CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    อ่านเรื่องจีน แต่มองผ่านไทย นี่คือสงครามรูปแบบใหม่ที่คนไทยต้องต่อสู้

    ว่ากันว่า  สัญลักษณ์แห่งความเป็นจีนที่มักถูกแทนที่ด้วยสัตว์ที่มีรูปร่างแปลก ๆ ที่เรียกกันว่า  “มังกร”  หรือ  “เล้ง”  นั้น  ได้ถูกสันนิษฐานว่าปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่กษัตริย์ยุคดึกดำบรรพ์ในตำนานของจีนที่ชื่อว่า  อึ่งตี่  ซึ่งเป็นยุคที่ต้องสืบค้นย้อนหลังกลับไปในอดีตถึงเกือบ  5,000 ปี  หรือประมาณกว่า  2,000 ปีก่อนคริสตศักราชเลยทีเดียว

    มีการเล่าขานกันอย่างคลุมเครือเอาไว้ว่า  อึ่งตี่  นั้น  เดิมทีเป็นหัวหน้าชุมชนในภาคมณฑลโหหนาน  หลังจากที่ได้กำราบหัวหน้าชุมชนคู่แข่งในแถบปักกิ่งลงไปได้แล้ว   ก็พยายามรวบรวมเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ   ที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกของจีนในขณะนี้เข้ามาเป็นชาติพันธุ์อันเดียวกัน   หรือเริ่มต้นความเป็นประเทศมาตั้งแต่ครั้งนั้น

    ในการก่อร่างความเป็นชาติของกษัตริย์  อึ่งตี่  นั้น   ว่ากันว่าพระองค์ได้พยายามรวบรวมเอาสัญลักษณ์ส่วนต่าง ๆ ของชนเผ่าแต่ละเผ่าเข้ามาประกอบเป็นรูปร่างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน   โดยนำเอาส่วนหัวจากสัญลักษณ์ที่นับถือวัวมาเป็นส่วนหัว   ส่วนลำตัวจากชนเผ่าที่นับถืองู   ส่วนหางจากชนเผ่าที่นับถือปลา   ส่วนเขาจากเผ่าที่นับถือกวาง   ส่วนเท้าจากชนเผ่าที่นับถือนก   เข้ามาผสมกันไปมาจนกลายเป็นมังกร

    แต่การทำให้สัตว์ที่มีรูปร่างประหลาด ๆ เช่นนี้  สามารถดำรงชีวิตได้อย่างยาวนานต่อเนื่องกันมานับเป็นพัน ๆ ปี   มีฤทธานุภาพจนสามารถโลดถลาครอบครองพื้นที่อาณาเขตที่ขยายตัวออกไปกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา   กลืนกินชนเผ่าต่าง ๆ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ  ให้อยู่รวมกันภายใต้จักรวรรดิเดียวกันมาได้ยาวนานจนถึงบัดนี้   ก็คงต้องอาศัยวิเทโศบายและประสบการณ์ในทางการเมือง   การปกครองของกษัตริย์องค์ต่าง ๆ ที่สืบเนื่องติดต่อกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย   ถึงจะทำให้มังกรตัวนี้ยังคงความเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจีนมาได้ถึงในปัจจุบัน

    และในบรรดากษัตริย์องค์ต่าง ๆ เท่าที่ผ่านมา   ถือกันว่ากษัตริย์ที่มีชื่อว่า   จิ๋นซีฮ่องเต้   ซึ่งขึ้นมาครอบครองแผ่นดินจีนเมื่อประมาณ  246  ปีก่อนคริสตศักราช   หรือเมื่อประมาณเกือบ  3,000  ปีที่แล้ว  น่าจะเป็นผู้ที่มีความสำคัญเอามาก ๆ   ในการวางรากฐานแห่งความเป็นจีนหรือทำให้มังกรตัวนี้ผงาดขึ้นมาเป็นที่รู้จักกันในนาม  “จักรวรรดิจีน”  และคงลักษณะพิเศษเอาไว้อยู่จนกระทั่งบัดนี้   และรากฐานในลักษณะดังกล่าวนี่เองที่ทำให้การดำรงความเป็นจีน   มักต้องเกิดขึ้นภายใต้ระบบการเมือง  การปกครอง  ระบบโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างในลักษณะแทบจะตรงกันข้ามกับแนวทางการเมืองการปกครองของตะวันตกกันแบบคนละเรื่อง

