ความสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามที่ได้รับปากไว้หรือไม่
พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ยุคนายหัวชวน เคยให้หาเสียงโดยชูนโยบายเป็นพันธะสัญญา แต่พอได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลและผู้บริหารประเทศ กับ เบี้ยว สัญญา ไม่กระทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้
จนพรรคประชาธิปัตย์ได้รับฉายาใหม่ในขณะนั้นว่า พรรคตระบัดสัตย์ No Action Talk Only Party
การเสนอตัวของ มาร์ค จึงทำให้มองเห็นภาพ นโยบายฝันเปียก ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้ต้องไปดูบทความทบทวนย้อนความหลังกัน
________________________________________________________________________________
โดย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ 27 มิถุนายน 2544 18:13 น.
เพียงชั่วระยะเวลา 4 เดือนเศษ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สามารถผลักดันนโยบายตามที่เสนอ ขาย แก่ประชาชนไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้เกือบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรักษาพยาบาล 30 บาท โครงการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (TAMC) โครงการพักหนี้เกษตรกร โครงการธนาคารประชาชน และโครงการกองทุนหมู่บ้าน แสดงให้เห็นถึงความรับผิดที่รัฐบาลนี้มีต่อประชาชน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มิได้สร้างกลไกที่บังคับให้รัฐบาลต้องรับผิดต่อประชาชน (Accountability Mechanism) ด้วยเหตุดังนั้น พรรคการเมืองจะโฆษณานโยบายที่เลิศหรูอย่างไรก็ได้ เพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ครั้นเมื่อยึดกุมอำนาจรัฐได้ อาจไม่นำพาที่จะดำเนินนโยบายที่หาเสียงไว้แม้แต่น้อย อันเป็นการละเมิดพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
ตลาดการเมืองเป็นตลาดปริวรรตสาธารณะ (Public Exchange Market) อันเป็นที่ซึ่งมีการซื้อขายแลกเปลี่ยน บริการการเมือง (Political Services) โดยที่ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้ซื้อ และนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ต้องการยึดกุมอำนาจเป็นผู้เสนอขาย บริการการเมือง เป็นบริการที่ผลิตความสุขให้แก่ประชาชน หากกล่าวให้ถึงที่สุด บริการผลิตความสุขย่อมมาจากนโยบาย ตลาดการเมืองจึงเป็นตลาดนโยบาย (Policy Market) ณ ที่ซึ่งนักการเมืองหรือผู้ผลิตนโยบายเสนอขายนโยบาย เพื่อแลกกับคะแนนเสียงของราษฎร
แต่ตลาดการเมืองแตกต่างจากตลาดสินค้าและบริการโดยทั่วไปในตลาดสินค้าและบริการ เมื่อผู้บริโภคชำระเงิน ผู้บริโภคมีหลักประกันระดับหนึ่งที่จะได้รับมอบสินค้าหรือบริการที่เสนอซื้อ อย่างน้อยที่สุดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดความรับผิดทั้งฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขายโดยชัดเจน แต่ในตลาดการเมือง เมื่อประชาชนชำระค่าบริการความสุขด้วยการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ประชาชนหามีหลักประกันว่าจะได้รับบริการความสุขเป็นผลต่างตอบแทน ทั้งนี้ เนื่องจากมีสภาวะความไม่แน่นอนที่นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เลือกอาจพ่ายแพ้การเลือกตั้ง หรือหากชนะการเลือกตั้ง อาจมิได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล หรือหากได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล อาจมิได้ดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้
ตลาดการเมืองเป็นตลาดปริวรรตสาธารณะ สัญญาการซื้อขายบริการการเมือง (บริการความสุข) ระหว่างนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายหนึ่งกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่สัญญาโดยชัดแจ้ง (Explicit Contract) หากแต่เป็นสัญญาโดยนัย (Implicit Contract) ในประการสำคัญ มิใช่สัญญาที่มีลายลักษณ์อักษร นอกจากมิใช่สัญญาโดยชัดแจ้งแล้ว ยังเป็นสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete Contract) อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากมิได้กำหนดสิทธิของผู้ซื้อ สิทธิของผู้ขาย และบทลงโทษในกรณีที่มีการละเมิดสัญญา
ด้วยเหตุดังนี้ นักการเมืองและพรรคการเมืองสามารถโฆษณานโยบายเพื่อหาเสียงอย่างไม่มีความรับผิดชอบได้ หากรัฐธรรมนูญมิได้สร้างกลไกความรับผิดที่ทรงประสิทธิผล (Effective Accountability Mechanism) เมื่อยึดกุมอำนาจการบริหารแล้ว อาจละเลยนโยบายที่ใช้หาเสียง โดยมิต้องถูกลงโทษในฐานที่ เบี้ยว สัญญา
