สะท้านพิภพ
ตอนที่ 2 ยุดสุครองเมือง
ลาภและวาสนาได้มาโดยบังเอิญ บังเอิญเสียจนไม่รู้ว่าจะใช้และรักษาได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดี คล้ายกับยาจกตกเข้าไปในกรุสมบัติ ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่รู้ว่าจะหยิบฉวยสิ่งใด ได้แต่หูพล่าตาลาย ไม่ต่างจากกลุ่มมือปราบไร้ธรรม ที่ทำการยึดอำนาจแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองในแว่นแคว้นเสียใหม่ แต่แล้วด้วยความรู้ความสามารถอันจำกัด ไม่มีสติปัญญาคิดอ่านว่าจะทำประการใดต่อไป พอหัวหน้าขันทีหรือนักฆ่าผมขาว เห็นชอบว่าควรเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อทูลขอคณะผู้นำให้ถูกต้องตามหลักการปกครองของบ้านเมือง กลุ่มกบฏยังคงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรและทำโดยใคร อนิจจายาใจ กลุ่มกบฏกลับยินยอมยกอำนาจที่มีอยู่นั้น ให้กับเหล่าขันทีเสียดื้อๆ เอาไงเอากัน เหตุผลที่ยอมยกให้เหล่าขันทีไปว่ากันเอง ในเรื่องของคนที่จะเข้ามารับหน้าที่ผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เหตุเพราะว่า ไม่แน่ใจว่าพวกตนเองจะสามารถรักษาอำนาจที่มีอยู่นั้นให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง จึงยอมตัดใจ แต่ยังคงมีการระดมนักวิชาการทั้งซ้ายขวา เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เพื่อต้องการข้อคิดว่า ทำอย่างไรพวกตนที่ก่อการกบฏนั้น จะรักษาอำนาจไว้ได้ นักวิชาการทั้งหลายจึงเสนอแนะกลุ่มมือปราบไร้ธรรมว่า ตำแหน่งที่ต้องยึดไว้มีอะไรบ้าง เมื่อทุกอย่างลงตัวและพร้อมเพียงดีแล้ว ในกลางดึกของวันที่ 19 เดือน 9 นักฆ่าผมขาวจึงนำขุมกำลังเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอในสิ่งที่ตนเองและพวกต้องการ ฮ่องเต้ผู้น่าสงสารไม่อาจไม่ทำตาม แม้ว่าจะดึกดื่นเพียงใด ก็คงต้องออกว่าราชการให้กับกลุ่มขันทีเลว เป็นที่สลดใจแก่เหล่าพสกนิกรและข้าในพระองค์เป็นอย่างมาก หลังจากการเข้าเฝ้าแล้ว รายชื่อผู้นำในการบริหารบ้านเมืองก็ถูกประกาศออกสู่ประชาชน และผู้ที่ได้รับการยอมรับจากนักฆ่าผมขาวในการนำเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารก็คือ ยุดสุ ผู้เป็นลูกน้องผู้ใกล้ชิดของนักฆ่าผมขาวนั่นเอง เมื่อยุดสุได้รับการแต่งตั้งแล้ว และมีคณะผู้บริหารเป็นของตนเอง ยุดสุถึงกับออกมาประกาศว่า ความสงบสุขและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวจะกลับมาสู่สังคมในไม่ช้า ช้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฝ่ายสินทักเมื่อทราบข่าวดังนั้น ก็เดือดร้อนใจเป็นอันมาก ใจหนึ่งก็โมโหที่ฮ่องเต้ถูกคุกคาม ใจหนึ่งก็ห่วงในตำแหน่งหน้าที่ที่เคยเป็นอยู่ ใจหนึ่งก็สงสารประชาชนที่ต้องลำบาก ใจหนึ่งก็ห่วงกลุ่มคนในภาคใต้ ที่กำลังพยายามแยกตัวออกไป เพื่อขอปกครองตนเอง แต่ความร้อนรุ่มของสินทัก ก็ถูกดึงให้กลับมามีสติดังเดิมโดยคนใกล้ชิด เมื่อถูกทัดทานโดยภรรยาคู่คิด ให้ตั้งสติและสงบนิ่งให้มาก ตอนนี้ฮ่องเต้ยังคงตกอยู่ในมือของเหล่ามาร การคิดก่อการใดๆ ย่อมมีผลเสียหาย การตัดสินใจของฮ่องเต้เราควรที่จะต้องนำไปคิดและใคร่ครวญ ตอนนี้ฮ่องเต้ตกเป็นรอง ทำอย่างไรถึงจะรักษาชาติบ้านเมืองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง สินทักต้องยึดถือในตำราพิชัยสงคราม ไม่แตกหักเมื่อยังแตกหักไม่ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดกลยุทธ์ 36 ประการที่ว่าด้วย หนี เมื่อยังเอาชนะไม่ได้ และยังคงยกตัวอย่างฮ่องเต้ของแคว้นพะมา ที่ตัดสินใจสู้กับกองทัพของอังกฤษ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่สามารถทำได้ จนทำให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นไปในที่สุด สินทักได้ฟังคำเตือนของภรรยา ก็มีความสงบเยือกเย็นขึ้น จึงสั่งให้กองกำลังอันน้อยนิดที่มีอยู่ ไม่ก่อการใดๆให้ต้องสูญเสียพละกำลังโดยไม่จำเป็น ควรรอเพื่อให้ทุกอย่างพร้อม
ฝ่ายยุดสุเมื่อได้รับอำนาจรัฐแล้ว ก็ลงมือเล่นพรรคเล่นพวก ตามวิสัยของนักการเมืองทันที ยุดสุเป็นนักการเมืองที่เอาพรรคเอาพวกมาก ขอให้ผ่านมาในทิศทางเดียวกันเป็นได้ดี ย่อมจะบำเหน็จรางวัลและผลประโยชน์ ให้ ดังนั้นจึงมีนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชน และขุนนางข้าราชการอื่นๆเข้าร่วมสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก และการกระทำของยุดสุยังคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ การกระทำที่คอยปกป้องพวกพ้องจะแสดงออกในทุกครั้ง ที่มีการทำให้เกิดในเรื่องของพวกตนเองที่จะต้องได้รับการตำหนิติเตียน ยุดสุ จะคอยออกมาปกป้อง คล้ายกับแม่ไก่ ที่คอยกางปีกเพื่อปกป้องลูกน้อย โอ้ อนิจจา ยิ่งปกป้องก็ยิ่งได้ใจ กลุ่มคนที่ถือเป็นเลือดสีเดียวกัน มักจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนในหลายๆด้าน แต่ไม่น่าสงสัยในการกระทำเหล่านี้ให้มากมายนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ กลุ่มคนเหล่านี้ยังคงกล้าที่จะทำลาย ดังตัวอย่างที่เราๆท่านๆ เห็นๆกันอยู่ และเหล่าข้าราชการทั้งหลาย ที่ตกอยู่ในภาวะเข้าเมืองตาหลิ่วก็เลยต้องหลิ่วตาตาม สภาพบ้านเมืองในขณะนี้มีแต่การผลัดเปลี่ยนขนและย้อมสีจากเหล่าข้าราชการชั่ว มองไปทางใด ล้วนแล้วแต่ได้กลิ่นของสีที่กำลังเปลี่ยนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครกล้าที่จะต่าง ก็คงอยู่ยาก
หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมยุดสุถึงได้กล้าหายชาญชัยในการเสนอตัวขึ้นเป็นผู้นำเสียเอง ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากมายนัก ทุกท่านครับ ตำแหน่งขันทีไม่ใช้ได้มา ด้วยโชคหรือวาสนา ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแบบหลวมๆหรือไร้ที่มาที่ไป คนทั่วไปมักมีความคลางแคลงใจ และมักจะออกมาบอกกันอยู่เสมอๆว่า คนที่เป็นขันทีนั้น มักจะเป็นคนที่ทำและคิดอะไรไม่เหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป ทุกท่านครับ ตามปกติแล้วคนธรรมดาทั่วไปนั้น มักจะมัวเมาลุ่มหลงอยู่ใน 3 เรื่องใหญ่ๆคือ กิน กาม เกียรติ ดังนั้นเมื่อตัดความต้องการหรือความสามารถในเรื่องของกามออกไปเสียแล้ว คนผู้นั้นก็จะเหลืออยู่ก็เพียง การยึดติดในสองเรื่องเท่านั้น คือเรื่องกินและเกียรติ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของอำนาจและวาสนา เมื่อยามปกติการระบายออกนั้นมันทำได้ทั้งสามทาง แต่กลับกันเมื่อมีการบังคับให้เกิดการเบี่ยงเบนไป สิ่งที่หายไปก็กับไปทับถมเพิ่มเติมเข้าไปในด้านอื่นๆ มากเป็นร้อยเท่าทวีคูณ และด้วยเหตุผลนี้เอง พวกเหล่าขันทีทั้งหลายทั้งปวง จึงกลายเป็นคนที่มีความต้องการในเรื่องของอำนาจ วาสนา มากเป็นเท่าทวีคูณ และมากเป็นพิเศษ มากจนผิดวิสัยมนุษย์โดยทั่วๆไป จนอาจกล่าวได้ว่า คนพวกนี้เป็นคนวิปริตจำพวกหนึ่ง ที่พร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา
จากคุณ :
chiangraiplus
- [
18 พ.ย. 49 20:03:18
A:61.7.141.74 X:61.7.141.74
]