ความคิดเห็นที่ 1 ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของโจรก่อการร้าย  คือต้องเข้าไปปลดปล่อยคนมุสลิมทุกแห่งในโลกที่ถูกปกครองด้วยความไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลของประเทศนั้น  ให้เป็นรัฐอิสระและปกครองโดยคนมุสลิม  เช่นประเทศอิสลามทั้งหลาย   สามจว.ชายแดนไทยคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมทั้งสงขลาบางส่วนจึงตกเป็นเป้าหมายของยุทธศาสตร์ของโจรก่อการร้ายเพราะเงื่อนไขมีอยู่พร้อม ในส่วนยุทธวิธีทางการเมือง  ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของยุทธ ศาสตร์ทางการเมือง   จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์ย้อนกลับไปในอดีตก็ได้พบว่าโจรได้เริ่มเข้ายึดการปกครองท้องถิ่น  โดยโจรจากต่างประเทศเข้ามาช่วยวางแผน  เมื่อรัฐบาลเราได้ออกพรบ.ว่าด้วยการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันเมื่อปี  ๒๕๓๒  ต่อมาการปกครองท้องถิ่นของเรายิ่งตกไปอยู่ในมือโจรเบ็ดเสร็จ  เมื่อมีพรบ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง  องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นเมื่อธค. ๒๕๓๗   การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลครั้งแรกเมื่อ พค. ๒๕๓๘  ทำให้การปกครองท้องถิ่นระดับรากหญ้า   ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  กลับตกไปอยุ่ในมือโจร  เพราะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งโจรจากต่างประเทศก็เข้ามาช่วยวางแผนด้วยทุกครั้ง  จนถึงปี ๒๕๔๐  ทุกอบต.ทั่วประเทศก็สมบูรณ์  อบต.ของ๓จว. ชายแดนใต้ในพท.สีแดงจึงตกอยู่ในเงื้อมมือโจรหมดสิ้น เมื่ออบต.ตกอยู่ในมือโจรก็ทำให้โจรมีอำนาจทางทหารเข็มแข็งขึ้นตาม   โจรเข้ามาคุมชาวบ้านและนอนอยู่ในบ้าน  จะเห็นได้ว่าการเมืองการทหารของโจรเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน  ณจุดนี้ฝ่ายเราถูกปิดหูปิดตา   ข่าวการเคลื่อนไหวใดๆของโจรมิเคยล่วงรู้ไปถึงฝ่ายตำรวจ ทหาร  หรือรู้ก็เมื่อข่าวนั้นผ่านไปหลายวันแล้ว ทำไมโจรจึงเป็นผู้กระทำต่อฝ่ายเราให้ได้รับความสูญเสียทุกวันก็เพราะ  โจรคุมชาวบ้านได้หมดฝ่ายเราจึงประสบแต่การสูญเสีย   ตายรายวันเป็นเรื่องธรรมดา  นอกจากฝ่ายเราและชาวบ้าน  ครูถูกยิง  ซุ่มยิง   และซุ่มโจมตีด้วยกับระเบิดแล้ว โจรยังวางระเบิดป่วนเมืองตามโชว์รูมรถยนต์และจักรยานยนต์กลางเมืองยะลา  ทำให้เห็นว่าฝ่ายรัฐนั้นไม่สามารถรักษาความสงบได้  ส่วนชุมชนไทยพุทธก็ถูกเผาบ้าน   คนพุทธถูกยิงเป็นประจำ   เป็นการกระทำให้คนพุทธต้องอพยพ  ละทิ้งถิ่นฐานขายไร่ขายนา เมื่อไม่นานมานี้ชาวพุทธร่วม ๖๐ ครอบครัวจากอ.