมเอง ตอนออกมาใหม่ๆ ยังไม่มีงานอื่นมากนัก ทำแต่รพ.ยังหนุ่มมีแรง ก็ทำ ครับ แต่ไอ้ที่บอกว่า ทำธุรกิจ เอาตังค์ส่วนตัวไป ซื้อยาไปแจกคนไข้ นี่ พอบอกแล้ว คนที่เป็นหมอจะรู้ครับ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ ว่าไม่มีคนอยากทำนะครับ แต่มันไม่จำเป็น เพราะว่าทุกวันนี้ ยาออกหน่วยน่ะ มันมีมากมายอยู่แล้ว ที่ขาดคือคนที่จะคุมยา ไปตรวจไปแจกเท่านั้น เข้าใจที่ผมต้องการสื่อมั้ย อีกอย่างภาษา ที่คุณหมอใช้ มันไม่เหมือนพวกหมอๆ เราใช้กัน น่ะครับ อย่างเช่นคำเรียก แทนหมอคนอื่นว่าพี่หมอ พี่หมอ นี่ปกติ หมอเราไม่พูดกัน แพทย์เรามักจะเรียกตาม ด้วยชื่อ ด้วยเสมอ ไม่งั้นตัวเองก็เป็นหมอ มันดูเหมือนเรียกตัวเอง ครับ ถ้าน้อง เป็นหมอ จะสังเกตุได้ ครับ ว่ามันเป็นอย่างนั้น ทำให้ มันฟังดูเหมือนคนอื่น พยามพูดให้ดูเป็นหมอ ผมถึงได้ทักท้วง (ซึ่งถ้าความจริงคุณหมอ เป็นหมอจริง การพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นหมอ มันช่วยเพิ่มน้ำหนัก ในคำพูดตัวเอง ครับ) ซึ่งดูเหมือนน้อง ก็อยากให้ผมเชื่อ ว่า เป็นหมอจริง ถึงได้ ทำลิ้งค์มาให้ แต่ลิ้งค์นั้นเข้าไปแล้ว ไม่พบอะไรที่ ยืนยันความเป็นหมอ ของน้องได้เลยเรื่องที่ว่าเป็นหมอ ถ้าอยากพิสูจน์ ง่ายๆ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตนน้องก็ได้ครับ ใช้เบอร์อะไรก็ได้โทรมาหาผมตามเบอร์ ที่ให้ คุยกัน ซักครู่ ก็ ทราบแล้ว ครับหมอด้วยกัน ที่บอกนี่ไม่ได้จะไปบอกว่าน้องต้องพิสูจน์ตัวเอง นะครับ อันนั้นตามใจน้อง แต้ถ้าอยากพิสูจน์ อย่างที่ผมว่าง่ายดี ครับ แล้ว ถ้าเป็นหมอจริง ผมจะได้ช่วยยืนยันความเห็นน้องอีกที ว่าเป็นความเห็นจากหมอจริงๆ คนนึง จากคุณ : -=Jfk=- - [ 10 ส.ค. 49 12:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ผมบายกระทู้แบบนี้แล้วนะครับ ถ้าพี่หมอยังทำเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนความเห็นผมก็แสดงในทัศนะทั้งหมดแล้ว ถ้าจะมาจับผิดคำพูดไม่กี่คำ ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่ไม่แตกมาจากกระทู้ ผม คงไม่เสียเวลาเข้ามาตอบ ผมคงไม่มีรูปโรงพยาบาล หรือคลินิกมาโชว์ให้ใครเห็น ผมศรัทธาในตัวเอง และก็ศรัทธา ในคนที่มองเห็นคุณค่าของคน บาย นะครับ  ..........ด้วยความนับถือ จากคุณ : Adrenaline inside me - [ 10 ส.ค. 49 12:55:42 ]

ความคิดเห็นที่ 66 หวัดดีเช่นกัน คับ น้อง  Adrenaline แต่ถ้า ถึงเวลาต้องการ ให้ผมยืนยันการมีตัวตนจริงๆ ของน้อง ยินดี  ครับไม่ต้องยุ่งยาก ถ่ายรูป ทำเว็บอะไรหรอกครับ ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ด้วย ถ้าน้องเป็นหมอ จริง แค่โทรมาคุยกันผม อย่างที่ว่า ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่  จริงมั้ยครับ แต่ถ้าไม่ต้องการยืนยัน ก็ไม่ว่ากันครับ โชคดีครับ จากคุณ : -=Jfk=- - [ 10 ส.ค. 49 13:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอแนะนำกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4611395/P4611395.html ถ้ามีนโยบาย "สุขภาพดีมีรางวัล"  มาเสริม  30 บาทน่าจะดีขึ้นครับ จากคุณ : webkit - [ 10 ส.ค. 49 15:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คุณหมอเขียนได้โดนใจมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าผู้มีรายได้มากกว่าไม่ควรเบียดบังสิทธิของผู้มีรายได้น้อยกว่า เพราะสังคมไทยทุกวันนี้เป็นไปในทางกลับกันอยู่เรื่อย ตัวอย่างเช่น พนักงานกินเงินเดือนเนี่ย เสียภาษีกันทุกบาททุกสตางค์ ผู้ประกอบการรายย่อยโดนรีดเลือดกะปู ไม่ก็จ่ายใต้โต๊ะ แต่บริษัทใหญ่ๆ เอกชนรวยๆ ทั้งหลาย จะมีที่ปรึกษากฎหมายมาชี้ช่อง ทำให้เสียภาษีน้อยลง เลี่ยงอย่างถูกกฎหมาย รอดตัวลอยนวลไปได้เยอะแยะ ทุกบริษัทแหละ ไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน ทรท หรือฝ่ายสนับสนุน ปชป บริษัทของนักการเมือง ทรท หรือนักการเมือง ปชป ขอยืนยันว่าเลี่ยงเสมอหน้ากันหมด ไม่ว่าจะสามสิบบาท ของ ทรท หรือฟรีหมดของ ปชป สำหรับเรา ก็พอๆ กันนั่นแหละ มันน่าจะมีกติกาขั้นต่ำได้นะ ไม่น่าจะทำยากเย็นอะไรเลย ดูจากยอดภาษีบุคคลธรรมดาที่เสียก็ได้ คนที่รายได้ไม่ถึงขั้นเสียภาษี หรือว่าเสียภาษีปีละไม่เกินเท่าไหร่ ถึงจะมีสิทธิใช้สิทธินี้ อะไรทำนองนี้น่ะ จากคุณ : =p o o k p u i= - [ 10 ส.