ความคิดเห็นที่ 1
ในปี 1963 รัฐบาลภายใต้การนำของ Qasim ได้ถูกปิดล้อมโดยศัตรูของเขาที่อยู่รายรอบทั้งในพรรคและจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามและต้องเผชิญหน้ากับการลุกฮือของกบฎชาวเคิร์ดทางตอนเหนือและการเติบโตของกลุ่มเคลื่อนไหวชาตินิยมในอิรักเอง ในที่สุดประธานาธิบดี Qasim ก็ถูกยึดอำนาจและถูกขับให้พ้นจากตำแหน่งโดยพรรคบาธในเวลาต่อมา กระนั้นก็ตาม Qasim ก็ยังถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของชาวเมือง ชาวนา และชาวไร่ที่ยากจนที่ได้รับอานิสงฆ์จากแนวนโยบายเศรษฐกิจเมื่อครั้งที่เขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของประเทศ Qasim ได้ออกกฏหมายปฏิรูปที่ดินที่เคยถูกครอบครองโดยชนชั้นสูงและกระจายที่ทำกินไปสู่ชนบทมากขึ้น.....
ทางด้านพรรคบาธนั้นหลังจากความนิยมนาสเซอร์อดีตผู้นำอียิปต์เริ่มเสื่อมลง พรรคบาธแห่งอิรัค ได้เน้นนโยบายการเมืองภายในประเทศมากขึ้นพรรคเริ่มมุ่งเน้นการสร้างกำลังทางทหาร หน่วยข่าวกรองและก่อตั้งสาขาพรรคตามหัวเมืองต่างๆเพื่อหาแรงสนับสนุน เมื่อมาถึงตอนนี้สมาชิก Revolutionary Command Council (RCC) ของพรรคบาธซึ่งประกอบไปด้วยชาวเมืองทีครีทสามคนได้แก่ Bakr, Hammad Shihabและซัดดัม ฮุสเซ็นซึ่ง Bakrนั้นมีศักดิ์เป็นลุงของซัดดัมนั่นเองเมื่อมาถึงตรงนี้อุดมการณ์ของพรรคบาธแตกต่างจากความเป็นพรรคบาธในอดีตมากขึ้นและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้นำคนสำคัญๆล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มาจากฝ่ายทหารด้วยกันทั้งสิ้น
ต่อมาก็ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายพล Bakr(Bakr government)ซึ่งมีซัดดัมกุมบังเหียนเป็นผู้ช่วยคนสำคัญอยู่ช่วงระหว่างปี 1968 และ 1973 มีการสอบสวนแบบตั้งศาลเตี้ยเอง ประหารชีวิต ลอบสังหารและการขู่ฆ่ากลุ่มที่ต่อต้านพรรคบาธและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคได้ออกกฎเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนในพรรค โดยในราวปี 1970 รัฐบาลของนายพล Bakrได้ออกรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า 'a Provisional Constitution' ซึ่งเนื้อหาในรัฐธรรมนูญนั้นได้ดัดแปลงมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 1968 อย่างสิ้นเชิงโดยมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้แก่พรรคของตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งก็คล้ายกับการฉีกรัฐธรรมนูญของรัฐบาลคอ มอ ชอของไทยเลยค่ะที่เขียนกฏหมายขึ้นมาให้อำนาจและนิรโทษกรรมตัวเองได้อย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากนั้นไม่นาน ประธานาธิบดี Bakr ก็ได้ถ่ายโอนอำนาจชั่วคราวให้กับซัดดัมเนื่องจากปัญหาสุขภาพที่เจ็บป่วยเรื้อรังของเชาเอง และตามกฎหมายที่ถูกระบุไว้ใน Provisional Constitution นั้นคณะข้าราชการประจำ หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง คณะมนตรีความมั่นคง ข้าราชการจำเป็นต้องรายงานการทำงานให้แก่ประธานาธิบดี Bakr และซัดดัมรับทราบทุกครั้งและตรงนี้เองที่ทำให้ซัดดัมไม่พอใจและไม่เต็มใจที่จะแชร์อำนาจกับ Bakrอีกต่อไป
ในปี1979 ประธานาธิบดี Bakrได้ถูกซัดดัม ฮุสเซ็นกดดันและขับไล่ให้ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากนั้นเป็นต้นมาซัดดัมก็ได้ขึ้นครองอำนาจอย่างเป็นทางการโดยควบ 4 ตำแหน่งในเวลาเดียวกันคือ ประธานาธิบดีแห่งอิรัค, secretary general of the Baath Party Regional Command, chairman of the RCC, และ commander in chief of the armed forces. ซึ่งการมีอำนาจเต็มจากการดำรงตำแหน่งประธาน RCC นี่เองที่ทำให้ซัดดัมก่อตั้งเครือข่ายตำรวจลับ (a network of secret police) ขึ้นมาเพื่อกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับตน
อดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 1979 และนำประเทศอิรัคเข้าทำทำสงครามกับอิหร่านเป็นเวลาถึง 8 ปีและได้บุกยึดครองคูเวตเมื่อเดือนสิงหาคมเมื่อปี 1990 จนทำให้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียซึ่งกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 หลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย สหประชาชาติได้ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และเรียกร้องให้รัฐบาลอิรักปลดอาวุธ แต่รัฐบาลอิรักภายใต้ซัดดัมยังคงไม่ปฏิบัติตามจนเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2003 สหรัฐและพันธมิตรได้ทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน และได้เข้ายึดการปกครองประเทศ โดยได้จัดตั้งคณะบริหารประเทศชั่วคราวของกองกำลังพันธมิตร (Coalition Provisional Authority - CPA) ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2003
ต่อมาได้มีการส่งมอบอำนาจอธิปไตยคืนให้แก่รัฐบาลชั่วคราวของอิรัก (Iraqi Interim Government) เมื่อ 2 ปีที่แล้วโดยนาย Paul Bremer อดีตนักการทูตอาชีพ ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานในอิรักแทนนายพลการ์เนอร์ (Lt. Gen. Jay Garner) ซึ่งเป็นผู้ประสานงานหลักกับสำนักงานการบูรณะและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2005ได้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีจำนวนสมาชิก 275 ที่นั่ง ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของอิรัก ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้แต่งตั้งรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน (Transitional Government) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศ และได้มีการร่างรัฐธรรมนูญของอิรัก แล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และเปิดให้มีการลงประชามติทั่วประเทศ
การเข้าทำสงครามอิรัคของประธานาธิบดีบุชในครั้งนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากนักต่อต้านสงคราม(แต่เงียบกริบกับสงครามในอาฟริกา)และนักต่อต้านสหรัฐอเมริกาอย่างหนาหูรวมไปถึงสื่อลิเบอร์รัลมีเดียและสื่อที่อิงแอบการเมืองฝ่ายซ้ายว่า
ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับยูเอ็นน้อยลงเรื่อย ๆโดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐอเมริกาบุกอิรัคโดยไม่ฟังเสียงของประชาคมโลก ต้องการทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมครอบครองน้ำมันในอิรัค
ข้อกล่าวหาตรงนี้มันช่างขัดความรู้สึกของผู้เขียนเสียจริงๆค่ะและก็มีหลายคนเข้าใจว่าอเมริกาไม่ฟังเสียงยูเอ็นหรือให้ความสำคัญกับยูเอ็นน้อยลงซึ่งตรงนี้ไม่เป็นความจริงเลยค่ะหากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและข้อมูลสาธารณะที่ปรากฎอยู่ หากอเมริกามีอำนาจสามารถบังคับยูเอ็นได้จริงอย่างที่นักต่อต้านสงครามอิรัคกล่าวหาก่อนที่สงครามอิัรัคจะเริ่มขึ้น ถ้าอย่างนั้น second resolution คงผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไปได้ด้วยดีแล้วล่ะค่ะ จริงๆต้องบอกว่าอเมริกานี่ยังเคารพยูเอ็นอยู่นะถึงได้พยายามออก second resolution มา