ธารโต  และอ.บันนังสตา  ก็ต้องอพยพไปอยู่ในวัดนิโรธสังฆราม  เมืองยะลา  ชาวพุทธอพยพมากเท่าไร  ก็เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ยึดดินแดน ๓ จว.ชายแดนใต้ที่กล่าวข้างต้น ที่กล่าวมาแล้วนั้นคือยุทธวิธีทางการเมือง  เมื่อยึดอำนอำนาจทางการเมืองได้เป็นเบื้องต้น (ยึดอบต.) ก็ใช้อำนาจทางทหารขยายผล  ทำให้ยุทธศาสตร์การเมืองของโจรบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น  โจรรู้จักใช้การเมืองและการทหารให้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน  เป็นอุทาหรณ์ให้เรานำมาใช้กับการเมืองนำการทหารได้หรือไม่  ถ้าไม่เชื่อตามที่ผมพูดว่า  “ผู้นำการทหารต้องรู้จักใช้การเมืองนำการทหารอย่างพลิกแพลง เพื่อเอาชนะโจรให้สำเร็จ” จากคุณ : FloatingPoint - [ วันปีใหม่ 23:34:26 A:203.188.33.216 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อไปนี้ก็มาเรียนรู้ยุทธศาสตร์ทางการทหารและยุทธวิธีทางทหารของโจรก่อการร้าย ยุทธศาสตร์ทางทหารของโจรก่อการร้าย  เมื่อพิจารณาจากเอกสารที่ฝ่ายเรายึดได้จากบ้านครูสอนศาสนา(อุสต๊าซ)  นาย มะแซ อุเซ็ง ครูสอนศาสนาในโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.บูกิต อ. เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ ๑ พค. ๔๖  ทำให้ฝ่ายเราได้รับทราบถึงยุทธศาสตร์ ๗ ขั้นตอน วิเคราะห์ได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ทางทหารของจรก่อการร้ายและเมื่อพิจารณารวมกับเอกสารต่างๆที่ฝ่ายเรายึดได้ในเวลาต่อมา  ทำให้ทราบว่าวันปล้นค่ายทหารพัฒนาที่๔   เมื่อวันที่ ๔ มค. ๔๗ ซึ่งโจรเรียกว่าเป็นวันจุดดอกไม้ไฟนั้น  เป็นขั้นที่๖ ของยุทธศาสตร์ทางทหาร จากนั้นโจรจะจุดดอกไม้ไฟให้เป็นหย่อมๆในจว.ชายแดนใต้  แแล้วจะพัดกระพือให้หย่อมไฟเหล่านี้ลุกลามเป็นผืนไฟแดงฉานเต็มพท.ของ๓ จว.ชายแดนใต้  เพื่อก้าวไปสู่ยุทธศาสตร์ทหารขั้นที่ ๗ ซึ่งเป็นวันปฏิวัติสำเร็จประกาศเป็นรัฐเอกราชปัตตานี ยุทธวิธีทางทหารของโจรก่อการร้าย  เพื่อให้ยุทธศาสตร์ทางทหารบรรลุความมุ่งหมายในการปลดปล่อยแผ่นดินไทยภาคใต้  ให้เป็นรัฐเอกราชปัตตานี  ตามที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของโจรก่อการร้ายกำหนดไว้  โจรก่อการร้ายจึงมีการปฏิบัติการทางยุทธวิธี   ยุทธวิธีทางทหารของโจรก่อการร้ายคือ สร้างความรุนแรงโกลาหลให้เกิดขึ้นทุกโอกาสที่มีด้วยการยิง  ฆ่า ซุ่มยิง ซุ่มโจมตีด้วยการยิง   หรือซุ่มโจมตีด้วยกับระเบิดแสวงเครื่อง   วางเพลิง เผาบ้าน  หรือสถานที่ราชการ  ทำลายเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ด้วยการวางระเบิดธนาคารหลายแห่งพร้อมๆกันที่ จ.