CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    คุณเชื่อรึไม่ เข้ามาดูเอง

      เชื่อ (13 คน)
      ไม่เชื่อ (140 คน)

    จำนวนผู้ร่วมโหวตทั้งหมด 153 คน

     8.50%
     91.50%


    ลองอ่านดูนะ

    http://hilight.kapook.com/view.php?id=3709


    เอแบคโพลล์ชี้คนเห็นว่าภาพลักษณ์รัฐบาล"สุรยุทธ์" ดีกว่า"ทักษิณ"

            เอแบคโพลล์สำรวจความคิดเห็นของคนในกทม.และหัวเมืองใหญ่ ต่อภาพลักษณ์รัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ ระบุดีกว่ารัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เกือบทุกด้าน ยกเว้นความฉับไวการทำงาน

            สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเบื้องต้นของสาธารณชนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ เปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ:กรณีศึกษาประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น และชลบุรี

            ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “อารมณ์ความรู้สึกเบื้องต้นของสาธารณชนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ เปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ : กรณีศึกษาประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น และชลบุรี ” ในครั้งนี้ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น และชลบุรี จำนวนทั้งสิ้น 1,864 ตัวอย่าง ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจในระหว่างวันที่ 24-28 ตุลาคม 2549 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้ มีดังนี้

           ผลสำรวจพบว่า คนเริ่มสนใจติดตามข่าวการเมืองน้อยลงจากร้อยละ 71.2 ที่ติดตามอย่างเข้มข้นทุกสัปดาห์ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายนเหลือร้อยละ 63.3 ในผลสำรวจล่าสุด

           แต่เมื่อสอบถามถึงการประเมินภาพลักษณ์เบื้องต้นระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ระบุภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ดีเหมือนเดิมถึงดีขึ้นในทุกตัวชี้วัด เช่น ร้อยละ 65.1 ระบุความเป็นที่ไว้วางใจได้ ร้อยละ 63.2 ระบุด้านคุณธรรม เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ร้อยละ 60.2 ให้ความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่

           นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังระบุว่า พล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังมีภาพลักษณ์ด้านอื่นๆ ที่ดีเหมือนเดิมถึงดีขึ้น เช่น การไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ความเอาจริงเอาจังแก้ปัญหา การทุ่มเททำงานหนัก ความรู้ความสามารถ แม้แต่การเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศที่ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนสูงเกินกว่าร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม ด้านที่ได้รับฐานสนับสนุนจากประชาชนต่ำกว่าทุกด้านคือ ความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา และภาพลักษณ์ของคนแวดล้อมใกล้ชิดที่ต้องระมัดระวัง

           เมื่อสอบถามถึงภาพลักษณ์ของคณะรัฐมนตรีชุดของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เปรียบเทียบกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่า ประชาชนเกินกว่าร้อยละ 50 ที่ระบุว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันของ พล.อ.สุรยุทธ์ มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในเรื่องของการไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องมีคนห้อมล้อมมากมาย ไม่ต้องมีรถนำขบวนมากมาย และเป็นคนดีมีคุณธรรม อย่างไรก็ตาม ที่ยังไม่ถึงร้อยละ 50 คือเรื่องการไม่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนและพวกพ้องและความรวดเร็วเข้าถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

            เมื่อสอบถามประชาชนถึงความคาดหวังต่อการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่หรือเกินกว่าร้อยละ 60 ขึ้นไป คาดหวังค่อนข้างมากถึงมาก ว่าประชาชนจะอยู่อย่างพอเพียง (ร้อยละ 64.6) คาดหวังว่าจะเกิดความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น (ร้อยละ 63.7) คาดหวังว่าประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข (ร้อยละ 61.0) คาดหวังว่าชุมชนจะเข้มแข็ง (ร้อยละ 60.5) และคาดหวังว่าจะมีการรื้อฟื้นคดีความที่อยู่ในความสนใจของประชาชนแต่ไม่คืบหน้าในรัฐบาลทักษิณขึ้นมาพิจารณาทุกคดี (ร้อยละ 51.6)

            เมื่อสอบถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กับ รัฐบาลชุดปัจจุบัน พบว่า ประชาชนจำนวนเกินกว่าร้อยละ 50 ระบุเจ้าหน้าที่รัฐทำงานได้ดีเหมือนเดิมและดีขึ้นในเรื่องการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น (ร้อยละ 53.3) เรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชน (ร้อยละ 56.1) และเรื่องการคุ้มครองเด็กและเยาวชน (ร้อยละ 54.8) อย่างไรก็ตามที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 คือเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด (ร้อยละ 45.1) และการแก้ปัญหาความยากจน (ร้อยละ 44.8) ตามลำดับ

