นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาในหัวข้อ “มองอนาคตการเมืองไทยจากมุมมองอดีตนายกรัฐมนตรี” ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง วานนี้ (28 พ.ย.) ตอนหนึ่ง ว่า การเมืองไทยในอนาคตยังคลุมเครืออยู่มาก ชนิดที่บอกว่า มองไปไกลยังไม่ชัด เพราะเหตุการณ์ในอนาคต เป็นผลพวงจากปัจจุบัน ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่า รัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมาเป็นอย่างไร คนร่างมีทัศนคติ หรือมีแรงจูงใจในอนาคตหรือไม่ ได้ยินแต่ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับล่าสุด จะสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย จึงยังตอบไม่ได้ และมองไม่เห็นภาพได้ไกลกว่านี้ รวมทั้ง ยังไม่ได้ยินความชัดเจน จากทั้งรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า จะจัดการกับปัญหาอันเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 อย่างไร

 

“ถ้าเราไม่รู้โฉมหน้ารัฐธรรมนูญ เราก็ไม่รู้โฉมหน้าการเมืองในอนาคต ประชาชน ผมไม่แน่ใจต่อบรรยากาศตอนนี้ และบรรยากาศในระยะใกล้ ว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยอย่างไร เมื่อเห็นภาพไม่ชัด จึงตอบอะไรมากไม่ได้ แม้โครงสร้างรัฐธรรมนูญไม่แน่นอน แต่จากพื้นฐานการเมืองที่ผ่านมา 70 กว่าปี มีบางส่วนที่ตอบได้ว่า อำนาจอธิปไตย อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ อำนาจฝ่ายบริหาร และอำนาจตุลาการ ยังเป็นอำนาจหลัก โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแน่ ๆ คือ อำนาจตุลาการ” นายชวน กล่าว

 

ส่วนโฉมหน้ารัฐธรรมนูญจะเป็นแบบปี 2540 หรือไม่นั้น นายชวน กล่าวว่า ยังไม่มีสัญญาณจากผู้มีอำนาจ และผู้เข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่สมาชิกพรรคการเมือง จึงยังไม่ทราบว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะยังมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีควรมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง แต่จากประสบการณ์ ส.ว.ที่ผ่านมาที่มาจากการเลือกตั้ง เห็นว่าภารกิจในการกลั่นกรองกฎหมายยังใช้ได้ แต่ภารกิจเลือกองค์กรอิสระ ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)  ก็ควรต้องมาทบทวนดูว่า จำนวนที่สูงมากถึง 500 คน ยังจำเป็นหรือไม่ หรือจะกลับไปใช้ของเดิม ที่คำนวณตามประชากร รวมทั้ง กรณี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อก็เป็นเรื่องต้องพิจารณา เพราะมีทั้งจุดอ่อน และจุดแข็ง ข้อดีคือได้ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพะวงพื้นที่ แต่ข้อเสียคือเมื่อไม่ได้มาจากเขต ก็ไม่สนใจสภาฯ รวมทั้ง ยังเห็นว่า เรื่อง ส.ส.เขตเดียวเบอร์เดียว ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา เพราะเป็นการลอกแบบจากต่างประเทศ ทั้งที่ ส.ส.แบ่งเขตไม่เกิน 3 คนแบบในอดีต ทำให้โอกาสการที่จะซื้อเสียงยากกว่า เพราะพื้นที่ใหญ่เกินกว่าจะซื้อหมด



สำหรับที่มาของนายกรัฐมนตรี ควรจะกำหนดให้มากจากการเลือกตั้งหรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักควรจะเปิดกว้าง แต่ผลจากการเปิดกว้าง ก็จะกลายเป็นเหยื่อของพวกล่าตำแหน่ง และกรณีที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาคม ปี 2534 ก็เพราะมีคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้มากจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ควรจะกำหนดเอาไว้ก่อน อะไรที่ไม่มั่นใจ ก็ขออย่าทดลอง เพราะบ้านเมืองเคยเกิดการสูญเสียจากการทดลองมาแล้ว และไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่เป็นกรณียกเว้นเกิดขึ้นอีก  



นายชวน ยังกล่าวถึง การทำงานของฝ่ายบริหาร ว่า คนที่เป็นมืออาชีพจะไม่เอานโยบายด้านความมั่นคงมาทดลองเหมือนที่ผ่านมา ที่มีการเอานโยบายบางเรื่องไปแก้ปัญหาภาคใต้ ส่วนตัวเห็นว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ไม่ควรอ่อนหรือแข็งเกินความเป็นจริงตามกฎหมาย ถ้ารู้ว่ามีการทำผิด อย่าได้กลัว ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ หรือมุสลิม ต้องดำเนินคดี อย่าให้ชาวบ้านอ้างได้ว่า เจ้าหน้าที่เข้าข้างใคร ซึ่งถ้าสามารถทำให้ประชาชนวางใจได้ จะทำให้การแก้ไขปัญหาใต้ได้ผลมากยิ่งขึ้น และเรื่องของเขตเศรษฐกิจก็เห็นว่า อย่าไปหวังว่าคนจะไปลงทุน หากยังทำให้พื้นที่ปลอดภัยไม่ได้



อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้อยู่ที่ว่า คนที่ได้ดีจากระบอบทักษิณยังอยู่ ทำให้การจัดการกับระบอบทักษิณยังไม่บรรลุ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล และ คมช. อธิบายความจริง 4 ข้อที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจ การออกสมุดปกขาว ยังไม่พอเพียง เพราะเชื่อว่าชาวไร่ชาวนาไม่มีโอกาสได้อ่านอย่างทั่วถึง สิ่งที่เป็นห่วงไม่ใช่ คมช.หรือรัฐบาล เพราะเมื่อครบ 1 ปี คนเหล่านี้ก็กลับไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง แต่ผลพวงจากวิกฤติของระบอบทักษิณ ที่ประชาชนยังไม่รู้ความจริง จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และสถาบันหลักในวันข้างหน้า

 

“เรื่องเหล่านี้ต้องหามาตรการป้องกัน เพราะแม้ในอนาคตโครงสร้างอธิปไตยจะไม่เปลี่ยน แต่ก็ต้องระวังไม่ให้คนที่มีคุณลักษณะอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามามีอำนาจ หากมีคนแบบนี้เข้ามาเป็นผู้นำ สิ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติได้คือ ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตัวเอง จะได้ไม่เกิดปัญหาเหมือนในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขออย่าห่วง คมช. รัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี แต่ขอให้ห่วงความมั่นคงของชาติ และสถาบัน ซึ่งถ้าไม่คลี่คลายวิกฤติ ไม่ทำให้บ้านเมืองกระจ่างชัด ถือว่าน่าเป็นห่วง” นายชวน กล่าว

 

นายชวน กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ต้องการฝากคือ ประชาชนเป็นผู้ตั้งรัฐบาล รัฐบาลจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ซึ่งประชาชนจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการเลือกตั้งที่ทุจริต จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยรณรงค์ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เพราะขณะนี้ผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ทำในสิ่งนี้ และขอให้กำลังใจกับประชาชนที่เชื่อว่า ต้องใช้เงินเท่านั้นถึงจะชนะเลือกตั้ง เพราะถ้าคิดเช่นนั้นจะได้คนที่ซื้อเสียงเข้ามาเพียงอย่างเดียว อย่ายอมให้นักการเมืองมาซื้อเสียง ในอดีตตนเคยมีประสบการณ์สู้กับเงินมาแล้ว และสามารถเอาชนะได้

*************************************

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=28273