ปัตตานี มาแล้ว  และป่วนเมืองด้วยการวางระเบิดโชว์รูมกลางเมืองยะลา การปฏิบัติการที่รุนแรงตามยุทธวิธีทหารเหล่านี้  กระทบกระเทือนจิตใจของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว  และความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นครอบคลุมบรรยากาศโดยทั่วไปทั้ง๓ จว.ชายแดนใต้ ผลกระทบที่ฝ่ายเราได้รับจากการปฏิบัติการทางทหารของโจรคือ ชาวบ้านทั่วไปเกิดความท้อแท้มองไม่เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลจะเอาชนะโจรได้อย่างไร  เพราะตั้งแต่เกิดเหตุร้ายเมื่อ มค. ๒๕๔๗  ชีวิตประชาชน ทหาร ตำรวจ ตายเพิ่มขึ้นทุกปี  โดยในปี ๒๕๔๙นี้ ตำรวจเสียชีวิต ๑๗๒ นาย, ทหาร ๑๗๘ นาย, ประชาชน ๑๔๙๒ คนและทำให้เกิดปัญหาทางสังคมอีกมาก คือมีผู้หญิงหม้ายเพิ่มขึ้นกว่า ๑๐๐๐ คนเด็กกำพร้าพ่อแม่กว่า ๑๗๐๐ ราย เมื่อพิจารณาถึง “รู้เรา” วิเคราะห์ได้ว่า จากคุณ : FloatingPoint - [ วันปีใหม่ 23:35:06 A:203.188.33.216 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ๑.ฝ่ายเราคือ กำลังพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.)  “ไม่รู้เขา” หรือรู้แต่เพียงผิวเผินไม่ชัดเจน ไม่รู้ทั้งยุทธศาสตร์ยุทธวิธี  ทั้งทางการเมืองและการทหารของโจรก่อการร้ายแนวใหม่  หรือ  “การก่อการร้ายแบบไร้ผู้นำ” ๒.เมื่อไม่รู้ในข้อหนึ่งให้ชัดเจน  จึงทำให้ไม่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางการเมืองและทางการทหารเพือเอาชนะโจรได้    ฝ่ายเราจึงมีแต่การสูญเสียรายวัน   ทั้งๆที่มีกำลังพลและงบประมาณมากว่าโจรหลายเท่านัก ๓.กำลังจากทบ.ที่ส่งไปช่วยทภ.๔ นั้นไปจากภาคอื่น  ซึ่งไม่เข้าใจภาษา ศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมที่แปลกแยกของ ๓ จชต.  ทำให้มีปัญหาในทางที่จะทำให้กลมกลืนกับชาวบ้าน    ง่ายต่อการสังเกตุ  และถูกทำลาย กำลังจากภาคอื่นต้องใช้เวลาในการทำตัวให้คุ้นกับภูมิประเทศสำคัญและแผนที่รวมทั้งเส้นทางที่ใช้ประจำวันในงานธุรการ  เช่นไปเบิกเงินที่ธนาคาร  ไปจ่ายอาหารของสูทกรรม  เมื่อไม่รู้เส้นทางเกิดเหตุร้ายขึ้นก็เสียเปรียบ  สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ก่อให้เกิดความเครียด   สืบสภาพหาข้อมูลดูแล้วงานทางยุทธวิธีในเชิงรุกไม่ปรากฏชัดเจน    ส่วนใหญ่จะเป็นการป้องกันตนเองคือการรักษาฐาน กำลังส่วนนี้เมื่อเริ่มปรับตัวให้เข้ากับประชาชนได้บ้าง  