ความคิดเห็นที่ 1 ขอให้ทำงานตรงไปตรงมาที่สุด   กฏหมายบอกข้อไหนต้องจ่ายต้องเสียก็ปฏิบัติตาม เท่าไหร่ก็เท่านั้น ท่านสรรพากรไม่ต้องไปหาช่องให้จ่ายน้อยจ่ายมากเกินที่กฏหมายระบุหรอกค่ะ กฏหมายบอกว่าจ่ายเท่าไหร่ก็เท่านั้นเลยแม้แต่เศษสตางค์ จะได้โปร่งใส ไร้ข้อกังขา ท่านปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไร ท่านก็ปฏิบัติอย่างเดียวกับนักการเมืองไปเลย จะได้ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และใครจะหาเรื่องกลั่นแกล้งท่านก็ไม่ได้ด้วย จากคุณ : ตรงๆดีที่สุดแล้ว (** ผู้หญิงไทย **) - [ 12 พ.ย. 49 13:03:10 A:58.8.169.184 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยกับ คห.1 คะ  แต่ว่าตอนนี้รู้สึกว่ากำลัง เลือกปฎิบัติอยู่นะคะ  หรือเพื่อนๆคิดว่าไง จากคุณ : mintbally - [ 12 พ.ย. 49 13:10:33 A:202.5.87.150 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอาให้แน่นะครับ งานนี้สุดท้ายคนรับกรรมคือข้าราชการประจำ ถ้าจงใจช่วยเขาเลี่ยงภาษี ก็สมควรโดน แต่ถ้าครั้งแรกทำถูกแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ตอนหลังโดนบีบหน้าเขียวหน้าเหลือง จำต้องว่าผิด ก็คงต้องโดนอีกเช่นกันทั้งขึ้นทั้งล่องละงานนี้ .. ถ้าท่านตั้งมั่นทำการโดยสุจริตว่าไปตามกฎหมาย ความสุจริตของท่านจะเป็นเกราะแก้วกำบังกายให้ท่าน แต่สิ่งใดที่ทำไปโดยไม่สุจริต ท่านก็จะได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสไปเอง ไม่มีอะไร หรือใครจะช่วยท่านได้ .. จากคุณ : เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ - [ 12 พ.ย. 49 13:14:16 A:unknown X:125.24.201.161 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ประเทศเรา กฏหมายมันดีอยู่แล้ว แต่มันห่วยที่คนใช้ ตีความไปได้เรื่อยๆ และก็อำนาจของกฏหมาบขึ้นอยู่กับขั้วอำนาจด้วย จากคุณ : นายโอ้นโต้น - [ 12 พ.ย. 49 13:14:39 A:203.113.32.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตามที่ผมได้ดูข่าวเรื่องภาษีหุ้นของตระกูลชินวัตร ผมเริ่ม จะมีข้อสงสัยว่า 1. การที่มีการโอนหุ้นให้แก่คนในครอบครัว เช่น พ่อให้หุ้น กับลูก หรือสามีให้หุ้นกับภรรยา นั้น มันต่างอะไรกับการให้ เงิน และจะต้องเสียภาษีด้วยหรือ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว การที่ เจ้าของธุรกิจ เกิดให้ลูกมีรับช่วงต่อเป็นเจ้าของธุรกิจแทน จะต้องมีการแจ้งเสียภาษีด้วยไหม การที่พ่อแม่ให้เงินลูก ต้องแจ้งเสียภาษีด้วยไหม การที่พ่อแม่ซื้อบ้านและซื้อรถ ให้ลูกต้องแจ้งเสียภาษีด้วยไหม 2. ถ้าการซื้อขายหุ้นของตระกูลชินวัตรจะต้องเสียภาษี มัน จะกลายเป็นมาตรฐานและเป็นกฏหมายในที่สุดหรือไม่   อย่างนี้พวกเราที่ซื้อขายหุ้นกัน คงจะต้องเสียภาษีกันด้วย หรือไม่ 3. ถ้าจะต้องเสียภาษีจากผลต่างของการซื้อขายหุ้น ถ้าเรา มีกำไร เราก็พอจะมีเงินจ่ายค่าภาษีได้ แต่ถ้าเราขายขาด ทุนล่ะ เราจะได้รับเงินคืนจากสรรพากรไหม 4. ถ้าเกิดมีกฏหมายออกมาว่า การซื้อขายหุ้น จะต้องเสีย ภาษีแล้ว ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์ ใครทราบบ้าง ช่วยตอบที จากคุณ : ศิลาแรง - [ 12 พ.ย. 49 13:27:45 A:124.121.45.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ระวังเรื่อง มาตรฐาน น่ะครับ  เวลาตัดสินอะไรไป  อีกหน่อยมันก็จะกลายเป็นมาตรฐานที่เอาไปใช้ปฎิบัติ   เรื่องยกฟ้องคดีหมิ่นก็เหมือนกัน  อีกหน่อยพอมีคนทำผิด คนนั้นอาจจะเอากรณียกฟ้องไปยื่นต่อศาลได้ว่า  กรณีเดียวกันนี้ยังทำได้  เขาจึงไม่ผิด   เรื่องนี้ก็เหมือนกัน  ตามกฎหมายจริง ๆ จะผิดหรือไม่ผิด ผมไม่รู้  แต่คนที่ดูแลเรื่องนี้  ครั้งแรกบอกไม่ผิด  ต่อมา บอกผิด  แล้วยังจะมาเอาเรื่อง  แล้วถามหน่อย  ผมเชื่อว่ามันไม่ได้มีกรณีนี้อันเดียวหรอกครับ  แล้วคนอื่น ๆ ที่เขาจะเข้ามาทำ  เขาจะเอากรณีไหนมเป็นบรรทัดฐาน  ในเมื่อ  ความผิด กับ ความถูกต้อง  ยังตัดสินกันไม่ได้ ดังนั้นระวังเรื่อง กติกา บรรทัดฐาน ครับ จากคุณ : tears_m - [ 12 พ.ย. 49 13:32:31 A:58.8.101.41 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 อธิบายง่ายๆสั้นๆน่าจะครอบคลุมชัดเจนทุกประเด็น " รวยนักยึดทรัพย์มันซะเลย " คำอธิบายนี้น่าจะเพียงพอนะครับ จากคุณ : zanzap - [ 12 พ.ย. 49 13:42:28 A:58.10.12.86 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 คห.7 ครับ คุณบอกว่า " รวยนักยึดทรัพย์มันซะเลย " แล้วใครจะกล้าทำธุรกิจล่ะครับ - เจ้าขอเบียร์ช้าง รวยกว่าทักษิณ - เจ้าของ CP, True ก็รวยกว่าทักษิณ - เจ้าของ ช.การช่าง - เจ้าของน้ำดื่มกระทิงแดง - และคนอื่นๆ ที่รวยๆ ต้องโดนยึดทรัพย์มหดทุกรายได้หรือไม่ล่ะ จากคุณ : ศิลาแรง - [ 12 พ.ย. 49 13:49:00 A:124.121.45.68 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่มีกติกาแล้วครับ  ไม่มีความถูกต้อง  จะมีแต่ความถูกใจจาก พวกผู้มากบารมีทั้งหลาย ที่ไปปล้นอำนาจเขามา... จากคุณ : + (ekatik) - [ 12 พ.ย. 49 14:04:18 A:203.113.56.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 คห 7 ถ้าพวกนั้นเข้ามาเป็นนักการเมือง..ก็อาจจะโดนเหมือนทักษิณได้ จากคุณ : ตรูละเบื่อ (pompoo) - [ 12 พ.ย. 49 14:10:51 A:124.120.35.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 รัฐบาลนี้ให้กฏหมายไม่เหมือนกันอยู่แล้วนี่ดูภาคใต้ กับภาคอื่น มันเหมือนกันที่ใหน จากคุณ : เอ็ม 07 - [ 12 พ.ย. 49 14:15:40 A:203.188.53.60 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 #8 พวกนั้นเค้ารู้จักส่งส่วยครับ แต่ทักษิณสิเรียกพบก็แล้ว ออกมาด่าอ้อมๆก็แล้ว ไม่เอาไปประเคนสักที ผลจึงเกิดคดีลอบฆ่าจนต้องปฏิวัติอย่างที่เห็นนี่ล่ะ กลับมาไทยเมื่อไรอย่าลืมรีบไปบอกล่ะว่าจะบริจาคเข้ามูลนิธิของป. เท่าไร จากคุณ : ขยะสังคม - [ 12 พ.ย. 49 14:40:46 A:210.246.81.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 #12 ไม่มากหรอกครับ แค่ 2000 ล้านบาท เอง จากคุณ : Mr.Past - [ 12 พ.ย. 49 14:50:11 A:203.113.36.