ว่ากันว่า สัญลักษณ์แห่งความเป็นจีนที่มักถูกแทนที่ด้วยสัตว์ที่มีรูปร่างแปลก ๆ ที่เรียกกันว่า มังกร หรือ เล้ง นั้น ได้ถูกสันนิษฐานว่าปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่กษัตริย์ยุคดึกดำบรรพ์ในตำนานของจีนที่ชื่อว่า อึ่งตี่ ซึ่งเป็นยุคที่ต้องสืบค้นย้อนหลังกลับไปในอดีตถึงเกือบ 5,000 ปี หรือประมาณกว่า 2,000 ปีก่อนคริสตศักราชเลยทีเดียว
มีการเล่าขานกันอย่างคลุมเครือเอาไว้ว่า อึ่งตี่ นั้น เดิมทีเป็นหัวหน้าชุมชนในภาคมณฑลโหหนาน หลังจากที่ได้กำราบหัวหน้าชุมชนคู่แข่งในแถบปักกิ่งลงไปได้แล้ว ก็พยายามรวบรวมเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกของจีนในขณะนี้เข้ามาเป็นชาติพันธุ์อันเดียวกัน หรือเริ่มต้นความเป็นประเทศมาตั้งแต่ครั้งนั้น
ในการก่อร่างความเป็นชาติของกษัตริย์ อึ่งตี่ นั้น ว่ากันว่าพระองค์ได้พยายามรวบรวมเอาสัญลักษณ์ส่วนต่าง ๆ ของชนเผ่าแต่ละเผ่าเข้ามาประกอบเป็นรูปร่างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยนำเอาส่วนหัวจากสัญลักษณ์ที่นับถือวัวมาเป็นส่วนหัว ส่วนลำตัวจากชนเผ่าที่นับถืองู ส่วนหางจากชนเผ่าที่นับถือปลา ส่วนเขาจากเผ่าที่นับถือกวาง ส่วนเท้าจากชนเผ่าที่นับถือนก เข้ามาผสมกันไปมาจนกลายเป็นมังกร
แต่การทำให้สัตว์ที่มีรูปร่างประหลาด ๆ เช่นนี้ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยาวนานต่อเนื่องกันมานับเป็นพัน ๆ ปี มีฤทธานุภาพจนสามารถโลดถลาครอบครองพื้นที่อาณาเขตที่ขยายตัวออกไปกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา กลืนกินชนเผ่าต่าง ๆ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ให้อยู่รวมกันภายใต้จักรวรรดิเดียวกันมาได้ยาวนานจนถึงบัดนี้ ก็คงต้องอาศัยวิเทโศบายและประสบการณ์ในทางการเมือง การปกครองของกษัตริย์องค์ต่าง ๆ ที่สืบเนื่องติดต่อกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย ถึงจะทำให้มังกรตัวนี้ยังคงความเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจีนมาได้ถึงในปัจจุบัน
และในบรรดากษัตริย์องค์ต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา ถือกันว่ากษัตริย์ที่มีชื่อว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งขึ้นมาครอบครองแผ่นดินจีนเมื่อประมาณ 246 ปีก่อนคริสตศักราช หรือเมื่อประมาณเกือบ 3,000 ปีที่แล้ว น่าจะเป็นผู้ที่มีความสำคัญเอามาก ๆ ในการวางรากฐานแห่งความเป็นจีนหรือทำให้มังกรตัวนี้ผงาดขึ้นมาเป็นที่รู้จักกันในนาม จักรวรรดิจีน และคงลักษณะพิเศษเอาไว้อยู่จนกระทั่งบัดนี้ และรากฐานในลักษณะดังกล่าวนี่เองที่ทำให้การดำรงความเป็นจีน มักต้องเกิดขึ้นภายใต้ระบบการเมือง การปกครอง ระบบโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างในลักษณะแทบจะตรงกันข้ามกับแนวทางการเมืองการปกครองของตะวันตกกันแบบคนละเรื่อง