ก็ใก้ลจะถึงเวลาผลัดเปลี่ยนและใก้ลเวลาจะกลับเพราะฉนั้นใน ๒-๓ เดือนท้ายๆ  จะพยายามรักษาตัวให้ปลอดภัยเพื่อกลับไปสู่ความอบอุ่นของครอบครัว   เป็นผลให้ไม่มีการปฏิบัติการทางยุทธวิธีเชิงรุก   วันที่พระวัดพรหมประสิทธฺ์ ที่อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี  ถูกฆ่าตายเมื่อ ๑๖ ตค. ๔๘ ผมได้ไปเยี่ยมวัดพรหมประสิทธิ์ ห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ ๑๐ วัน พระลูกวัดบอกว่า  ยังไม่เคยเห็นหน้าผบ.ร้อยเลย  ทั้งๆที่ฐานกองร้อยอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ๔.ความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา  ยังไม่ต้องพูดถึงหน่วยนอกทบ.(พลเรือนและตำรวจ) ลองมาดูทางทหารของเราเอง  กำลังทหารแยกออกเป็นสองกองกำลัง (กกล.) คือ กกล.ศรีสุนทร และกกล.สันติสุข  กกล.ศรีสุนทรนั้นควบคุมทหารของทภ.๔ และหน่วยทหารที่ทบ.ส่งลงไป   ส่วนกกล.สันติสุขนั้นควบคุมกำลังที่ทบ.จัดลงไปจากหน่วยรบพิเศษโดยเฉพาะ  ซึ่งจัดเป็นชุดควบคุม(ชค.) ต่างๆ๔ชุด  กระจายไปเต็มพท. แต่ละชุดก็ควบคุมชุดปฏิบัติการ (ชป.)อีกหลายชุด  ชป.เหล่านี้ก็อยู่ในพท.เดียวกันกับหน่วยเฉพาะกิจต่างๆที่ควบคุมพท.อยู่  ภารกิจของชป.ต่างๆเหล่านี้คือจัดตั้งมวลชน  ถอนแกน ตั้งแกน รวมทั้งการข่าวในพท.  กำลังที่สังกัดกกล.สันติสุขและกกล.ศรีสุนทร นั้นไม่ขึ้นแก่กัน  แม้จะอยุ่ในพท.อำเภอเดียวกันหรือใก้ลกัน   ต่างคนก็ต่างอยู่  คงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมาก  ชป.ต่างๆนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เพราะมีกำลังเพียง  ๑๒ คน ตัวอย่างของการสูญเสียของชป. ๕๓๔ ซึ่งอยู่ที่บ.บาเจาะ ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา เมื่อจัดชุดลาดตระเวณบนนถนนด้วยจยย. ๒ คัน (๔คน) ถูกซุ่มโจมตีบนถนนสาย กอลอกาเอ-เขื่อนบางลาง  ทำให้สอ. สมจิตร หล่อแสง เสียชีวิตทันที  บาดเจ็บอีก ๒ นาย  ส่วนสอ.สมจิตร ถูกตัดศรีษะไปสองวันต่อมาจึงพบศรีษะของสอ.สมจิตร   นี่เป็นบทเรียนที่ต้องซื้ดอด้วยชีวิตทหาร หน่วยทหารนั้นต้องทำงานทั้งการเมืองและการทหาร  การจัดตั้งแกน ทำลายแกน จากคุณ : FloatingPoint - [ วันปีใหม่ 23:35:44 A:203.188.33.216 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 หน่วยฉก.ต่างๆก็มีขีดความสามารถที่จะทำได้เป็นงานการเมืองที่ต้องทำคู่ไปกับการปฏิบัติการรบทางยุทธวิธี  เพราะฉะนั้นหน่วยชป.ต่างๆที่อยู่ในพท.อำเภอหรือตำบลเดียวกันกับหน่วยเฉพาะกิจต่างๆก็จะต้องขึ้นการบังคับบัญชากับหน่วยเฉพาะกิจนั้น   เพราะมีกำลังมากกว่า จึงจะเป็นข่าวกรองและนำไปใช้ทางยุทธการที่ไม่ผิดพลาด ๕.