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก็สาเหตุนี้ละครับ คนส่วนหนึ่งถึงออกมาไล่นายกที่ไม่มีจริยธรรม การตีความการซื้อของถูกกว่าปกติต้องเสียภาษีหรือไม่ สุดท้ายงานนี้คงไปจบที่ศาล ถ้าศาลตีความว่าไม่ต้องเสียภาษี หรือจะเสียต่อเมื่อมีรายได้จากการขายออกไป ซึ่งในกรณีหุ้นพอขายในตลาดโดยบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสีย ก็จะเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งเชื่อว่าคงมีการแก้กฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ต่อไป แต่ที่ผ่านมาก็เป็นสิทธิ์ของคนฉลาดที่ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าไม่อุดช่องโหว่นี้จะมีคนทำตามมหาศาล  ประเทศชาติเสียหาย และจะบานปลายไปสู่กรณีสินทรัพย์อื่น กรณีขายของถูกกว่าปกติในทรัพย์สินอื่นจากนิติบุคคลไปยังบุคคลธรรมดาเพื่อเลี่ยงภาษีจะมีอีกมาก ศาลตัดสินออกมาอย่างไร ไม่ต้องเสียภาษี หรือต้องเสียภาษี ไม่ว่าสูตรไหน ก็หวังว่าทุกฝ่ายคงยอมรับ โดยไม่คิดว่าเป็นการเข้าข้างใคร หรือกลั่นแกล้งใคร แต่สุดท้ายผมยังเห็นว่า คนเป็นนายก ควรมีจริยธรรม ถ้ารู้ว่ากฎหมายมีช่องโหว่ ต้องหาทางอุดช่องโหว่ ไม่ใช่เป็นคนแรกที่ใช้ช่องโหว่นั้น จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 14:51:49 A:203.107.202.235 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 เงินก็เงินเขา หุ้นก็หุ้นเขา  ยังอยากยึดหน้าด้านๆ นายกมีหุ้นก็บอกว่ามีหุ้น ยกหุ้นให้ลูกก็มารีดภาษีอีก 1. ถาม พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ แอบซุกหุ้นไว้ในบริษัทแอมเพิล ริช เพื่อปกปิดปปช. อันเป็นการทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่           ตอบ 1.1 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ตั้งบริษัทแอมเพิลริช ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยถือหุ้น 100% เพื่อรองรับการจะนำหุ้นบริษัทกลุ่มชิน 32.92 ล้านหุ้น เข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์แนสเด็ก ในสหรัฐ (ซึ่งมีกติกาว่าหุ้นที่จะนำไปขายในตลาดดังกล่าวได้ ต้องเป็นหุ้นอยู่ในกระดานต่างประเทศ) อันเป็นวิธีการทำธุรกิจระหว่างประเทศตามปกติ แต่ต่อมาตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก ตกต่ำ จึงไม่ได้ขายหุ้นดังกล่าวออกไปดังที่ตั้งใจแต่แรก จากคุณ : R2D2 (ไทยด่าน) - [ 12 พ.ย. 49 14:53:45 A:58.8.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 1.2 เมื่อปี 2543 ก่อนจะเข้ามาทำงานการเมืองเต็มตัว พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้โอนหุ้นบริษัท แอมเพิล ริช ทั้ง 100% ให้กับคุณพานทองแท้ (ซึ่งต่อมาคุณพานทองแท้ได้ โอนหุ้นดังกล่าว 20% ให้กับคุณพิณทองทาโดยตัวเองถืออยู่ 80%)        การดำเนินการนี้ได้ชี้แจงให้ กลต.ทราบ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องแจ้งให้ ปปช.ทราบ ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เป็นการทำผิดกฎหมายที่ไม่ได้แจ้ง ปปช. ดังที่มีผู้พยายามกล่าวหา อีกทั้ง ปปช. ก็ตรวจสอบเรื่องหุ้นดังกล่าวเมื่อตอนที่มีการชี้แจงกรณีคดีซุกหุ้นแล้วด้วย จากคุณ : R2D2 (ไทยด่าน) - [ 12 พ.ย. 49 14:55:07 A:58.8.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถามคุณ Pom.com  ว่า ============================ ถ้ายังมีหุ้นอยู่คุณจะโจมตีเรื่องนายกมีหุ้นหรือไม่ เพราะขายออกไปก็โดนเรื่องจริยธรรมของคุณอีก ============================   1.3 เมื่อตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ตัดสินใจขายหุ้นกลุ่มชินทั้งหมดให้กับกองทุนเท มาเซค เพื่อจะได้หมดข้อกล่าวหาที่ถูกโจมตีมาตลอดว่ามีธุรกิจเกี่ยวข้องกับสัมปทานของรัฐ      ในการนี้ก็ได้ขายหุ้นกลุ่มชินในส่วนที่ถือในนามบริษัท แอมเพิล ริช นี้ด้วย แต่เพื่อให้มีเงินจากต่างประเทศไหลผ่านเข้ามาในตลาดหุ้นไทย      จึงได้โอนหุ้นกลุ่มชินที่คุณพานทองแท้ และคุณพิณทองทา ถือในนามบริษัท แอมเพิล ริช กลับคืนมาให้กับตัวคุณพานทองแท้และคุณพิณทองทา ที่อยู่ในประเทศไทยก่อน แล้วจึงขายให้กับกลุ่มเทมาเซคอีกที      อันเป็นวิธีการที่จะทำให้เงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาอยู่ในเมืองไทย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย การโอนหุ้นเหมือนเปลี่ยนจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาเช่นนี้ เป็นวิธีการที่ทำกันได้เป็นปกติ โดยไม่ต้องเสียภาษี และก็มีผู้ปฏิบัติเช่นนี้กันทั่วไป      จึงไม่ใช่การใช้อภิสิทธิ์หลบเลี่ยงภาษีดังที่มีผู้พยายามกล่าวหา จากคุณ : R2D2 (ไทยด่าน) - [ 12 พ.ย. 49 15:07:46 A:58.8.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องภาษีอย่าไปว่าเค้าเลย เพราะเค้าจะเอาเงินไปซื้อหุ้นลิเวอร์พูล จากคุณ : เซียนใต้1 - [ 12 พ.ย. 49 15:23:17 A:222.123.110.125 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 กฏหมายประเทศไทย อยากให้เป็นอะไร ก็ต้องเอาปืนไปจ่อ ทำได้หมด จากคุณ : ว่างงาน - [ 12 พ.ย. 49 15:24:42 A:61.47.127.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณ R2D2 (ไทยด่าน) ถามผมว่า ============================ ถ้ายังมีหุ้นอยู่คุณจะโจมตีเรื่องนายกมีหุ้นหรือไม่ เพราะขายออกไปก็โดนเรื่องจริยธรรมของคุณอีก ============================ ถ้าลูกจะมีหุ้น แต่ไม่มีเหตุการเอื้อประโยชน์บริษัทของลูกผมก็ไม่ว่าหรอกครับ ผมว่ากรณีที่ไอทีวีได้แก้สัญญา หลักจากที่ชินเข้ามาซื้อ ซึ่งสุดท้ายศาลตัดสินเป็นโมฆะ ผมว่ากรณีเอ็กซิมแบงค์ปล่อยกู้พม่ามาจ้างงานชิน และผมว่าการขายให้เทมาเสกมีปัญหาเรื่องนอมินี เรื่องเลี่ยงภาษีด้วยวิธีซื้อหุ้น ๑ บาท จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 15:26:12 A:203.107.202.235 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 คิดสักนิด ถ้ากฏหมายไม่ระบุให้เก็บภาษี  ใครก็ไปเก็บไม่ได้หรอก  ยกเว้นว่ามันระบุให้เก็บ  แต่ตอนมีอำนาจ ก็ไปเบี่ยงไปเบนมมันไว้ จากคุณ : ยากจริงจริง - [ 12 พ.ย. 49 15:47:52 A:202.188.224.28 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 ... จากคุณ : ยากจริงจริง - [ 12 พ.ย. 49 15:48:44 A:202.188.224.28 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณPom.com ผมว่ากรณีไอที คุณลองไปดูการเกิดไอทีสิครับ ผมว่าการตั้งไอทีมันบ้า อยากทำทีวีมาก เลยเสนอผลประโยชน์เกินจริง ซึ่งรัฐตอนนั้นก็บ้าครับ อนุมัติได้ยังไงทำข่าวอย่างเดียวส่งผลประโยชน์ขนาดนั้น ได้อย่างไร    พอส่งไม่ได้ผมว่ามี 2 ทางเลือกครับ   1. ปิดบริษัท พนักงานตกงาน   2. หาทางออกลดค่าสัมประทานบ้าง เพื่อให้พนักงานมี      งานทำ ก็เท่านั้น   อย่างปัจจุบันที่ itv ต้องจ่ายค่าสัมประทานย้อนหลัง 8-9 หมื่นล้าน คุณว่าทางออกคืออะไร   กรณีอยากได้สัมประทานจากรัฐแล้วเสนอผลประโยชน์เกินไปแล้วมาร้องความเป็นทำอีกรายก็คือ  dtac นะครับ นี่ก็เสนอแบบขอให้ได้ทำไว้ก่อน ซึ่งรู้ตั้งแรกแล้วแต่ปัจจุบันก็มาหาว่า AIS เอาเปรียบซึ่งไม่ถุกต้อง   การปล่อยกู้พม่า techno แบบนี้ถ้าไม่ AIS แล้วคุณคิดว่าพม่าจะซื้อจากรายใดได้อีก และถ้าคุณเป็นพม่าคุณจะซื้อจากรายใด   เรื่องนอมินี ระวังไม่มีประเทศไหนมาลงทุนประเทศไทย แม้แต่คุณถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ พอจะย้ายฐานการผลิตไป ต่างประเทศ คุณต้องยกบริษัทให้หุ้นส่วนใหม่ 51% คุณไม่ทำหรอก  ทุกบริษัทข้ามชาติเป็นแบบนี้ทั้งนั้น     ขอบคุณที่เสวนาด้วยครับ จากคุณ : R2D2 (ไทยด่าน) - [ 12 พ.