    ถ้าหากเราย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์เมื่อเกือบ  3,000 ปีที่แล้ว  การที่พระจักรพรรดิจิ๋นซีสามารถหลอมละลายนครรัฐ  6  แห่งที่ต่างตั้งตัวเป็นอิสระต่อกันและกันและหันมารบพุ่งกันเองตลอดนับเป็นร้อย ๆ ปี   จนทำให้หัว  หางและลำตัวมังกรที่แทบถูกฉีกขาดออกเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่ครั้งนั้นกลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันอีกได้   และทำให้มังกรตัวนี้พุ่งผงาดแผ่อำนาจบารมีออกไปในทุก ๆ ทิศทาง  ก็ไม่ได้เป็นเพียงเพราะว่า  พระองค์จะอาศัยอำนาจความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ   ความแข็งแกร่งทางทหารที่เหนือกว่านครอื่น ๆ  แต่เพียงเท่านั้น   แต่พระองค์ยังอาศัยความชาญฉลาดและความเหี้ยมเกรียมเอามาก ๆ   ในการสร้างระบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มข้นและสึกซึ้ง   ถึงจะสามารถละลายองคาพยพส่วนต่าง ๆ  ให้กลายมาเป็นแผ่นดินจีนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ครอบครัวที่มั่งคั่งแต่ละครอบครัว   ซึ่งเคยเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจอยู่ในนครรัฐแต่ละแห่ง   ต้องอพยพเข้ามาอยู่ร่วมกันภายในเมืองหลวงจำนวนถึง  220,000  ครอบครัว   ริบอาวุธของราษฏรในทุกพื้นที่นำมาหลอมละลายจนกลายเป็นรูปหล่อโลหะที่มีปริมาณน้ำหนักถึง  1,728,000  กิโลกรัม  ควบคุม  จำกัด  รวมทั้งทำลายเสรีภาพของนักคิดและปัญญาชนด้วยการสั่งจับกุมนักปราชญ์จำนวนถึง  460  คนไปฆ่าหมู่ฝังรวมอยู่ในหลุมเดียวกัน   เผาตำรับตำราทางด้านวิชาการต่าง ๆ ไปเป็นจำนวนมาก   เกณฑ์แรงงานทั่วประเทศให้วุ่นวานอยู่กับการสร้างกำแพงเมืองจีนเพิ่มเติมเป็นระยะทางอีก 2,200 กิโลเมตร   แบ่งซอยแผ่นดินทั้งหมดออกเป็นเขตปกครองจำนวน  36  จังหวัด  ซึ่งต่างก็ต้องขึ้นตรงต่อศูนย์กลางหรือต่อพระจักรพรรดิโดยตรง   สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้แผ่นดินซึ่งมักแตกกระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ อยู่บ่อย ๆ  ได้ถูกหลอมละลายให้อยู่ภายใต้ความเป็นจีนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสืบต่อมา

    กรรมวิธีการปกครองของพระจักพรรดิจิ๋นซี   แม้นว่าจะเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด  ดุร้าย  ทารุณเอามากมาก  แต่มันเป็นกรรมวิธีที่บรรดากษัตริย์ที่สืบทอดแผ่นดินจีนในระยะต่อ ๆ มามักจะไม่อาจปฏิเสธได้  แม้นว่ากษัตริย์บางองค์อย่างกษัตริย์  บุ่นตี่  แห่งราชวงศ์ฮั่น   ที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจหลังโค่นล้มราชวงศ์จิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว   จะรู้สึกสะทกสะท้อนใจไม่น้อยต่อความโหดเหี้ยมทารุณและการกดขี่ราษฏรในตลอดยุคราชวงศ์จิ้น   และพยายามหันมาแสดงความเมตตาปราณีและการุณยธรรมต่อราษฏร   รวมทั้งพยายามหาทางยกเลิกการกดขี่ทารุณที่มีอยู่ในระบบรวมศูนย์อำนาจแบบเข้มข้นที่กษัตริย์จิ๋นซีวางเอาไว้เป็นรากฐานในการควบคุมแผ่นดินไปเป็นอย่างอื่น   เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบดังกล่าวถูกทำให้คลายตัวลงไป   การก่อกบฏต่อศูนย์กลางและความพยายามแยกแผ่นดินออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะหวนกลับคืนขึ้นมาทันที   กลายเป็นเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ดังที่มีการเกริ่นนำเอาไปไว้ในบทเริ่มต้นของ  “พงศาวดาร 3  ก๊ก”  ว่าด้วยความแตกแยกและการรวมกลับมาเป็นหนึ่งเดียวที่เป็นไปแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  

    ความพยายามทำให้แผ่นดินจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่แตกกระจัดกระจาย   จนมาซึ่งการรบพุ่งแย่งชิงอำนาจระหว่างกันและกันอยู่เสมอ ๆ ทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏอยู่เพียงแต่เฉพาะในแบบแผนการเมือง  การปกครองเท่านั้น   แต่มันยังกลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงไปในระดับรากฐานแห่งความเป็นจีนหรือลึกลงไปในระดับวัฒนธรรมและจิตสำนึกกันเลยก็ว่าได้

    กระบวนการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความเป็นจีนได้ถูกสะท้อนให้เห็นในหลายต่อหลายกรณี   ไม่ว่าตั้งแต่ระบบการใช้ชื่อแซ่   ที่มีการวางรากฐานกันมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์จิว  เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชที่นอกจากจะช่วยเชื่อมโยงหน่วยย่อย ๆ ต่าง ๆ ในสังคมจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสืบต่อกันมานานแล้ว  มันยังเป็นสิ่งที่ถูกทำให้สอดคล้องกับปรัชญาลัทธิ  “ขงจื๊อ”  ที่ถูกบรรดากษัตริย์องค์ต่าง ๆ นำมาปรับใช้กับระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจได้เป็นอย่างดี   เนื่องจากไม่เพียงแต่เชื่อมโยงหน่วยต่าง ๆ ของสังคมเข้าหากันได้อย่างแน่นเหนียว   มันยังจัดแบ่งสถานะของบุคคลในสังคมเอาไว้อย่างเคร่งครัด  โดยสถานะนั้น ๆ มีลักษณะที่ขึ้นต่อกันและกันไปเป็นทอด ๆ เช่นลูกจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่อย่างเด็ดขาด   ภรรยาจะต้องเชื่อฟังสามี  ผู้ใต้ปกครองจะต้องเชื่อผู้ปกครองส่วนต่าง ๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระจักรพรรดิอันเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่างฟ้าดิน

    นอกเหนือไปจากนั้น  การประดิษฐ์ตัวอักษรจีนอันชาญฉลาดที่สามารถอาศัยสัญลักษณ์ในภาษาเขียนมาใช้สื่อความเข้าใจระหว่างชาวจีนที่มีภาษาพูดแตกต่างกันได้อย่างกลมกลืน   เมื่อถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในแต่ละระดับขั้น   โดยมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญา  “ขงจื๊อ”  เป็นองค์ประกอบ   กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยิ่งถูกปลูกฝังให้แผ่ซ่านซึมลึกลงไปในสังคมจีนต่อเนื่องยาวนานนับเป็นพัน ๆ ปี   จนกลายเป็นรากฐานความเป็นจีน   อันเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการตะวันตกอย่าง  เอ็ดวิน  ไรส์เซอร์  และ  ยอห์น  แฟร์แบงค์  ได้ให้คำนิยามเอาไว้เมื่อ  50  ปีที่แล้วว่า  ความเป็นจีนนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่มรดกทางวัฒนธรรมที่มีการสืบทอดต่อเนื่องกันมาเหมือนกับสังคมอื่น ๆ   แต่มันคือลัทธิวัฒนธรรมที่ถูกฝังรากเอาไว้ในจักวรรดิจีนนับตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    ภายใต้รากฐานของลัทธิวัฒนธรรมที่ถูกฝังรากความเป็นจักรวรรดิเช่นนี้   ทำให้แม้นว่าชาวจีนจะพ่ายแพ้ต่อกองทัพมองโกลของกุบไลข่านอย่างราบคาบในปี  ค.ศ.  1279  และตกอยุ่ภายใต้การปกครองของมองโกลนานเกือบร้อยปี   พ่ายแพ้ต่อชาวแมนจูในปี  ค.ศ. 1661  และถูกปกครองโดยราชวงศ์เชงของชาวแมนจูมานานถึง  297 ปี  แต่ความเป็นจีนที่กลายเป็นรากฐานของจักรวรรดิ   นอกจากจะไม่ได้ถูกทำลายลงไปเลย   มันกลับมีอานุภาพมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชาวมองโกลและแมนจูให้ต้องหลอมละลายตัวเองเข้ากับความเป็นจีนในทุก ๆ ด้าน  ไม่ว่าในทางการเมือง  การปกครอง  การใช้ภาษา   การนำเอาประเพณีจีนเข้าไปใช้เป็นประเพณีในราชสำนัก   จนกระทั่งเมื่อกษัตริย์ราชวงศ์แมนจูองค์สุดท้ายต้องก้าวลงจากบัลลังก์นั้น   นักประวัติศาสตร์จีนบางรายถึงกับกล่าวว่า   “เมื่อชาวแมนจูยกราชบัลลังก์ให้กับสาธารณะรัฐจีนนั้น   แมนจูคงเหลือแต่เสื้อกับกางเกงชุดเดียวเท่านั้นที่เป็นของแมนจู   นอกเหนือไปจากนั้นชาวแมนจูก็คือคนจีนดี ๆ นั่นเอง”