ถ้าหากเราย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์เมื่อเกือบ 3,000 ปีที่แล้ว การที่พระจักรพรรดิจิ๋นซีสามารถหลอมละลายนครรัฐ 6 แห่งที่ต่างตั้งตัวเป็นอิสระต่อกันและกันและหันมารบพุ่งกันเองตลอดนับเป็นร้อย ๆ ปี จนทำให้หัว หางและลำตัวมังกรที่แทบถูกฉีกขาดออกเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่ครั้งนั้นกลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันอีกได้ และทำให้มังกรตัวนี้พุ่งผงาดแผ่อำนาจบารมีออกไปในทุก ๆ ทิศทาง ก็ไม่ได้เป็นเพียงเพราะว่า พระองค์จะอาศัยอำนาจความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งทางทหารที่เหนือกว่านครอื่น ๆ แต่เพียงเท่านั้น แต่พระองค์ยังอาศัยความชาญฉลาดและความเหี้ยมเกรียมเอามาก ๆ ในการสร้างระบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มข้นและสึกซึ้ง ถึงจะสามารถละลายองคาพยพส่วนต่าง ๆ ให้กลายมาเป็นแผ่นดินจีนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ครอบครัวที่มั่งคั่งแต่ละครอบครัว ซึ่งเคยเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจอยู่ในนครรัฐแต่ละแห่ง ต้องอพยพเข้ามาอยู่ร่วมกันภายในเมืองหลวงจำนวนถึง 220,000 ครอบครัว ริบอาวุธของราษฏรในทุกพื้นที่นำมาหลอมละลายจนกลายเป็นรูปหล่อโลหะที่มีปริมาณน้ำหนักถึง 1,728,000 กิโลกรัม ควบคุม จำกัด รวมทั้งทำลายเสรีภาพของนักคิดและปัญญาชนด้วยการสั่งจับกุมนักปราชญ์จำนวนถึง 460 คนไปฆ่าหมู่ฝังรวมอยู่ในหลุมเดียวกัน เผาตำรับตำราทางด้านวิชาการต่าง ๆ ไปเป็นจำนวนมาก เกณฑ์แรงงานทั่วประเทศให้วุ่นวานอยู่กับการสร้างกำแพงเมืองจีนเพิ่มเติมเป็นระยะทางอีก 2,200 กิโลเมตร แบ่งซอยแผ่นดินทั้งหมดออกเป็นเขตปกครองจำนวน 36 จังหวัด ซึ่งต่างก็ต้องขึ้นตรงต่อศูนย์กลางหรือต่อพระจักรพรรดิโดยตรง สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้แผ่นดินซึ่งมักแตกกระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ อยู่บ่อย ๆ ได้ถูกหลอมละลายให้อยู่ภายใต้ความเป็นจีนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสืบต่อมา
กรรมวิธีการปกครองของพระจักพรรดิจิ๋นซี แม้นว่าจะเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ดุร้าย ทารุณเอามากมาก แต่มันเป็นกรรมวิธีที่บรรดากษัตริย์ที่สืบทอดแผ่นดินจีนในระยะต่อ ๆ มามักจะไม่อาจปฏิเสธได้ แม้นว่ากษัตริย์บางองค์อย่างกษัตริย์ บุ่นตี่ แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจหลังโค่นล้มราชวงศ์จิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว จะรู้สึกสะทกสะท้อนใจไม่น้อยต่อความโหดเหี้ยมทารุณและการกดขี่ราษฏรในตลอดยุคราชวงศ์จิ้น และพยายามหันมาแสดงความเมตตาปราณีและการุณยธรรมต่อราษฏร รวมทั้งพยายามหาทางยกเลิกการกดขี่ทารุณที่มีอยู่ในระบบรวมศูนย์อำนาจแบบเข้มข้นที่กษัตริย์จิ๋นซีวางเอาไว้เป็นรากฐานในการควบคุมแผ่นดินไปเป็นอย่างอื่น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบดังกล่าวถูกทำให้คลายตัวลงไป