ย. 49 15:57:06 A:58.8.188.66 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ฟ้าบอกว่า  ดัย  เบิ่น   สะ  แตน  ดาด จากคุณ : ปุ๊งเต้า - [ 12 พ.ย. 49 16:04:46 A:61.7.176.143 X:61.7.176.143 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ Pom.com ผมสังเกตุความเห็นของคุณ พูดได้คำเดียวว่าคุณใช้แต่ความเชื่อส่วนตัว หรือความรู้สึกว่ามันควรจะเป็นตามความเชื่อ แต่ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ผมว่าง่ายๆ คุณนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีศูนย์วัฒนธรรม แล้วเดินไปตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปสอบถามคนที่นั่นสักสองสามคน หรือคุณไปที่คณะพานิชย์ศาสตร์และการบัญชีที่ไหนก็ได้แล้วไปถามอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับ Tax แล้วคุณจะได้คำตอบ เสร็จแล้วสมัครเรียน MBA หรือ Mini-MBA พอจบแล้วคุณจะได้เข้าใจจริงๆเสียที สมัยโบราณ ผู้คนสมัยนั้นใช้เวลาเป็นร้อยปีเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลม เพราะเห็นเส้นขอบโลก ก็เลยเชื่อว่าโลกแบน เดินทางไปไกลๆก็กลัวตกโลก คุณ Pom.com ถ้าคุณจะเรียนรู้เรื่องอะไร ขอให้ทดลองไปศึกษาจริงๆ เสียทีเถอะ เชื่อฝังหัวแบบนี้ ความรู้มันไม่งอกหรอก จากคุณ : Ex-KU31 - [ 12 พ.ย. 49 16:21:01 A:124.121.0.241 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ R2D2 (ไทยด่าน) กรณีไอทีวีที่เสนอผลประโยชน์เกินจริง ผมไม่เห็นด้วยในการลดสัมปทาน เพราะจะเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ถูกต้อง ทำไม่ได้ก็ต้องยกเลิกสัมปทานไป เปิดประมูลใหม่ ปิดบริษัท พนักงานตกงาน ถ้าเก่งจริง คนที่ประมูลชนะรายใหม่เขาก็จ้างต่อเอง ผมไม่เห็นด้วยในการแก้สัญญา โดยเฉพาะการลดข่าวสาร เพิ่มบันเทิง ซึ่งผิดเจตนาของการก่อตั้งไอทีวี ซึ่งมาจากเลือดเนื้อของคนเดือนพฤษภา ผมไม่เห็นด้วยในการเอื้อประโยชน์ทับซ้อนของนายกต่อบริษัทชินในทุกกรณี ไม่ว่าจะปล่อยกู้ใครทำอะไร มันเป็นความจริงที่เจ็บปวดสำหรับคนที่จะมาเป็นนายก ที่จะต้องเสียสละสิทธิ์ตรงนี้เพื่อความโปร่งใส ไหนๆก็พูดแล้ว ผมบอกตรงๆว่าผมคิดว่าลูกนายกเป็นนอมินีนายกในการถือหุ้นชินด้วยซ้ำ เพื่อเลี่ยงรัฐธรรมนูญ เฉพาะประเด็นนี้ถือว่าสังคมให้โอกาสท่านนายกมากพอควรแล้ว ท่านควรจะวางเฉยไม่ไปเอื้อประโยชน์ชิน แต่สุดท้ายท่านก็เอื้อทีละเรื่อง จนกรณีเทมาเสกเป็นฟางเส้นสุดท้าย ใครคิดว่าการตัดสินใจขายชินเป็นเรื่องของลูกท่านก็ไม่ว่ากัน แต่ผมว่าเป็นท่านคนที่ตัดสินใจในดีลนี้ ซึ่งถ้าเป็นจริงจะผิดรัฐธรรมนูญเต็มๆ เรื่องนอมินี ทุกวันนี้บริษัทหลายประเภท โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรม หุ้นต่างชาติเกิน 50 %ได้แล้ว ยกเว้นสื่อสาร การบิน ดาวเทียม ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคง ที่ได้แค่ 49 % ซึ่งผมว่าเหมาะสมแล้ว   ขอบคุณที่เสวนาด้วยเช่นกัน จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 16:44:53 A:203.107.202.235 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 #5 ภาษีที่ว่า คือภาษีมรดกครับ ที่ควรเป็นประเด็นให้โจมตีกัน ไม่ใช่ บอกขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แล้วไม่เสียภาษี การโอน หรือไปทำธุรกรรมอะไร ให้ไม่ต้องเสียตรงๆ หรืออ้างว่า ที่โน่นไม่มีภาษีมรดก มันก็เป็นเรื่องจริยธรรมผู้นำอีกที ว่าควรเป็นแบบอย่างในการเสียตรงๆเต็มๆหรือไม่? อันนี้สังคมก็ต้องสร้างบรรทัดฐานกันเองต่อไป จากคุณ : นัยตาสองชั้น - [ 12 พ.ย. 49 16:45:50 A:58.8.57.193 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ผมว่าคนฉลาด ยังงัยถ้าเจอช่องทางที่เสียเงินน้อยกว่า ร้อยทั้งร้อยก็ต้องทำแบบนี้คีรับ เป็นผมผมก็ทำครับ  เพราะผมไม่ได้มีจริยธรรมอะไรมากมายแบบที่โดนคาดหวังแบบนั้นหรอก และผมก็ไม่เชื่อด้วยว่าพวกที่จริยธรรมสุงส่งจะไม่เลือกใช้ช่องโหว่ จากคุณ : ajanchu - [ 12 พ.ย. 49 16:46:55 A:58.10.222.191 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องหุ้นสื่อสารการบินดาวเทียมขอให้ยืน49 เปอเซ็นตลอดไปนะครับถ้าเมื่อใดมีการแก้ไขให้ถือมากกว่านี้ก้ทุเรศสิ้นดี ในเมื่อไปกล่าวหาว่าทำไมถูกต้องก็ขอให้ยืนหลักนี้ตลอดไปก็แล้วกัน แล้วถ้าจะทำเคสทักษินก็ขอให้ไล่เบี้ยทุกบริษัทในประเทศไทย ใครเป็นนอมินีก็ดำเนินการให้หมด ถ้าไม่ทำก็ดับเบิ้ลสแตนดาส จากคุณ : วิหคเหิรฟ้า - [ 12 พ.ย. 49 16:56:04 A:203.156.69.201 X:203.130.159.4 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ Ex-KU31 มาแรงผมก็ขอตอบแรงกลับนะครับ เรื่องภาษีหุ้นนายก ผมว่ามันถกเถียงกันมากมาย คนที่คิดตรงกับผม หรือผมตรงกับเขา ก็มากมาย ล่าสุดสรรพากรที่ไม่ตรงกับผมในยุคนายกทักษิณ ตอนนี้ก็เริ่มตรงแล้ว คุณว่าผมผิดตรงไหนก็ว่ามาเลย อย่ามาด่าลอยๆ ผมไม่ได้จบด้านภาษี หรือหุ้น แต่ก็มีประสบการณ์บ้าง คงไม่จำเป็นต้องไปเรียนแบบที่แนะนำ แต่วิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน กับบริหารพื้นฐาน เคยลงเรียน ภาษีปกติให้คนทำให้ แต่เคยต้องลงมือเอง เถียงชนะสรรพากร ได้คืนมา ๖ ล้านในปีนั้น หุ้นซื้อขายตามอารมณ์ มากสุดไม่เกินวันละ ๕ ล้าน มีบริษัทที่ลงขันกับเพื่อนที่กลายเป็นบริษัทมหาชน ๑ บริษัท กองทุนหุ้นก็มีถืออยู่บ้าง หุ้นเครือนายกตกว่าไปแล้วผมก็ซวยไปด้วย จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 16:59:23 A:203.107.202.235 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 อย่าใช้ อุดมคติ มากเกินไปครับ ไม่มีใครสมบูรณื 100% หรอกครับ ถ้าเป็นผม ผมก็ต้องเลือก วิธีที่เสียเงินน้อยที่สุด ภายใต้ข้อกำหนดของกฏหมาย ผมเชื่อว่าคุณก็ต้องเป็นเหมือนกัน จากคุณ : mr beboyd - [ 12 พ.ย. 49 17:16:43 A:60.50.195.222 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 เห้นด้วยอย่างยิ่ง ศาลพึ่งไม่ได้    ไม่เชื่อเลย จากคุณ : jersy (jersy) - [ 12 พ.ย. 49 17:17:48 A:124.121.35.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 กฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 ซึ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2509 ออกตามความในประมวลรัษฏากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฏากร (23) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 187 พ.ศ. 2534 กำหนดไว้ว่า เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี ไปเจอมาเลยเอามาให้อ่านกัน นี่เป็นกรณีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งมี เจตนารมณ์ของข้อนี้เท่าที่ฟังมาเพื่อต้องการให้เงินจากต่างประเทศได้เข้ามาหมุนเวียนในประเทศ จากคุณ : tertle - [ 12 พ.