และยังมีกลุ่มที่คัดค้านสงคราม(อาจไม่รักสันติจริงตามลมปากคือคัดค้านแต่สงครามอิรักแต่สงครามในแอฟริกากลับนิ่งเฉย)ได้กล่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าอิรักยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้องของยูเอ็นโดยสดุดี (หลังจากที่ถูกอเมริกาภายใต้คลินตันและอังกฤษบอมบ์ทางอากาศผู้แทนชาติสมาชิกของยูเอ็นบางชาติออกมาประณามการตัดสินใจบอมบ์ของบิลคลินตันครั้งนี้ด้วยค่ะ) แต่จริงๆแล้วหากไปอ่านในรายละเอียดของรายงานในยูเอ็นจริงๆแล้วหาเป็นเช่นกลุ่มที่คัดค้านสงครามต่อต้านอเมริกากล่าวหาค่ะเพราะหลังจากที่มีการดีเบทกันอย่างเผ็ดมันท่ามกลางสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคง ในการแก้ไขสถานการณ์ในอิรัก(ในปี1999) เพื่อหาทางออกนั้น อเมริกาและอังกฤษยืนยันว่าอิรักจำต้องถูกปลดอาวุธให้เรียบร้อยเสียก่อนก่อนที่จะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรแต่จีน ฝรั่งเศส และรัสเซียก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าอิรักถูกปลดอาวุธเรียบร้อยแล้วและแย้งว่าควรจะมีการผ่อนปรนการคว่ำบาตรอิรัคเพื่อโน้มนาวให้อิรักกระทำตามข้อเรียกร้องยูเอ็นเป็นครั้งสุดท้าย ในส่วนตรงนี้ผู้แทนของอิรัคประจำยูเอ็นได้กล่าวยืนยันว่ายูเอ็นจะต้องยกเลิกการคว่ำบาตรอิรัคเสียก่อน อิรัคจึงจะยอมให้ UN inspectors กลับเข้าไปตรวจอาวุธต้องห้ามในอิรัคได้
ที่เห็นชัดเจนตรงนี้ก็คือชาติสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายและอิรักยังคงไม่ยอมให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธของยูเอ็นกลับเข้าไปในอิรักจนกว่าจะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ Security Council จึงได้ออกมติสหประชาชาติฉบับที่ 12874 ( Resolution 1284) มาเพื่อแต่งตั้งทีมรับช่วงการทำงานต่อจาก UNSCOM ซึ่งประกอบไปด้วยทีม UN Monitoring การพิสูจน์หาหลักฐานของอาวุธทำลายล้างสูงที่ขาดหายไปโดยไร้ร่องรอยและทีม Inspection Commission (UNMOVIC) แต่จีน ฝรั่งเศสและรัสเซียกลับงดเว้นไม่ลงคะแนนเสียงให้กับ Res.1284 ฉบับนี้ค่ะ จะว่าไปแล้วเนื้อหาใน Resolution ฉบับนี้ได้เอื้อประโยชนให้กับอิรักในการขายน้ำมันภายใต้โครงการ"น้ำมันแลกอาหาร (ที่ลูกชายนายโคฟี อันนันถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวด้วย) อย่างไม่มีวงจำกัดเสียด้วยซ้ำและเงื่อนไขการยกเลิกมาตรการการคว่ำบาตรจะถูกขยายระยะเวลาเพิ่มถึง 4 เดือนหากเพียงอิรักร่วมมือกับ คณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่ ซึ่ง Resolution ฉบับนี้ให้สิทธิ UN team ชุดใหม่เข้าไปตรวจไซท์ทุกๆแห่งในอิรัคที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแหล่งสะสมอาวุธต้องห้าม. (เหตุผลเรื่อง WMD นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของ the presence of WMD แต่เป็นเรื่องของ *the absence of evidence* ค่ะและ Res.1284 ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ) Res.1284 ฉบับนี้ยังเรียกร้องคณะผู้ตรวจสอบอาวุธชุดใหม่ UNMOVIC และ IAEA สรุปรายงานรายการของอาุวุธต้องห้ามที่ยังไม่ถูกกำจัดหรือทำลายภายในเวลา 60วัน เพื่อว่าอิรักจะได้เข้าใจถึงบทบาทของตัวเองว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ยูเอ็นต้องการ แล้วเกิดอะไรขึ้นคะทีนี้? อิรัคปฏิเสธ Res.1284ฉบับนี้ค่ะ..
จากคุณ :
เอื้องอัยราวัณ
- [
30 ธ.ค. 49 19:37:25
A:24.224.224.231 X:
]
|
|
|