    ทั้งหมดข้างต้นนี้   ผมยกมาจาก  หนังสือ  แผนพิชิตมังกร  ของ  ชัชรินทร์  ไชยวัฒน์   บทที่ 2  ตอน  ลัทธิวัฒนธรรม  -  ลัทธิคอมมิวนิสต์  กับความเป็นจีน
    ซึ่งจริง ๆ แล้วบทความนี้มีต่อครับ  แต่ผมจะมิยกมาไว้  (ใครอยากอ่านไปซื้อเอง)  เพราะประเด็นที่ผมอยากจะพูดมันมีเพียงเท่านี้

    เพราะมันเป็นกึ่ง  การปกครอง  และ  ลัทธิวัฒนธรรม  ที่ทุกสังคมน่าจะยอมรับกับความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น

    ผมจะมิกล่าวถึงหน้าเสื่อว่า  การปกครองบ้านเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่...   ผมคงมิพูด   แต่ที่ยากพูดคือ  วัฒนธรรม  ที่หนักแน่น   โดยเฉพาะที่ยกมาในตอนท้ายจะพบว่า  จีนถูกกลืนชาติไปอย่างน้อย ๆ ก็สองครั้ง

    แต่ความเป็นจีนของเขาไม่ได้เสื่อมหายไปเลย   ขนบ – ประเพณี  ยังคงอยู่มิขาดสูญมิได้ถูกกลืนกิน

    ทำไม...  เพราะอะไร....   อาจเป็นเพราะขงจื๊อได้วางหลักคำสอนของเขาไว้ดี   จนมิอาจจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติกันอย่างสืบทอดลงมา

    หายากนะครับ  คำสอนเมื่อหลายพันปีที่แล้ว  แต่กลับเดินทางผ่านกาลเวลาโดยมิได้เสื่อมค่าลงเลย

    แล้วกลับบ้านเราล่ะครับ

    มิเคยโดนใครกลืนชาติ  เป็นเอกราชมาตลอด   แม้จะมีเสียท่าเพื่อนบ้านบ้างแต่ด้วยพระอัจฉริยะภาพของบูรพมหากษัตริย์ก็กู้คืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    กระทู้นี้ผมขอบ่นเรื่องสังคมครับ   มิได้อิงแอบการเมืองแต่ประการใด

    ทุกวันนี้เด็กไทยเราถูกครอบงำแล้วครับ   ด้วยวัฒนธรรมต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมิรู้จบ   มิว่าจะแอบแฝงเข้ามาในรูปแบบของ  ละคร  ภาพยนตร์    เพลง