ย. 49 19:28:16 A:221.128.110.156 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ tertle กฎที่ว่านี่ไม่ใช่ว่าบุคคลธรรมดาคนไหนเอาหุ้นมาขายในตลาดไม่ต้องเสียภาษีทุกกรณีครับ เช่นกรณีพนักงานการไฟฟ้าได้หุ้นราคาพาร์มาขาย ก็ต้องเอาส่วนต่างกับราคาตลาดมาคิดเป็นรายได้ กรณีซื้อหุ้นบาทเดียว ขณะที่ราคาตลาดร่วม ๕๐ บาทถึงเถียงกันไม่จบต้องขึ้นศาลไงครับ จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 19:43:19 A:203.107.205.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ Pom.com ครับผมเองไม่ค่อยจะเข้าในเท่าไหร่ที่คุณบอกระหว่าง เอาส่วนต่างกับราคาตลาดมาคิดเป็นรายได้ กับ เงินได้พึงประเมิน ต่างกันอย่างไร ผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ผมเห็นพนักงาน TOT ได้หุ้นมาในราคาประมาณ 10 กว่าบาท แต่เมื่อหุ้นขึ้น(เท่าไหร่ผมจำไม่ได้แต่ค่อนข้างเยอะมาก) เขาขายไปในตลาดหลักทรัพย์เขาเองก็ไม่ต้องเสียภาษีแต่จ่ายค่าธรรมเนียมหรืออะไรสักอย่างประมาณ 5% ก็ไม่เห็นเป็นปัญหา อ่านมาจากกระทู้เมื่อวันสองวันก่อน จากคุณ : tertle - [ 12 พ.ย. 49 20:22:10 A:221.128.110.156 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 การได้หุ้นของพนักงานรัฐวิสาหกิจในราคาพิเศษ ตามหลักก็ต้องดูส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อในราคาพิเศษ กับราคาหุ้นที่เสนอขายประชาชน เอามาหักลบกันเป็นรายได้ในการเสียภาษี ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ได้ต่างกันมากมายหรอกครับ ส่วนเข้าตลาดแล้วมันจะขึ้นไปเท่าไรก็ไม่เกี่ยว แต่ผมเชื่อว่าพนักงานรายย่อยไม่จ่ายภาษีตรงนี้ สรรพากรตามเจอยากครับ จากคุณ : Pom.com - [ 12 พ.ย. 49 20:41:02 A:203.107.205.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 คนเสียหาย เค้าถอดใจแล้ว ศาลว่าไงก็ตามศาล>>>> จะเป็นที่พึ่งได้ไม่ได้ก็ตรงนี้หละ ถ้าพึ่งไม่ได้ผมว่าบ้านเมืองลุกเป็นไฟอีกครั้ง....คงไม่เกิดหวังไว้แบบนั้น จากคุณ : - (bancherd) - [ 12 พ.ย. 49 21:11:58 A:203.223.35.237 X:203.223.35.160 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ Pom.com ตอน EGAT จะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ พนักงานจะได้สิทธิซื้อราคาพาร์ 10 บาท แต่ราคา IPO(Initail Public Offering) ราคา 22 บาท(ถ้าจำไม่ผิด) ดังนั้น พนักงานจะกำไรจากส่วนต่างก่อนเข้าตลาด จึงมีการประเมินภาษีเงินได้ และถ้าหุ้นเข้าตลาดแล้ว ซึ่งมี Silent Period แต่ภายในมีการซื้อขายกันเยอะมาก โดยทำเป็นสัญญากู้เงิน เมื่อใบหุ้นออก ก็แค่เซ็นสลักหลังพร้อมสำเนาบัตรประชาชน คุณทราบไหมว่า ทั้งผู้ขาย และผู้ซื้อรายใหม่ เอาไปขายผ่านโบรกไม่เสียภาษีเงินได้ทั้งคู่ ปล. ผมก็เคยซื้อใบหุ้นไฟฟ้าราชบุรีจากเพื่อน เอาไปขาย ก็ไม่เสียภาษีเงินได้ เสียแต่ค่าคอมฯ 0.25 % ยังไงผมก็ขอแนะนำคุณไปหาที่เรียน Course สั้นๆ พวก Tax Planning อย่างเก่ง 2 วัน ที่หรูๆหน่อย ก็ TMA ผมก็ใช้นักบัญชีเหมือนคุณนั่นแหละ แต่ผมก็ยังไปเรียน จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง ทั้งงบดุล ภาษี Maketing แถมยังต้องไปดูงานต่างประเทศ ที่ใหญ่ๆ ก็ Hannover Fair ทั้งๆที่ตอบจบปริญญาตรี แค่วิศวกรรมศาสตร์ เวลาทำงานจริง มันไม่พอจริงๆ รู้ไว้ไช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม จะได้แยกแยอะผิดถูกได้เอง จากคุณ : Ex-KU31 - [ 12 พ.ย. 49 23:17:13 A:124.121.6.231 X: ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอฝากให้คุณ Pom.com เห็นจากเว็บประชาไท มีคนอธิบาย พร้อม Chart ประกอบ อย่างละเอียด ผมเชื่อว่า ถ้าคุณพยายามอ่าน อันไหนไม่เข้าใจ ก็ถามนักบัญชีของคุณ รับรองว่าคุณจะเข้าใจจริงๆเสียที คงไม่ต้องรอเป็นร้อยปี เพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลม http://www.sanpaworn.vissaventure.com/shin-corp-deal จากคุณ : Ex-KU31 - [ 12 พ.ย. 49 23:43:22 A:124.121.6.231 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมขอเรียนถามท่านผู้รู้นะครับ ข้อสงสัยคือ. 1 ไทยให้พม่ากู้เงิน............คุณทักษิณผิดหรือไม่ ? 2  พม่าเอาเงินที่กู้จากไทย..ไปซื้อของ จากญี่ปุ่น คุณทักษิณผิดหรือไม่.? 3  พม่าเอาเงินที่กู้จากไทย..ไปซื้อของจากไทยที่ไม่ใช่ กลุ่มชินฯ .. คุณทักษิณผิดหรือไม่ ? 4 พม่าเอาเงินที่กู้จากไทย..ไปซื้อของจากไทยที่เป็นของกลุ่มชินฯ ..คุณทักษิณผิดหรือไม่?  ผมอยากทราบจริงๆ เนื่องจากไม่เก่งเรื่องกฎหมายจริยธรรม ขอรบกวนด้วย. จากคุณ : ลุงถุง - [ 13 พ.ย. 49 09:37:40 A:124.120.232.92 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ Ex-KU31 ผมไม่แน่ใจว่าคุณนี่จบอะไร ที่ไหน ถึงหลงไหลว่าต้องเข้าเรียนในมหาลัยเท่านั้นถึงจะตอบคำถามนี้ได้ เรื่องที่เราเถียงกันนี่ไม่มีใครตอบได้ชัดหรอกครับจนกว่าศาลจะตัดสิน การศึกษาเป้าหมายหลักคือสอนให้คนจบไปแล้วรู้จักหาความรู้เองเป็น เพราะความรู้เทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สอนยังไงก็ไม่ครอบคลุมอนาคต ผมเองเคยเป็นอาจารย์พิเศษมหาลัยรัฐมา ๕ แห่ง ตั้งแต่ปริญญาตรียันปริญญาโทใช้เป้าหมายแบบนี้ในการสอน เรื่องพนักงานการไฟฟ้าเสียภาษีตรงส่วนต่าง 12 บาท ผมก็ว่าถูกแล้ว ไม่เห็นมีประเด็นที่ขัดแย้ง ส่วนเรื่องใครชักดาบภาษี มันก็เรื่องปกติแบบที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้ เวบที่คุณให้ผมอ่านก็ไม่มีอะไรใหม่ แถมผิดพลาดอีกต่างหาก ผมยกมาให้ดูเลย "ข้อกล่าวหาคือ การที่แอมเพิลริชโอนหุ้นชินคอร์ปฯให้พาน/พิณที่ราคาพาร์ 1 บาท ทั้งคู่ต้องเสียภาษีเพราะมีเงินได้เพิ่ม (ได้มา 1 บาท ขาย 49 บาท เป็นกำไร 48 บาทที่ต้องเสียภาษี) หรือจะเป็นเหมือนกรณีบริษัทออกหุ้นจูงใจพนักงานในราคาถูกพิเศษ (สต็อกออปชั่น หรือ ESOP) ว่า ต้องเสียภาษีส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นชินคอร์ปฯที่ ซื้อขายในตลาดกับราคาที่ได้มา (ได้มา 1 บาท ในวันที่หุ้นชินคอร์ปฯราคา 42 บาท เป็นกำไร 41 บาท ซึ่งหากจะเสียภาษีต้องจ่ายวันที่ซื้อ ไม่ใช่วันที่ขายที่ 49 บาทไม่มีภาษีเพราะได้เป็นเจ้าของหุ้นนั้นแล้ว) ข้อกล่าวหานี้ เป็นการตีความคนละหลักการ เพราะทั้งพาน/พิณเป็นเจ้าของแอมเพิลริชก็ถือว่าเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ 11% นี้อยู่แล้ว เป็นบุคคลเดียวกันดังที่รายงานตลาดหุ้นมาตลอด ดังนั้น การที่แอมเพิลริชโอนหุ้นชินคอร์ปฯ 11% ที่ถืออยู่ ให้พาน/พิณถือเองโดยตรงในราคาพาร์ ไม่ทำให้พาน/พิณมีรายได้เพิ่ม เพราะเป็นหุ้นและต้นทุนของตนแต่เดิม เป็นคนละกรณีกับ นายจ้างจ่ายผลตอบแทนลูกจ้างด้วยการออกหุ้นใหม่ขายให้ในราคาพิเศษ หรือ การให้รางวัลจับสลาก หรือ การขายตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีส่วนลดหน้าตั๋ว ล้วนทำให้ผู้ซื้อมีรายได้เพิ่ม ต้องเสียภาษี ประเด็นนี้หารือกับสรรพากรตั้งแต่กลางปีที่แล้ว สรรพากรก็ยืนยันว่าเรื่องนี้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ฟังกัน กล่าวหาว่าลูกนายกฯหนีภาษี นายกฯไม่มีจริยธรรม สรรพากรผิดจรรยาบรรณเพราะตีความเข้าข้างรับใช้นายกฯ" ข้อมูลในเวบนี้มั่วมาก สรรพากรในอดีต ไม่ได้ใช้หลักการเจ้าของโอนหุ้นให้ตัวเอง ในการยกเว้นภาษี แต่ใช้หลักการว่าเสมือนแอมเพิลริชขายของถูก บังเอิญว่าคนซื้อเป็นเจ้าของ ซึ่งการซื้อของถูกเหมือนซื้อของลดราคาในห้างไม่ต้องเสียภาษี คุณลองไปหาอ่านที่คุณเบญจาตอบลูกนายกดู หุ้นชินในแอมเพิลริชเสมือนเป็นทรัพย์สินตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณเคยมีบริษัทของตัวเองจะรู้ว่าการโอนทรัพย์สินของตัวเองเข้าออกบริษัทจะทำง่ายๆไม่ได้ ต้องเสมือนมีการซื้อขาย ซึ่งปกติจะไม่ซื้อขายในราคาที่ผิดปกติเกินไป ที่นักวิชาการเขาเถียงกันอยู่ก็คือการขายของถูกผิดปกติ ถือว่าผู้ซื้อมีรายได้หรือไม่ และถ้ามีในกรณีเป็นหุ้น จะคิดรายได้วันที่ซื้อเหมือนพนักงานการไฟฟ้า ซึ่งต้องเสียภาษีขั้นต้น ส่วนพอไปขายในตลาดถ้าราคาหุ้นเพิ่มไปเท่าไร ไม่ต้องเสียภาษีส่วนที่เพิ่ม หรือคิดรายได้วันที่ขายในตลาด ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี นอกจากนี้นักวิชาการบางท่านก็มองว่าการซื้อของถูกครั้งนี้เป็นนิติกรรมอำพราง บางท่านก็มองว่าการซื้อของถูกครั้งนี้ให้ตีความเหมือนพนักงานการไฟฟ้าได้หุ้นเป็นโบนัสหรือเป็นสิทธิ์พิเศษของกรรมการ ต่อให้ผมไปลงเรียนตามคุณแนะ ก็ได้คำตอบไม่ตรงกันหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 49 10:34:18 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 49 09:57:13 จากคุณ : Pom.com - [ 13 พ.ย. 49 09:52:53 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 ความวุ่นวายของประเทศที่มีมาตั้งแต่ต้น ก็เพราะการตีความในตัวบทกฎหมายที่แตกต่างกัน การไม่ยอมรับความคิดเห็นของซึ่งกันและกัน จึงทำให้ประเทศชาติถอยหลังไปอีกไกล  จริงอยู่ที่บอกว่าการเริ่มต้นใหม่นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ประเด็นสำคัญ ผลกระทบที่ตามมาได้ประเมินกันล่วงหน้าบ้างไหม   ในประเด็น ที่พยายามยัดเยียดเพื่อให้เขามีความผิดนั้น เชื่อว่า เขาคงยอมรับในสภาพ แต่ความเป็นธรรมละ อยู่ที่ไหน...การตามล้างตามเช็ดอยู่ในสันดานของคนในสมัยนี้ตั้งแต่เมื่อไร...อย่าปล่อยให้เขาเอาคืนละ จากคุณ : ชุมแพ (Montree_52) - [ 13 พ.ย. 49 10:07:36 A:58.181.205.2 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 ลุงถุง รัฐบาลไทยให้พม่ากู้เงินผ่านทางเอ็กซิมแบงค์ พม่าจะเอาไปลงทุนอะไร ถ้าสมเหตุสมผลทางธุรกิจ คงผิดทางกฎหมายยาก ยกเว้นเงินกู้ถูกชักดาบ คงต้องมาไล่เบี้ยว่าผิดหรือไม่ ให้พม่ากู้ไปจ้างชินซึ่งเป็นของลูกนายก จะผิดจริยธรรมหรือไม่คงเป็นดุลยพินิจของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับว่าคนตอบเองมีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ถ้าคนที่มีจริยธรรมสากลมากๆ อาจบอกว่าแค่ให้เงินกู้พม่าก็ผิดจริยธรรมแล้ว ต้องร่วมกับนานาชาติบีบรัฐบาลพม่า ให้เลิกกดขี่ชนกลุ่มน้อย จากคุณ : Pom.com - [ 13 พ.ย. 49 10:10:54 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 คุณชุมแพ (Montree_52) อย่ามองโลกในแง่ร้ายซิครับ เรื่องภาษีนี่มันเถียงกันมานาน ในอดีตข้าราชการที่รับผิดชอบตีความแบบหนึ่ง คนส่วนหนึ่งเห็นว่าตีความผิดก็โต้แย้ง วันนี้ทุกคนควรรอให้ศาลตัดสิน ส่วนถ้าจะเรียกว่าตามล้างตามเช็ดคงไม่ถูกนัก ประเด็นภาษีนี้หลายคนก็เถียงมาตลอดตั้งแต่ท่านยังมีอำนาจ ไม่ใช่มาเถียงตอนนี้ ผมเองในราชดำเนินใครตั้งกระทู้ประเด็นนี้ ก็มาแลกเปลี่ยนความเห็นทุกครั้ง ทั้งที่มาทีไรก็เจ็บตัวทุกครั้ง ถูกด่าลอยๆประจำ จากคุณ : Pom.com - [ 13 พ.ย. 49 10:28:01 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอให้ตรงไปตรงมากับทุกคนด้วย ไม่ใช่เลือกปฏิบัติ จากคุณ : คำฝอย - [ 13 พ.ย. 49 12:45:31 A:202.44.139.25 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ Pom.com ไหนๆคุณก็อ้างว่าเป็นอดีตอาจารย์สอนมาตั้ง 4-5 สถาบัน คุณสอนวิชาอะไรไม่ทราบครับ? เกี่ยวข้องกับกฏหมายเงินตราหรือไม่? คำถาม 1. "การซื้อของถูกแบบผิดปกติ" คืออะไรครับ? สามารถให้คำจำกัดความที่ชัดเจนได้หรือไม่? บรรทัดฐานคืออะไร? กฏหมายไทยครอบคลุมไปถึงประเทศอื่นด้วยหรือครับ? แน่ใจแล้วหรือครับว่าธุรกรรมทอดนี้อยู่ภายใต้กฏหมายไทย? ถ้าคลุมเคลืออีกหน่อยก็คงจะวุ่นไปหมด ทุกบริษัทคงต้องมาทบทวนงบรายได้รายจ่ายหมด ว่าจะเข้าข่ายรายได้"แฝง"ที่ต้อง declare ภาษีหรือไม่? 2. เรากำลังคุยกันเรื่องกฏหมาย หรือเรื่องจริยธรรม? จริยธรรมของใคร? เขาเป็นนักการเมืองหรือเปล่า? เขามีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติตามกฏหมายเพื่อให้เขามีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดหรือไม่? 3. กำลังเลือกปฏิบัติอยู่หรือเปล่า? 4. คุณอ้างว่าอธิบดีเปลี่ยนใจมาอยู่ตรงตามคุณ อย่างไรครับ? ผมไม่เห็นอธิบดีพูดสักคำว่าคราวที่แล้วทำผิด มีแต่พูดว่า ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่ในกับนอกคุก เขาเลือกนอกคุก คุณไปตีความสรุปเองไม่ได้นะครับ ว่าอธิบดีเปลี่ยนใจมาตัดสินจากผิดเป็นถูก เพราะผมมองว่าเพราะอธิบดีเพียงแต่ไม่ต้องการที่จะให้ตัวเองถูกตั้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น หน้าที่ในที่นี้คือการสั่งการให้เก็บภาษี แต่จะเก็บได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่อธิบดีตัดสิน แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 49 16:57:03 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 49 16:52:25 จากคุณ : kriengchai - [ 13 พ.ย. 49 16:49:41 A:10.232.150.108 X:202.75.160.254 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ kriengchai ผมไม่ได้สอนด้านภาษี ไม่เคยเรียนด้านภาษี แต่ผมว่าคนเรามีสิทธิ์เรียนรู้ได้ด้วยตนเองทุกเรื่อง ถ้าตั้งใจ ผมเองอาจจะโชคดีหน่อย ที่มีเพื่อนเป็นมือหนึ่งด้านภาษีในบริษัทฝรั่ง ค่าตัวชม.