ค. 49 15:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 69 โครงการ 30 บาท มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขเหล่านี้คือ 1. ประชาชนส่วนใหญ่ มีสุขภาพดี  สุขภาพดี ไม่ใช่หมายแค่ว่า ไม่เป็นโรค แต่หมายถึงสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิดใจ สถานภาพทางสังคม จิตวิญญาณ 2. ประชาชนส่วนใหญ่ รู้จักการดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพใจของตัวเอง ทั้งด้านการป้องกัน และรักษาพยาบาลเบื้องต้น  เช่นว่า เป็นหวัดก็ควรพักผ่อนให้เยอะ กินน้ำอุ่นให้มาก ..  ไม่ใช่ไปหาหมอ ขอยา มาโยนทิ้ง ...  หรือ กินเหล้าจนปวดท้อง ต้องไปหาหมอขอยาแก้โรคกระเพาะ ฯลฯ อะไรเทือกเนี้ย 3. หน่วยงานสาธารณสุขมูลฐาน งานเวชกรรมป้องกัน งานส่งเสริมสุขภาพ สามารถ function ได้ผล ลด preventable disease & illness จนต่ำกว่า minimal ได้  เช่น ให้วัคซีนจนครบ เด็กทุกคนออกกำลังกาย ได้อาหารดีมีประโยชน์ทุกคน วัยรุ่นมีความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้อง ห่างไกลยาเสพย์ติด ผู้ใหญ่ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ฯลฯ 4. หน่วยงานปฐมภูมิ (PCU) ให้ความสำคัญกับ preventive medicine (เวชกรรมป้องกัน), การให้ึความรู้ มากกว่า defensive ... การให้การรักษาพยาบาล เอาแค่นี้ก่อน  ถ้าพื้นฐานสี่อย่าง ... ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทั้งสุขภาพประชาชน และรากฐานสำคัญของระบบ 30 บาท ยังไม่มั่นคง ก็เหมือนกับที่คุณ polar bear กังวล .. สร้างตึกสามสิบชั้น บนดินเลนโดยไม่ตอกเสาเข็มแม้แต่ซักต้น!  โครงการสามสิบบาท มีเพื่อให้ประชาชนที่เป็นโรคซึ่งป้องกันไม่ได้ และสถานะทางเศรษฐกิจไม่ดี รายได้น้อย สามารถเข้าถึงการให้บริการสาธารณสุข โดยรัฐบาลสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกิน  แต่ทุกวันนี้ มันกลายพันธ์  กลายเป็นโครงการหาเสียงพรรคการเมือง  เพื่อให้ประชาชน ขาดความรู้ ความสามารถในการเสริมสร้างสุขภาพตนเอง  ฝากชีวิต ร่างกาย อนาคต ไว้กับหน่วยงานสาธารณสุข  ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อีกต่อไป  รู้แต่ว่า ป่วยนิด เจ็บหน่อย กำเงินสามสิบบาทไปหาหมอก็ได้  จะไปเต้นแอโรบิกทำไม เหนื่อย เครียด เสียเวลากินเหล้าปล่าวๆ  จะผ่อนคลายจิดใจทำไม ถึงเครียด เป็นความดัน ไปหาหมอก็ได้ยาลดความดัน ยาคลายเครียดมากินแล้ว  เป็นหวัด เรื่องอะไรต้องปล่อยให้มันหายเองตามธรรมชาติ ไปบีบคอหมอให้ทำผิดจรรยาบรรณ ให้จ่ายยาปฏิชีวนะดีกว่า  ฯลฯ  (บทสรุปจากการกระโจนลงไปงานเวชศาสตร์ครอบครัว เวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ชุมชนเขตเมือง หลายๆปี)  พรรคการเมือง และแพทย์บางคน กำลังใ้ช้โครงการสามสิบบาท ฝึกคนที่ควรช่วยเหลือตัวเองได้ ให้กลายเป็นขอทานทางสุขภาพ!  -------------------  ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และ ประชาชนทั่วไป ที่มาวิจารณ์ให้ความเห็นกระทู้นี้ .. ส่วนใหญ่ ให้ความสนใจเรื่องยาราคาถูก คุณภาพต่ำ แพทย์เห็นแก่ตัว งานหนักขึ้น ฯลฯ  อยากให้มองแง่มุมนี้บ้างครับ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 11 ส.ค. 49 00:26:40 ]