ประชาราษฎร์ไทยยังจดจำประพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ในการ เบี้ยว สัญญาได้ดี ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเดือนกันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์โฆษณานโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เฉพาะ ...จังหวัดอันเป็นเมืองหลักที่มีความพร้อมและเหมาะสมในทุกภาคของประเทศ (เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ภูเก็ต และชลบุรี)... ครั้นเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว กลับละทิ้งนโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2535 ข้อที่น่าสังเกตก็คือ พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม และพรรคความหวังใหม่ ล้วนชูนโยบายดังกล่าวนี้ในการหาเสียง ในขณะที่ผู้นำพรรคเอกภาพก็กล่าวต่อสาธารณชนหลายกรรมหลายวาระสนับสนุนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด มีแต่พรรคกิจสังคมที่มิได้มีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
การตระบัดสัตย์ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ในปี 2535 สร้างความไม่สบายใจแก่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมโนธรรมสำนึกจำนวนมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดต่อประชาชน การ บี้ยว สัญญาของพรรคการเมืองในอดีต ก่อให้เกิดการคาดการณ์ว่า พรรคไทยรักไทย ซึ่งโฆษณาหาเสียงในการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 ด้วยนโยบายที่มีลักษณะประชานิยม (Populism) อาจเตรียมการตระบัดสัตย์ดังเช่นพรรคการเมืองในอดีต แต่แล้วการณ์กลับปรากฏว่า รัฐบาลพรรคไทยรักไทยสามารถรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในระดับหนึ่งได้
ข้อวิพากษ์สำคัญที่มีต่อนโยบายของรัฐบาลทักษิณมีอยู่อย่างน้อย 3 ประการ กล่าวคือ
ประการแรก รายละเอียดของการดำเนินนโยบายต่างๆ แตกต่างจากแนวนโยบายที่ใช้โฆษณาหาเสียง ข้อวิพากษ์นี้แม้จะสมเหตุสมผล แต่มิได้เห็นใจรัฐบาลในข้อที่มีข้อจำกัดเชิงสถาบัน (Institutional Constraints) องค์กรที่ต้องรับผิดชอบในการดำเนินนโยบายแต่ละนโยบายย่อมมีข้อจำกัดเชิงสถาบัน เมื่อนำนโยบายมาดำเนินการ ย่อมต้องมีการปรับนโยบายเพื่อให้เป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ เหล่านั้น
ประการที่สอง แนวนโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยสร้างภาระทางการคลังอย่างใหญ่หลวง รัฐบาลจะกลายเป็น จ้าวบุญทุ่ม ที่ยึดโยงนโยบายงบประมาณขาดดุล และนำสยามรัฐนาวาไปสู่รัฐสวัสดิการ (Welfare Stute) หากรัฐบาลทักษิณจะขยายฐานรายได้ได้อย่างไร ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแต่ทรงกับทรุด
ประการที่สาม การดำเนินนโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ รัฐอาจต้องสูญเสียทรัพยากรทางการเงิน โดยมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์โภคผลใดๆ ไม่ว่าในกรณีโครงการพักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน
การเสนอชายนโยบายที่มีลักษณะประชานิยมของพรรคไทยรักไทยมิใช่เรื่องใหม่ พรรคกิจสังคมนำร่องมาก่อนแล้วด้วยนโยบายการผันเงินสู่ชนบทในปี 2518 ข้อที่น่าสังเกตก็คือ นายปรีดา พัฒนถาบุตร ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายเงินผันของพรรคกิจสังคมในปี 2518 เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในฐานะที่ปรึกษาการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การดำเนินนโยบายลักษณะดังกล่าวนี้สอดคล้องกับอรรถาธิบายของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยประชาธิปไตย ในหนังสือเรื่อง An Economic Theory of Democracy (1957) ศาสตราจารย์แอนโธนี่ ดาวส์ (Anthony Downs) เสนออรรถาธิบายว่า พรรคการเมืองและรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยดำเนินนโยบายเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงสูงสุดจากการเลือกตั้ง (Vote Gains Maximization) โดยที่นโยบายดังกล่าวอาจมิได้ก่อให้เกิดสวัสดิการสูงสุดแก่สังคม (Social Welfare Maximization)
ด้วยการเสนอขายนโยบายที่มีลักษณะประชานิยม พรรคไทยรักไทยก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านนโยบายหาน้อยไม่ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคการเมืองที่ยังยืนหยัดบนเวทีการเมือง โดยมิได้ถูกพรรคไทยรักไทยดูดกลืนไปเสียก่อน จำเป็นต้องค้นคิดนวัตกรรมด้านนโยบาย เพื่อแย่งชิงคะแนนเสียงจากประชาชน การแข่งขันกันสร้างนวัตกรรมด้านนโยบายเป็นผลดีต่อสุขภาพของตลาดการเมือง แต่การแข่งขันดังกล่าวนี้อาจบรรเทาเบาบางลง หากกระบวนการครบและครอบพรรค (Merger and Acquisition) สร้างอำนาจผูกขาดในตลาดการเมือง
รัฐบาลทักษิณแสดงประพฤติกรรมให้เป็นแบบอย่างแก่พรรคการเมืองอื่นๆ ด้วยการรักษาพันธสัญญาในการดำเนินนโยบายที่ใช้หาเสียง ประพฤติกรรมดังกล่าวนี้เกื้อกูลในการแปรเปลี่ยนตลาดการเมืองไปสู่ตลาดในอุดมคติ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนคะแนนเสียงกับนโยบาย ในอดีตที่เป็นมา เมื่อประชาชนมิได้รับบริการการเมือง (บริการความสุข) ตามสัญญาของนักการเมืองและพรรคการเมือง ประชาชนหันไปแลกคะแนนเสียงกับเงิน เพราะเงินเป็นพาหะที่นำมาซึ่งความสุขได้ ต่างจากคำสัญญาในการดำเนินนโยบาย ซึ่งมีลักษณะลมๆ แล้งๆ
________________________________________________________________________________
จากคุณ :
เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม
- [
15 ส.ค. 49 02:27:29
]