            เมื่อสอบถามถึงภาพลักษณ์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในทัศนะของประชาชนคนต่างจังหวัดและคนกรุงเทพมหานคร พบประเด็นที่น่าพิจารณาหลายประการ เช่น ประชาชนร้อยละ 57.9 เห็นว่าสมาชิกสภาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งเข้าถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในขณะที่สภาฯที่มาจากการแต่งตั้งได้เพียงร้อยละ 20.7 ประชาชนร้อยละ 48.1 และร้อยละ 49.3 เห็นว่า สภาฯ จากการเลือกตั้งมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่สภาที่มาจากการแต่งตั้งมีเพียงร้อยละ 24.1 และร้อยละ 29.4 เท่านั้น และประชาชนร้อยละ 55.8 เห็นว่าสภาจากการเลือกตั้งฟังเสียงประชาชนให้ประชาชนมีส่วนร่วม

            ในขณะที่สภาที่มาจากการแต่งตั้งมีเพียงร้อยละ 24.0 เท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.3 เห็นว่า สภาที่มาจากการเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนและพวกพ้อง ในขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ 18.2 เท่านั้นที่เห็นว่าสภาที่มาจากการแต่งตั้งเอื้อประโยชน์ให้นายทุน ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 40.5 เห็นว่า ไม่มีสภาใดเลยที่จะกล้าออกกฎหมายกระทบผลประโยชน์ของตนเองและเอาผิดพวกพ้องของตน

            เมื่อสอบถามว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติควรออกกฎหมายใหม่หรือปรับปรุงกฎหมายอะไรบ้าง พบว่า อันดับแรกหรือเกือบร้อยละ 90 ระบุเป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคม คุ้มครองครอบครัว เด็กและเยาวชน รองลงมาคือร้อยละ 89.5 ระบุเป็น พ.ร.บ.หรือกฎหมายส่งเสริมสุขภาพประชาชน ร้อยละ 87.8 ระบุกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ประกอบการอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ร้อยละ 87.7 ระบุกฎหมายช่วยเหลือให้รัฐสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย ร้อยละ 87.2 ระบุกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบของประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคม และรองๆ ลงไปที่มีประชาชนส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 70 สนับสนุนได้แก่ ปรับปรุงกฎหมายประกันการว่างงานและผลกระทบ กฎหมายยึดทรัพบ์นายทุน ข้าราชการและนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น กฎหมายคุ้มครองพยาน กฎหมายกระจายอำนาจสู่การปกครองท้องถิ่น และกฎหมายคุ้มครองชุมชน เช่นใครทำผิดทำร้ายชุมชนต้องจ่ายและพัฒนาชุมชนนั้นๆ

             อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.2 เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติควรรีบทำงานและคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี

             ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติอาจกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดของกลไกต่างๆ ของรัฐในเวลานี้เพราะสภาแห่งนี้กำลังพบกับแรงเสียดทานและความไม่เชื่อมั่นศรัทธาต่อหลักธรรมาภิบาลตั้งแต่จุดเริ่มต้น คำถามที่ตามมาคือ สภาแห่งนี้จะได้รับแรงสนับสนุนของสาธารณชนให้ปรับระบบเสริมธรรมาภิบาลของประเทศในอนาคตได้อย่างไร เนื่องจากขาดแรงสนับสุนจากสาธารณชนในหลายมิติของหลักธรรมาภิบาล เช่น ความโปร่งใส การถูกตรวจสอบได้ การมีส่วนร่วมของประชาชน ความกล้าออกกฎหมายเอาผิดพวกพ้องหรือทำให้ตนเองเสียผลประโยชน์ และที่น่าสังเกตคือ สภาที่มีข้าราชการจำนวนมากเป็นสมาชิกแต่ทำไมประชาชนจึงสะท้อนออกมาในผลสำรวจว่าไม่ได้ใกล้ชิดและไม่ได้เข้าถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งบรรดาข้าราชการและสมาชิกสภาฯ แห่งนี้จะต้องเร่งทำงานแสดงให้เห็นว่าสมาชิกสภาทุกคนไม่ได้นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างแต่เป็นคณะบุคคลที่ติดดินเข้าถึงเข้าใจปัญหาเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง

             “สำหรับภาพลักษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีหลายมิติที่เป็นจุดเด่นจุดแข็งมากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นที่ไว้วางใจได้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ แต่มีอยู่สองมิติที่มีฐานจำนวนประชาชนน้อยกว่ามิติอื่นๆ คือ ความรวดเร็วในการเข้าถึงปัญหาเดือดร้อนของประชาชนและต้องระมัดระวังบุคคลแวดล้อมซึ่งในระยะยาวอาจกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้” ดร.นพดล กล่าว

            ดร.นพดล กล่าวต่อว่า สัญญาณที่ส่งเตือนไปยังคณะผู้บริหารประเทศ จากผลสำรวจครั้งนี้คือ การป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตจะดีกว่ารอให้เกิดปัญหาขึ้นแล้วแก้ไข เพราะจะถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

             ดังนั้นกลไกของรัฐและรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องแสดงให้สาธารณชนเห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศได้หลายอย่างที่มีคุณภาพดีกว่ารัฐบาลที่ถูกมองว่าไม่ซื่อสัตย์ และเน้นหนุนเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนและชุมชนเข้มแข็งต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบอย่างยั่งยืนต่อไป  



    แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 49 10:13:23

    จากคุณ : JoeMai - [ 30 ต.ค. 49 10:12:20 A:127.0.0.1 X:125.24.182.75 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com