ร่วมหมื่น  เพื่อนจบตรีจากอังกฤษ จบโทอเมริกา มีอะไรสงสัยก็ถามได้ฟรี ส่วนใหญ่ก็ถามเรื่องที่เราเถียงกันนี่ละ แต่ก็ไม่ได้เชื่อทุกเรื่อง เรื่องลึกๆของภาษีมันไม่มีในตำราหรอก  น้องผมจบบัญชี ยังแม่นเรื่องภาษีบุคคลธรรมดาน้อยกว่าผม เจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็เถอะ เถียงกันประจำ ชนะบ้างแพ้บ้าง ลองตอบที่คุณถาม 1. "การซื้อของถูกแบบผิดปกติ" คืออะไรครับ? สามารถให้คำจำกัดความที่ชัดเจนได้หรือไม่? บรรทัดฐานคืออะไร? กฏหมายไทยครอบคลุมไปถึงประเทศอื่นด้วยหรือครับ? แน่ใจแล้วหรือครับว่าธุรกรรมทอดนี้อยู่ภายใต้กฏหมายไทย? ถ้าคลุมเคลืออีกหน่อยก็คงจะวุ่นไปหมด ทุกบริษัทคงต้องมาทบทวนงบรายได้รายจ่ายหมด ว่าจะเข้าข่ายรายได้"แฝง"ที่ต้อง declare ภาษีหรือไม่? ก็แบบที่ของมูลค่า ๕ หมื่นล้านบาท ขายแค่พันล้านบาท แบบเจาะจงผู้ซื้อไงครับที่ผิดปกติ เรื่องแบบนี้ต้องใช้ดุลยพินิจครับ จะว่าคลุมเคลือก็ใช่ ความจริงเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องโจ๊กในวงการธุรกิจแต่ไม่มีใครกล้าทำ อย่างบริษัทมีรถเบนซ์ซื้อมาคันละ 10 ล้าน ถ้าขายให้ลูกเจ้าของบาทเดียว ถ้าตีความแบบที่เป็นข่าว ลูกเจ้าของก็ไม่ต้องเสียภาษีตราบใดยังไม่ขายต่อรถ บริษัทก็ลงบัญชีเป็นขายของขาดทุน เอาไปหักรายจ่ายได้อีก ส่วนนิติกรรมนี้ครอบคลุมกม.ไทยไหม ถ้าแอมเพิลริชขายให้ลูกนายกในไทยก็คลุมทันที รายได้เกิดขึ้นในปรเทศ ถ้าขายให้ในเมืองนอก ก็ถือว่าลูกนายกมีรายได้ในเมืองนอก น้องเอมไม่ต้องเสียภาษี เพราะอยู่ในไทยปีนี้ไม่ถึง 180 วัน ส่วนน้องโอ๊ค ถ้าตามไปเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆก็ไม่ต้องเสีย ตอนนี้เขาถึงมุ่งประเด็นไปที่นิติกรรมอำพรางแทน 2. เรากำลังคุยกันเรื่องกฏหมาย หรือเรื่องจริยธรรม? จริยธรรมของใคร? เขาเป็นนักการเมืองหรือเปล่า? เขามีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติตามกฏหมายเพื่อให้เขามีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดหรือไม่? เรื่องนี้ถ้าจะต้องพูดเรื่องจริยธรรมต้องท้าวความ คุณเชื่อจริงๆหรือครับว่าธุรกรรมที่นายกโอนหุ้นให้ลูก แลกกับสัญญาเงินกู้ใบเดียว เป็นเรื่องจริง นายกไม่ได้อยู่เบื้องหลังการบริหารชินมาตลอด 5 ปี การบริหารชินอยู่ในมือของน้องโอ๊คน้องเอมมาตลอด ถ้าคุณเชื่อก็ไม่ว่ากัน แต่ผมไม่เชื่อ ไม่เชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่แกล้งปิดตาตัวเอง เพื่อหาทางออกให้นายกไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพื่อให้โอกาสนายกบริหารบ้านเมือง เวลาผ่านไป มีข่าวเอื้อประโยชน์หุ้นชิน ก็ทนๆกันไป มาฟิวส์ขาดกันส่วนใหญ่ตอนขายชินนี่ละ คุณคิดว่าคนตัดสินใจขายชินเป็นน้องโอ๊คน้องเอมจริงๆหรือครับ แถมมีเรื่องภาษีอีก ต่อให้เลี่ยงได้ไม่ผิด แต่มันเหมาะไหม ที่แทนที่จะเป็นคนอุดช่องโหว่รักษาผลประโยชน์ชาติ แต่กลับเป็นคนใช้ช่องโหว่นี้คนแรก 3. กำลังเลือกปฏิบัติอยู่หรือเปล่า? กรณีนี้เป็นเคสใหม่ ไม่มีใครทำ แถมจะมีคนทำตามอีกเป็นพรวน สิ่งที่ต้องรีบทำ คือสรุปข้อเท็จจริง ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก แต่ถ้าถูกก็ต้องรีบออกกม.อุดช่องโหว่ 4. คุณอ้างว่าอธิบดีเปลี่ยนใจมาอยู่ตรงตามคุณ อย่างไรครับ? ผมไม่เห็นอธิบดีพูดสักคำว่าคราวที่แล้วทำผิด มีแต่พูดว่า ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่ในกับนอกคุก เขาเลือกนอกคุก คุณไปตีความสรุปเองไม่ได้นะครับ ว่าอธิบดีเปลี่ยนใจมาตัดสินจากผิดเป็นถูก เพราะผมมองว่าเพราะอธิบดีเพียงแต่ไม่ต้องการที่จะให้ตัวเองถูกตั้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น หน้าที่ในที่นี้คือการสั่งการให้เก็บภาษี แต่จะเก็บได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่อธิบดีตัดสิน ตอนนี้สั่งการให้เก็บภาษี ตอนนั้นแถลงว่าไม่ต้องเสียภาษี จะไม่เรียกว่าเปลี่ยนใจได้อย่างไร จากคุณ : Pom.com - [ 14 พ.ย. 49 10:03:01 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ Pom.com ==================================================================================== ผมไม่ได้สอนด้านภาษี ไม่เคยเรียนด้านภาษี แต่ผมว่าคนเรามีสิทธิ์เรียนรู้ได้ด้วยตนเองทุกเรื่อง ถ้าตั้งใจ ผมเองอาจจะโชคดีหน่อย ที่มีเพื่อนเป็นมือหนึ่งด้านภาษีในบริษัทฝรั่ง ค่าตัวชม.ร่วมหมื่น เพื่อนจบตรีจากอังกฤษ จบโทอเมริกา มีอะไรสงสัยก็ถามได้ฟรี ส่วนใหญ่ก็ถามเรื่องที่เราเถียงกันนี่ละ แต่ก็ไม่ได้เชื่อทุกเรื่อง เรื่องลึกๆของภาษีมันไม่มีในตำราหรอก น้องผมจบบัญชี ยังแม่นเรื่องภาษีบุคคลธรรมดาน้อยกว่าผม เจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็เถอะ เถียงกันประจำ ชนะบ้างแพ้บ้าง -------------------------------------------------- ยินดีที่ได้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็น และก็ยินดีด้วยครับที่คุณมีโอกาสดีกว่าคนอื่นๆอีกมาก จากข้อความข้างบน ผมเชื่อว่าคุณคงไม่ได้เป็นคนประเภทเชื่อถือหรือเถียงอะไรแบบหัวชนฝา ==================================================================================== 1. "การซื้อของถูกแบบผิดปกติ" คืออะไรครับ? ..... .......... ก็แบบที่ของมูลค่า ๕ หมื่นล้านบาท ขายแค่พันล้านบาท แบบเจาะจงผู้ซื้อไงครับที่ผิดปกติ เรื่องแบบนี้ต้องใช้ดุลยพินิจครับ จะว่าคลุมเคลือก็ใช่ -------------------------------------------------- ถ้า commit ไปแล้ว แล้วก่อให้เกิดความคลุมเครือขึ้นแบบนี้ ต่อไปทั้งประเทศจะไม่วุ่นวายหรือครับ? ==================================================================================== ความจริงเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องโจ๊กในวงการธุรกิจแต่ไม่มีใครกล้าทำ อย่างบริษัทมีรถเบนซ์ซื้อมาคันละ 10 ล้าน ถ้าขายให้ลูกเจ้าของบาทเดียว ถ้าตีความแบบที่เป็นข่าว ลูกเจ้าของก็ไม่ต้องเสียภาษีตราบใดยังไม่ขายต่อรถ บริษัทก็ลงบัญชีเป็นขายของขาดทุน เอาไปหักรายจ่ายได้อีก -------------------------------------------------- อาจจะมีครับ เพียงแต่ไม่ดังเท่า และมูลค่าก็ไม่มากมายนัก แต่เชื่อว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีและสรรพากรคงให้ผ่านยาก ==================================================================================== ส่วนนิติกรรมนี้ครอบคลุมกม.ไทยไหม ถ้าแอมเพิลริชขายให้ลูกนายกในไทยก็คลุมทันที รายได้เกิดขึ้นในปรเทศ ถ้าขายให้ในเมืองนอก ก็ถือว่าลูกนายกมีรายได้ในเมืองนอก น้องเอมไม่ต้องเสียภาษี เพราะอยู่ในไทยปีนี้ไม่ถึง 180 วัน ส่วนน้องโอ๊ค ถ้าตามไปเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆก็ไม่ต้องเสีย ตอนนี้เขาถึงมุ่งประเด็นไปที่นิติกรรมอำพรางแทน -------------------------------------------------- ก็ให้เขาว่าไปตามหลักฐานเถอะครับ แต่ผมเห็นมีคนแย้งคุณเรื่อง 180 วัน ที่จริงถ้าคุณช่วยกรุณาให้คำปรึกษาและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะดีนะครับ ผมก็ทำงานอยู่ต่างประเทศเกิน 180 วันต่อปีเหมือนกัน แต่ยังจ่ายภาษีเต็มที่ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เพื่อชาติ ผมเกลียดพวกนักการเมืองเหลือเกินครับ เมื่อไหร่ชาติจะสมานฉันท์ ถ้ายังคิดเข่นฆ่ากันให้ถึงที่สุดแบบนี้ ==================================================================================== 2. เรากำลังคุยกันเรื่องกฏหมาย หรือเรื่องจริยธรรม? ............ เรื่องนี้ถ้าจะต้องพูดเรื่องจริยธรรมต้องท้าวความ คุณเชื่อจริงๆหรือครับว่าธุรกรรมที่นายกโอนหุ้นให้ลูก แลกกับสัญญาเงินกู้ใบเดียว เป็นเรื่องจริง นายกไม่ได้อยู่เบื้องหลังการบริหารชินมาตลอด 5 ปี การบริหารชินอยู่ในมือของน้องโอ๊คน้องเอมมาตลอด ถ้าคุณเชื่อก็ไม่ว่ากัน แต่ผมไม่เชื่อ ไม่เชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่แกล้งปิดตาตัวเอง เพื่อหาทางออกให้นายกไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพื่อให้โอกาสนายกบริหารบ้านเมือง เวลาผ่านไป มีข่าวเอื้อประโยชน์หุ้นชิน ก็ทนๆกันไป มาฟิวส์ขาดกันส่วนใหญ่ตอนขายชินนี่ละ คุณคิดว่าคนตัดสินใจขายชินเป็นน้องโอ๊คน้องเอมจริงๆหรือครับ แถมมีเรื่องภาษีอีก ต่อให้เลี่ยงได้ไม่ผิด แต่มันเหมาะไหม ที่แทนที่จะเป็นคนอุดช่องโหว่รักษาผลประโยชน์ชาติ แต่กลับเป็นคนใช้ช่องโหว่นี้คนแรก ........... 3. กำลังเลือกปฏิบัติอยู่หรือเปล่า? กรณีนี้เป็นเคสใหม่ ไม่มีใครทำ แถมจะมีคนทำตามอีกเป็นพรวน สิ่งที่ต้องรีบทำ คือสรุปข้อเท็จจริง ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก แต่ถ้าถูกก็ต้องรีบออกกม.อุดช่องโหว่ -------------------------------------------------- ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ แต่ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏหมาย ถ้าผมเป็นศาลผมคงตัดสินโดยเอาความเชื่อเป็นที่ตั้งไม่ได้ ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้มันมีอยู่ ลูกเขาสองคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าเขาไม่เก่งพอที่จะบริหารได้ เขาก็มีที่ปรึกษาเหมือนกับคุณ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาสองคนคือผู้ลงนามในเอกสารทั้งหมด กฏหมายคือกฏหมาย ห้ามบิดเบือนหรือตีความเข้าข้างตัวเอง ต้องให้ความยุติธรรม ไม่ว่าเขาจะรวยหรือจน จริยธรรมเป็นนามธรรม บรรทัดฐานหาลำบาก ถ้าคุณคิดว่าต้องแก้กฏหมายมาอุดช่องโหว่เพื่อให้คนหลบเลี่ยงได้ยากจากกฏจริยธรรม ผมก็ไม่เถียงอะไรกับมุมมองของคุณ แต่ในทางกลับกัน ผมก็มองว่า นี่จะเป็นเรื่องของการกระทำ(ลงโทษ)ที่เกินกว่าเหตุ สมมติว่าผมมีสิทธิ์ในหุ้นจำนวนหนึ่งที่อยู่ในตลาดเรียบร้อยแล้ว วันดีคืนดีผมโยกไปมาระหว่างนิติบุคคลซึ่งเป็นของตัวผมเอง และก็เป็นนิติฯที่อยู่นอกราชอาณาจักรแล้วธุรกรรมก็ไม่ได้เกิดที่นี่ สิทธิ์ของผมนั้นหายไปหรือครับ? (คือผลลัพธ์สุดท้ายเป็นศูนย์ ไม่มีคนอื่นมีส่วนได้ส่วนเสียกับการกระทำนี้ แม้แต่ตัวผมเอง) แต่ต้องมาเสียภาษีตามกฏหมาย ผมก็ว่ากฏหมายนี้เพี้ยนไปแล้ว ถ้าผมมีอำนาจ ผมก็จะออกกฏหมายมาล้มล้างกฏหมายนี้ทิ้ง บรรทัดฐานของเราต่างกัน แต่ผมว่าเราตัดสินไม่ได้นะครับว่าของใครถูกต้องกว่ากัน สรุปคือ ผมว่าเราแยกประเด็นออกมาเถอะครับ ว่าเป็นเรื่องอะไร? ผมยอมให้ไม่เก็บภาษี ดีกว่ายอมให้หลักกฏหมายเสียหาย แถมจะมีคนทำตามอีกเป็นพรวน? ผมเคยตามข่าวเรื่องประธานาธิบดีสหรัฐก็พูดเรื่องนี้ ถ้าทางนั้นยังคุมไม่ได้ แล้วเราจะคุมอย่างไร? คงไม่ใช้กฏหมายแบบอูกันดา สมัยอีดี้อามินไปยึดทรัพย์พวกยิวแล้วขับไล่ออกนอกประเทศนะครับ ==================================================================================== 4. ... ตอนนี้สั่งการให้เก็บภาษี ตอนนั้นแถลงว่าไม่ต้องเสียภาษี จะไม่เรียกว่าเปลี่ยนใจได้อย่างไร -------------------------------------------------- การหาเหตุผลเพื่อหาทางเอาตัวรอด ตัดช่องน้อยแต่พอตัว คุณคิดว่าเขาเต็มใจหรือครับ? คุณเชื่อว่า เขายอมรับว่าความเห็นแรกเป็นความเห็นที่ผิดหรือครับ? ผมมองว่าเป็นเรื่องการเมืองบีบบังคับ ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลที่เปี่ยมไปด้วยจริยธรรมเช่นรัฐบาลนี้ จากคุณ : kriengchai - [ 14 พ.ย. 49 12:53:10 A:10.232.150.108 X:202.75.160.254 ]

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ kriengchai ตอบเฉพาะประเด็นทางกฏหมายนะครับ เรื่องจริยธรรมอะไรนั่น  ไม่แสดงความเห็นแล้ว มุมใครมุมมัน "ผมก็ทำงานอยู่ต่างประเทศเกิน 180 วันต่อปีเหมือนกัน แต่ยังจ่ายภาษีเต็มที่" เขายกเว้นเฉพาะรายได้ที่ได้จากต่างประเทศนะครับ ไม่แน่ใจว่าที่คุณจ่ายภาษีเป็นรายได้ในไทยหรือเปล่า "สมมติว่าผมมีสิทธิ์ในหุ้นจำนวนหนึ่งที่อยู่ในตลาดเรียบร้อยแล้ว วันดีคืนดีผมโยกไปมาระหว่างนิติบุคคลซึ่งเป็นของตัวผมเอง และก็เป็นนิติฯที่อยู่นอกราชอาณาจักรแล้วธุรกรรมก็ไม่ได้เกิดที่นี่ สิทธิ์ของผมนั้นหายไปหรือครับ? (คือผลลัพธ์สุดท้ายเป็นศูนย์ ไม่มีคนอื่นมีส่วนได้ส่วนเสียกับการกระทำนี้ แม้แต่ตัวผมเอง) แต่ต้องมาเสียภาษีตามกฏหมาย ผมก็ว่ากฏหมายนี้เพี้ยนไปแล้ว" โดยปกติคนไทยไม่สามารถโยกหุ้นหรือสมบัติอะไรก็ตามไปมาระหว่างบุคคลธรรมดากับนิติบุคคลได้ง่ายๆแบบที่ใครชอบพูดว่าย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายมากระเป๋าขวา ถ้าหุ้นหรือสมบัติที่โยกไปในมือของนิติบุคคลมีกำไรงอกเงยมาจากวันที่โยกไป อยากจะโยกกลับมา ก็ต้องเสียเงินให้รัฐ กฎหมายตรงนี้ผมว่าไม่เพี้ยน เพราะข้อดีของการโยกสมบัติมาไว้ในนิติบุคคลมันก็มีมากมาย การที่เปลี่ยนจากนิติบุคคลไทยไปเป็นนิติบุคคลต่างชาติแล้วจะมีสิทธิ์ต่างกัน ผมว่าคงทำให้ประเทศชาติเสียประโยขน์ ถ้าให้สิทธิ์ตรงนี้ต่างกันซิครับ กฎหมายเพี้ยน "ผมยอมให้ไม่เก็บภาษี ดีกว่ายอมให้หลักกฏหมายเสียหาย" ผมก็ไม่ยอมให้หลักกฎหมายเสียหายเหมือนกัน เพียงแต่ผมคิดว่าต้องเก็บภาษี แต่ศาลว่าอย่างไรผมก็รับ "คุณเชื่อว่า เขายอมรับว่าความเห็นแรกเป็นความเห็นที่ผิดหรือครับ? ผมมองว่าเป็นเรื่องการเมืองบีบบังคับ" แล้วถ้าผมถามกลับว่า คุณเชื่อหรือครับว่าความเห็นแรกเขาไม่ได้ถูกการเมืองบังคับ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวหรอกครับ จากคุณ : Pom.com - [ 14 พ.ย. 49 15:51:00 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 "ผมเคยตามข่าวเรื่องประธานาธิบดีสหรัฐก็พูดเรื่องนี้ ถ้าทางนั้นยังคุมไม่ได้ แล้วเราจะคุมอย่างไร?  " ที่เขากังวลคือเรื่องการฟอกเงิน ธุรกิจผิดกฎหมายครับ ส่วนใครจะไปลงทุนด้วยความบริสุทธิ์ใจเชิญเลยครับ ทั้งอเมริกาและไทยยินดี แล้วถ้าลงทุนได้กำไร เอาเงินเข้าประเทศไทย ปีนั้นจะได้สิทธิ์ยกเว้นภาษีเพราะไปอยู่อังกฤษครึ่งปีตามกฎหมาย ผมก็ยอมรับครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 49 16:04:15 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 49 16:03:22 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 49 15:52:27 จากคุณ : Pom.com - [ 14 พ.ย. 49 15:51:21 A:210.1.58.