    เด็กไทยทุกวันนี้รู้จัก  อาหารเกาหลี  มากกว่า  อาหารไทย

    เด็กไทยทุกวันนี้พูดคำว่า  ว็อทส์  ซับ  แม๊น...  มากกว่า  สวัสดี

    เด็กไทยทุกวันนี้รักที่จะเสพวัฒนธรรมต่างชาติ   มากกว่าจะจดจำ  ประเพณีอันงดงาม

    เด็กไทยทุกวันนี้นิยมใช้มารยาทของไอ้กัน   มากกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักมารยาทไทย

    จริง ๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกครับที่จะมองว่า  ยุคนี้เป็นโลกไร้พรมแดน   ยิ่งเราพัฒนาตัวเป็นสากลได้มากเท่าไหร่จะทำให้เราหมุนทันโลกได้มากเท่านั้น....   ไม่สำคัญเลยถ้าเด็กเหล่านั้นจะฉลาดตามสมัยนิยม

    จริง ๆ แล้วก็จริงครับ   ผมอาจจะยึดติดกับความเป็นไทยมากไปนิด

    แต่ลองนึกภาพดูสิครับ   ถ้าเด็กในยุคต่อไปอีก 20 ปี  หลงลืมความเป็นไทยที่อยู่ในขุมขนและสายเลือดหมดแล้ว  มันจะเกิดอะไรขึ้น

    วันนี้เรามีกระทรวงวัฒนธรรม   ที่ผมเข้าใจว่าตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมดารานักร้องเท่านั้น   เพราะผมไม่พบว่ากระทรวงนี้จะทำประโยชน์อะไรให้กับวัฒนธรรมไทยของเราเลย

    เด็กไทยไม่รู้จักอาหารไทย   เด็กไทยไม่รู้จักประเพณีไทย    และอีกหลาย ๆ อย่างที่เด็กไทยหลงลืม

    แล้วจะตั้ง  “กระทรวง”  ขึ้นมาหาหอกโมกขศักดิ์ทำไมครับ

    หน้าที่ท่านคือการออกสปอตแล้วบอกว่า  “จงรักษาวัฒนธรรมไทย”

    แต่อย่างไรเล่าครับ....

    ช่วยบอกที

    ถ้าวันหนึ่ง  (ซึ่งผมหวังอย่างนั้น)  ประเทศไทยได้ก้าวเป็นแนวหน้าของโลก  ยืนเคียงข้างมหาอำนาจอย่างจีนและอเมริกาอย่างเทียมหน้าเทียมตา   ผมก็ไม่พอใจครับ   ถ้าเราไม่มีเอกลักษณ์ที่จะยืนยันต่อสายตาชาวโลกว่า  “นี่คือไทย”


    และในความเป็นจริง   ถ้าความเป็นชาติของเราไม่เข้มแข็ง   ประเทศก็ไม่รู้จะไปในทิศไหน   ไม่มีวันเดินหน้าได้อย่างเด็ดขาด   เพราะเมื่อคนไทยไม่สำนึกในความเป็นชาติ   เมื่อนั้นก็แปลได้ว่า   เราพร้อมจะถูกจูงจมูกจากประเทศมหาอำนาจที่เข้ามาเผยแพร่และแทรกซึมวัฒนธรรมประเทศนั้น ๆ    เราจะตกเป็นทาสทางความคิด   อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    วิงวอนล่ะครับ   ความเป็นไทย  มิได้รักษาด้วยปาก  แต่มันอยู่ที่ใจกับสมองครับ

    แต่อย่างไรก็ตาม   ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ   ต้องจริงจังครับ

    อย่าจับผิดนักเลย....  ว่า  นักร้องคนไหนมันจะโชว์นมหรือตูด  ให้มันโชว์เถอะครับ...  ผมก็อยากเห็น  

    เอาเวลาที่จะแย้งมานั่งคิดดีกว่าครับ   ว่า  จะทำอย่างไรให้เด็กไทยของเรารู้จักว่า  อะไรคือ  “วัฒนธรรมความเป็นชาติ”  ของเรา

    ถือว่าอ่านกันเล่น ๆ นะครับยามเช้าแบบนี้

    กู๊ด  บาย...  ซี ยู อะเกน...  โย่ห์ โย่ห์  แม๊น...

    แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 49 07:11:00

    จากคุณ : ShowyPower - [ วันแม่แห่งชาติ 07:09:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com