การก่อกบฏต่อศูนย์กลางและความพยายามแยกแผ่นดินออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะหวนกลับคืนขึ้นมาทันที กลายเป็นเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ดังที่มีการเกริ่นนำเอาไปไว้ในบทเริ่มต้นของ พงศาวดาร 3 ก๊ก ว่าด้วยความแตกแยกและการรวมกลับมาเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นไปแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความพยายามทำให้แผ่นดินจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่แตกกระจัดกระจาย จนมาซึ่งการรบพุ่งแย่งชิงอำนาจระหว่างกันและกันอยู่เสมอ ๆ ทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏอยู่เพียงแต่เฉพาะในแบบแผนการเมือง การปกครองเท่านั้น แต่มันยังกลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงไปในระดับรากฐานแห่งความเป็นจีนหรือลึกลงไปในระดับวัฒนธรรมและจิตสำนึกกันเลยก็ว่าได้
กระบวนการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความเป็นจีนได้ถูกสะท้อนให้เห็นในหลายต่อหลายกรณี ไม่ว่าตั้งแต่ระบบการใช้ชื่อแซ่ ที่มีการวางรากฐานกันมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์จิว เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชที่นอกจากจะช่วยเชื่อมโยงหน่วยย่อย ๆ ต่าง ๆ ในสังคมจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสืบต่อกันมานานแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ถูกทำให้สอดคล้องกับปรัชญาลัทธิ ขงจื๊อ ที่ถูกบรรดากษัตริย์องค์ต่าง ๆ นำมาปรับใช้กับระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่เพียงแต่เชื่อมโยงหน่วยต่าง ๆ ของสังคมเข้าหากันได้อย่างแน่นเหนียว มันยังจัดแบ่งสถานะของบุคคลในสังคมเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยสถานะนั้น ๆ มีลักษณะที่ขึ้นต่อกันและกันไปเป็นทอด ๆ เช่นลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่อย่างเด็ดขาด ภรรยาจะต้องเชื่อฟังสามี ผู้ใต้ปกครองจะต้องเชื่อผู้ปกครองส่วนต่าง ๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระจักรพรรดิอันเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่างฟ้าดิน
นอกเหนือไปจากนั้น การประดิษฐ์ตัวอักษรจีนอันชาญฉลาดที่สามารถอาศัยสัญลักษณ์ในภาษาเขียนมาใช้สื่อความเข้าใจระหว่างชาวจีนที่มีภาษาพูดแตกต่างกันได้อย่างกลมกลืน เมื่อถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในแต่ละระดับขั้น โดยมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญา ขงจื๊อ เป็นองค์ประกอบ กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยิ่งถูกปลูกฝังให้แผ่ซ่านซึมลึกลงไปในสังคมจีนต่อเนื่องยาวนานนับเป็นพัน ๆ ปี จนกลายเป็นรากฐานความเป็นจีน อันเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการตะวันตกอย่าง เอ็ดวิน ไรส์เซอร์ และ ยอห์น แฟร์แบงค์ ได้ให้คำนิยามเอาไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้วว่า ความเป็นจีนนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่มรดกทางวัฒนธรรมที่มีการสืบทอดต่อเนื่องกันมาเหมือนกับสังคมอื่น ๆ แต่มันคือลัทธิวัฒนธรรมที่ถูกฝังรากเอาไว้ในจักวรรดิจีนนับตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ภายใต้รากฐานของลัทธิวัฒนธรรมที่ถูกฝังรากความเป็นจักรวรรดิเช่นนี้ ทำให้แม้นว่าชาวจีนจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพมองโกลของกุบไลข่านอย่างราบคาบในปี ค.ศ. 1279 และตกอยุ่ภายใต้การปกครองของมองโกลนานเกือบร้อยปี พ่ายแพ้ต่อชาวแมนจูในปี ค.ศ. 1661 และถูกปกครองโดยราชวงศ์เชงของชาวแมนจูมานานถึง 297 ปี แต่ความเป็นจีนที่กลายเป็นรากฐานของจักรวรรดิ นอกจากจะไม่ได้ถูกทำลายลงไปเลย มันกลับมีอานุภาพมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชาวมองโกลและแมนจูให้ต้องหลอมละลายตัวเองเข้ากับความเป็นจีนในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าในทางการเมือง การปกครอง การใช้ภาษา การนำเอาประเพณีจีนเข้าไปใช้เป็นประเพณีในราชสำนัก จนกระทั่งเมื่อกษัตริย์ราชวงศ์แมนจูองค์สุดท้ายต้องก้าวลงจากบัลลังก์นั้น นักประวัติศาสตร์จีนบางรายถึงกับกล่าวว่า เมื่อชาวแมนจูยกราชบัลลังก์ให้กับสาธารณะรัฐจีนนั้น แมนจูคงเหลือแต่เสื้อกับกางเกงชุดเดียวเท่านั้นที่เป็นของแมนจู นอกเหนือไปจากนั้นชาวแมนจูก็คือคนจีนดี ๆ นั่นเอง
ทั้งหมดข้างต้นนี้ ผมยกมาจาก หนังสือ แผนพิชิตมังกร ของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ บทที่ 2 ตอน ลัทธิวัฒนธรรม - ลัทธิคอมมิวนิสต์ กับความเป็นจีน
ซึ่งจริง ๆ แล้วบทความนี้มีต่อครับ แต่ผมจะมิยกมาไว้ (ใครอยากอ่านไปซื้อเอง) เพราะประเด็นที่ผมอยากจะพูดมันมีเพียงเท่านี้
เพราะมันเป็นกึ่ง การปกครอง และ ลัทธิวัฒนธรรม ที่ทุกสังคมน่าจะยอมรับกับความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น
ผมจะมิกล่าวถึงหน้าเสื่อว่า การปกครองบ้านเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่... ผมคงมิพูด แต่ที่ยากพูดคือ วัฒนธรรม ที่หนักแน่น โดยเฉพาะที่ยกมาในตอนท้ายจะพบว่า จีนถูกกลืนชาติไปอย่างน้อย ๆ ก็สองครั้ง
แต่ความเป็นจีนของเขาไม่ได้เสื่อมหายไปเลย ขนบ ประเพณี ยังคงอยู่มิขาดสูญมิได้ถูกกลืนกิน
ทำไม... เพราะอะไร.... อาจเป็นเพราะขงจื๊อได้วางหลักคำสอนของเขาไว้ดี จนมิอาจจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติกันอย่างสืบทอดลงมา
หายากนะครับ คำสอนเมื่อหลายพันปีที่แล้ว แต่กลับเดินทางผ่านกาลเวลาโดยมิได้เสื่อมค่าลงเลย
แล้วกลับบ้านเราล่ะครับ
มิเคยโดนใครกลืนชาติ เป็นเอกราชมาตลอด แม้จะมีเสียท่าเพื่อนบ้านบ้างแต่ด้วยพระอัจฉริยะภาพของบูรพมหากษัตริย์ก็กู้คืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
กระทู้นี้ผมขอบ่นเรื่องสังคมครับ มิได้อิงแอบการเมืองแต่ประการใด