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านความเห็นของคุณ POM.Com  ชอบมาก อ่านแล้วเข้าใจ เห็นภาพ ว่าเป็นอย่างไร สร้างสรรค์  และผู้ที่คิดต่างก็ควรมีเหตุผล ด้วย จากคุณ : โรตีกระปาย - [ 15 พ.ย. 49 10:38:44 A:125.24.132.214 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 ได้ความรู้ดีครับ แต่รอศาล.. จากคุณ : เมย์ (เมฆินทร์) - [ 23 พ.ย. 49 02:42:39 A:222.123.84.201 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 นิติกรรมอำพรางหรือไม่ ดูง่ายๆอย่างนี้นะ ขายขาดทุน ต้องดูว่าแต่เดิมคุณเป็นเจ้าของอยู่แล้วหรือไม่ ถ้าไช่ ก็ไม่เป็นนิติกรรมอำพราง ถ้าไม่ไช่ก็เป็นนิติกรรมอำพรางต้องเรียกเก็บภาษี ความจริงกฏหมายกเขียนใว้ชัดอยู่แล้วไม่เห็นต้องตีความอะไรเลย จากคุณ : ธนวรรธน์ - [ 23 พ.ย. 49 10:10:24 A:58.147.72.166 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 เข้ามาหาความรู้ค่ะ                           จากคุณ : gg1234k - [ 23 พ.ย. 49 12:55:41 A:203.188.49.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 56 มาตามคำเชิญคุณ Pom.com ค่ะ อ่านข้าม ๆ นะคะเวลามีน้อย แต่พอสรุปได้ดังนี้ค่ะ (หากว่ามีตรงไหนอ่านไม่เครียร์วอนช่วยบอกด้วยนะคะ) ประเด็นที่คุณมองคือ โอ๊ค และเอม ได้รับหุ้นในราคา พาร์ แค่ 1 บาท แล้วได้กำไร 48 บาท คือกำไร และต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใช่หรือไม่คะ แล้วคุณพยายามวกเข้าเรื่องจริยธรรม เพราะถ้าคิดรายได้พึงประเมินบุคคลธรรมดาในตลาดหลักทรัพย์แล้ว คงเอาผิดสองคนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเอาเรื่องซื้อหุ้นคืนจากแอมเพิลริชแล้วได้ เอาอย่างนี้ค่ะ ถามว่า 2 คนนี้ คือลูกคุณหญิงกับทักษิณใช่หรือไม่ ถามอีกว่า 2 คนนี้คือผู้ก่อตั้งใช่หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่นักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นเก็งกำไรเหมือนคนอื่น ดังนั้นถ้า ลูก ๆ 2 คนได้หุ้นมาในราคา 1 บาท/หุ้นจะผิดอะไร เหมือนกับลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่จะได้รับหุ้นราคาพาร์ เพราะมันเป็นหุ้นของเขามาตั้งแต่เริ่ม เหมือนคุณพ่อคุณจะยกรถคันเก่งให้คุณ รถคันนี้มีมูลค่ามหาศาล คุณพ่อขายต่อราคา คันละ 1 บาท จะผิดไหมคะ เรื่องนี้เถียงกันลำบากค่ะ มองได้ 2 มุมจริง ๆ วอนแต่ศาลล่ะค่ะ ถ้าท่านจะพิจารณาอะไรออกมา คิดถึงประเทศชาติ และผลกระทบให้ดีที่สุดแล้วกันค่ะ อย่างที่คุณ pom.com มอง และคนอื่น ๆ ที่ตรงข้ามกับคุณ pom มอง ทุกคนมีเหตุ-ผล ของตน แต่อย่าลืมว่า ที่คุณ pom.com มองนั้นเป็นการวินิจฉัยเพื่อเอาผิดนักลงทุนที่ยึดประมวลกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้ของนักลงทุนโดยตรง ซึ่งปกติประเด็นนี้ สรรพากรปล่อยผ่าน ไม่เคยเอาภาษีกับตรงนี้ แต่พอดีว่า มาประเด็นครอบครัวชินวัตรเข้า (แน่นอนดิฉันมองว่าเป็นการเลือกปฎิบัติค่ะ) ดังนั้น หากศาลท่านพิพากษาออกมาให้มีการเก็บภาษี สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ นักลงทุนจะเลี่ยงการลงทุนในบ้านเราทันที เนื่องจากเมื่อมีการพิพากษาออกมา จะเหมือนเป็นมาตรฐานในคดีต่อ ๆ มาทันที ดังนั้น นักลงทุนอื่นที่ไม่เคยเสียภาษี อาจเกรงว่าตัวเองจะโดนเช่นนั้นเหมือนกัน ก็จะพากันถอนการลงทุนทันที สรุปว่า สำหรับดิฉัน มองว่า ไม่ผิด ไม่ต้องเสียภาษีค่ะ สำหรับคนอื่นจะเห็นอย่างคุณ pom.com ไม่ว่ากันค่ะ เพราะมีเหตุ มีผลเช่นกัน แต่เหตุและผลเช่นนั้น ฟังไม่ขึ้นสำหรับดิฉัน ดิฉันยึดประมวลฯ รัษฎากรฯ ว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ค่ะ จากคุณ : บัวหลวง_ - [ 23 พ.ย. 49 17:39:08 A:125.25.79.203 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณบัวหลวง ผมว่าคุณต้องใช้เวลาอ่านความเห็นที่แตกต่างให้มากกว่านี้ ไม่งั้นสิ่งที่คุณว่าคนอื่นในกระทู้ของคุณ จะย้อนกลับมาว่าคุณเอง ประเด็นที่คุณยกมา ผมเชื่อว่าใครที่อ่านกระทู้นี้ดีพอ จะไม่มีใครเอามาเป็นประเด็นต้องถกเถียงให้เสียเวลาอีก แต่ไหนๆคุณอุตส่าห์มาตามคำเชิญ ผมจะสรุปให้อีกรอบ คุณจะได้   'รู้จริง'  มากขึ้น และไม่แสดงความคิดเห็นที่เชยๆอีก เรื่องจริยธรรมผมไม่เอามาเป็นประเด็นในการเถียงในกระทู้นี้ ซึ่งเน้นเรื่องกฏหมายเป็นหลัก ที่พูดถึงเพราะมีคนถาม เรื่องพ่อยกหุ้นให้ลูกผมไม่เคยเอามาเป็นประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่พอลูกได้หุ้นแล้ว ไม่ถือไว้ในฐานะบุคคลธรรมดา แต่โอนไปถือไว้ในฐานะนิติบุคคล เรื่องบุคคลธรรมดาขายหุ้นในตลาดไม่ต้องเสียภาษีใครเขาก็รู้ แต่คุณเคยรู้ไหมครับ ว่านิติบุคคลขายหุ้น ถ้ากำไรต้องเสียภาษี และไม่เคยมีนิติบุคคลรายไหนในประเทศไทย ที่หลีกกฎเกณฑ์นี้ได้ ไม่เคยมีใครใช้วิธีขายหุ้นราคาบาทเดียวให้เจ้าของ เอาไปขายต่อในตลาด ได้กำไรไม่เสียภาษี ถ้ามีการตัดสินว่าการกระทำครั้งนี้ผิด ไม่มีใครเดือดร้อนหรอกครับ นอกจากลูกนายก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเอาเรื่องวิธีเลี่ยงภาษีโจ๊กที่คุยกันเล่นๆมาทำจริง แต่ถ้ามีการตัดสินว่าการกระทำครั้งนี้ถูก คนที่เดือดร้อนคือประเทศชาติ นิติบุคคลอื่นที่ลงทุนในหุ้นแล้วได้กำไร แทนที่จะขายหุ้น เสียภาษีเหมือนเดิม จะขายหุ้น ๑ บาทให้เจ้าของเอาไปขายต่อในตลาดไม่ต้องเสียภาษี หุ้น ๑ บาท นี้คนละเรื่องกับหุ้นราคาพาร์อะไรที่คุณเข้าใจ มันเป็นเสมือนสมบัติของบริษัทตัวหนึ่งเท่านั้น เป็นหุ้นของบริษัทอื่น(ชิน) ที่บริษัทอีกบริษัท(แอมเพิลริช)ซื้อมา คำว่าราคาพาร์เขาใช้ในกรณีที่เป็นหุ้นของตัวบริษัทเอง ซึ่งในกรณีนี้ แอมเพิลริชไม่ได้ขายหุ้นแอมเพิลริชให้ใคร ประเด็นที่ถกเถียงกัน สำหรับคนที่รู้จริง เหลือเพียงกรณีเจ้าของบริษัทขายสมบัติบริษัทให้เจ้าของในราคาถูกกว่าปกติ ถือว่าเป็นรายได้ของเจ้าของหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้สรรพากรเคยตีความว่าไม่เป็นรายได้ เสมือนคนซื้อของลดราคาตามห้าง ซึ่งนับว่าเป็นการตีความแบบเซียนเหยียบเมฆ เพราะถ้าตีความว่าเป็นสิทธิ์พิเศษที่บริษัทขายให้กรรมการในราคาถูก จะโดนภาษีทันทีแบบที่พนักงานการไฟฟ้าจะโดนเก็บภาษีที่ได้หุ้นในราคาถูกกว่าปกติ (ซึ่งคุณก็แสดงความไม่รู้มาอีกว่าไม่ต้องเสียภาษี ไม่เคยอ่านข่าวหรือไง ตอนที่สรรพากรตีความจนคนไฟฟ้าออกมาโวยวาย) กรณีลูกนายกซื้อหุ้นบาทเดียว สรรพากรเคยตีความว่าไม่เป็นรายได้ เสมือนคนซื้อของลดราคาตามห้าง ผมเห็นว่าเป็นการตีความที่ผิด แต่ใครจะเห็นว่าถูก ก็คงต้องรอศาลตัดสิน และเวลานี้ใครจะคิดว่าถูก ผมก็เคารพความคิดเห็น แต่ที่ไม่เคารพ ก็ที่ไปว่าคนอื่น แต่พอเอาเข้าจริง ก็ไม่ต่างกับที่ไปว่าเขา แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 49 11:41:52 จากคุณ : Pom.com - [ 24 พ.ย. 49 00:51:20 A:203.107.203.181 X: ]