ทุกวันนี้เด็กไทยเราถูกครอบงำแล้วครับ ด้วยวัฒนธรรมต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมิรู้จบ มิว่าจะแอบแฝงเข้ามาในรูปแบบของ ละคร ภาพยนตร์ เพลง
เด็กไทยทุกวันนี้รู้จัก อาหารเกาหลี มากกว่า อาหารไทย
เด็กไทยทุกวันนี้พูดคำว่า ว็อทส์ ซับ แม๊น... มากกว่า สวัสดี
เด็กไทยทุกวันนี้รักที่จะเสพวัฒนธรรมต่างชาติ มากกว่าจะจดจำ ประเพณีอันงดงาม
เด็กไทยทุกวันนี้นิยมใช้มารยาทของไอ้กัน มากกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักมารยาทไทย
จริง ๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกครับที่จะมองว่า ยุคนี้เป็นโลกไร้พรมแดน ยิ่งเราพัฒนาตัวเป็นสากลได้มากเท่าไหร่จะทำให้เราหมุนทันโลกได้มากเท่านั้น.... ไม่สำคัญเลยถ้าเด็กเหล่านั้นจะฉลาดตามสมัยนิยม
จริง ๆ แล้วก็จริงครับ ผมอาจจะยึดติดกับความเป็นไทยมากไปนิด
แต่ลองนึกภาพดูสิครับ ถ้าเด็กในยุคต่อไปอีก 20 ปี หลงลืมความเป็นไทยที่อยู่ในขุมขนและสายเลือดหมดแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น
วันนี้เรามีกระทรวงวัฒนธรรม ที่ผมเข้าใจว่าตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมดารานักร้องเท่านั้น เพราะผมไม่พบว่ากระทรวงนี้จะทำประโยชน์อะไรให้กับวัฒนธรรมไทยของเราเลย
เด็กไทยไม่รู้จักอาหารไทย เด็กไทยไม่รู้จักประเพณีไทย และอีกหลาย ๆ อย่างที่เด็กไทยหลงลืม
แล้วจะตั้ง กระทรวง ขึ้นมาหาหอกโมกขศักดิ์ทำไมครับ
หน้าที่ท่านคือการออกสปอตแล้วบอกว่า จงรักษาวัฒนธรรมไทย
แต่อย่างไรเล่าครับ....
ช่วยบอกที
ถ้าวันหนึ่ง (ซึ่งผมหวังอย่างนั้น) ประเทศไทยได้ก้าวเป็นแนวหน้าของโลก ยืนเคียงข้างมหาอำนาจอย่างจีนและอเมริกาอย่างเทียมหน้าเทียมตา ผมก็ไม่พอใจครับ ถ้าเราไม่มีเอกลักษณ์ที่จะยืนยันต่อสายตาชาวโลกว่า นี่คือไทย
และในความเป็นจริง ถ้าความเป็นชาติของเราไม่เข้มแข็ง ประเทศก็ไม่รู้จะไปในทิศไหน ไม่มีวันเดินหน้าได้อย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อคนไทยไม่สำนึกในความเป็นชาติ เมื่อนั้นก็แปลได้ว่า เราพร้อมจะถูกจูงจมูกจากประเทศมหาอำนาจที่เข้ามาเผยแพร่และแทรกซึมวัฒนธรรมประเทศนั้น ๆ เราจะตกเป็นทาสทางความคิด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิงวอนล่ะครับ ความเป็นไทย มิได้รักษาด้วยปาก แต่มันอยู่ที่ใจกับสมองครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ ต้องจริงจังครับ
อย่าจับผิดนักเลย.... ว่า นักร้องคนไหนมันจะโชว์นมหรือตูด ให้มันโชว์เถอะครับ... ผมก็อยากเห็น
เอาเวลาที่จะแย้งมานั่งคิดดีกว่าครับ ว่า จะทำอย่างไรให้เด็กไทยของเรารู้จักว่า อะไรคือ วัฒนธรรมความเป็นชาติ ของเรา
ถือว่าอ่านกันเล่น ๆ นะครับยามเช้าแบบนี้
กู๊ด บาย... ซี ยู อะเกน... โย่ห์ โย่ห์ แม๊น...
แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 49 07:11:00
จากคุณ :
ShowyPower
- [
วันแม่แห่งชาติ 07:09:55
]