ความไม่เชื่อมือผู้บังคับบัญชา  ตั้งแต่เกิดเหตุร้ายเมื่อ ๔ มค. ๔๗ แม่ทัพภาค๔แต่เพียงผู้เดียวก็สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้หมดสิ้นตามลำพัง   ถ้าได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง  เมื่อเกิดเรื่องใหม่ๆ  ทบ.ก็ไม่ไว้วางใจตั้งนายทหารยศพลเอกลงไปเป็นที่ปรึกษาแม่ทัพ   แม่ทัพภาค๔ เลยหมดสภาพความเป็นแม่ทัพ  ผลงานไม่เข้าตานักการเมือง  เป็นเหตุให้ช่วงสามปีที่ผ่านมาแม่ทัพภาค๔ ถูกเปลี่ยนตัวไป ๕ คนแต่ละคนอยู่ในตำแหน่งเพียง ๖-๘ เดือน ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนแม่ทัพ  โจรก่อการร้ายก็ร้อง “ไชโย เราชนะแล้วเห็นไหม แม่ทัพถูกย้ายเพราะเรา(โจร)”  และอดีตแม่ทัพที่ถูกย้ายไปก็ได้รับการเลื่นยศเป็นพลเอกทุกคนเป็นรางวัลตอบแทน ๖.ไม่มีความเป็นเอกภาพในการกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีรวมทั้งการบังคับบัญชาหน่วยกำลังพตท.ที่เข้าปราบปรามโจรก่อการร้าย   นอกจากในส่วนของกองทัพบกเอง   ในการจัดกำลังเข้าประกบทำสงครามกับโจรก่อการร้ายในสงครามที่ไร้ผู้นำนี้   ส่วนราชการอื่นๆก็จัดตั้งส่วนหน้าขึ้น  เช่น มท.ส่วนหน้า, ยธ.ส่วนหน้า และศปก.ตร.ส่วนหน้า แล้วบรรดาส่วนหน้าเหล่านี้ก็ควบคุมกำลังพลเรือนในสายงานต่างๆแล้วก็รายงานตรงต่อต้นสังกัดของตน  กองทัพภาคที่๔ ส่วนหน้าก็ไม่มีความหมายอะไร  และในทางทหารเองเมื่อกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจว.ชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.)   มีพล.อ สิริชัย ธัญญสิริ รองผบ.ทบ. เป็นผอ.กอ.สสส.จชต. คนแรก มทภ.๔ และทภ.๔ สน. เป็นหน่วยใต้บังคับบัญชา  ทำให้มทภ.๔ ไม่เป็นอิสระ  ไม่สามารถปฏิบัติการใดๆตามหน้าที่ของแม่ทัพที่ควรทำ   ต้องฟังความเห็นชอบจากผอ.กอ.สสส.จชต. เป็นเหตุถผลหนึ่งที่มทภ.๔ ถูกเปลี่ยนตัวบ่อย  คณะกรรมาธิการการทหารวุฒิสภา (พล.อ. หาญ ลีนานนท์) ได้พยายามต่อสุ้เรื่องนี้เพื่อให้แม่ทัพภาค๔เป็นคนคนเดียวกันกับผอ.กอ.สสส.จชต.จนสำเร็จ การตั้งกอ.สสส.จชต. ก็เกิดปัญหาภายในที่ทำให้งานโดยเฉพาะยุทธการ  ข่าว และกิจการพลเรือนไม่ก้าวหน้า  เพราะฝ่ายอำนวยการต่างๆของทภ.๔ สน. และของกอ.สสส.จชต.ก็แยกกันทำงาน  ไม่ขึ้นแก่กัน   ทั้งๆที่ทำงานในภารกิจเดียวกัน  กำลังพลที่สังกัดใน กอ.สสส.จชต.นั้นแทบทั้งหมดมาจากทบ.  ส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารที่มีตำแหน่ง “ประจำทบ.” ฉะนั้นฝ่ายอำนวยการของกอ.สสส.จชต.จึงเป็นกำลังพลที่เพิ่งเริ่มเข้ามารับรู้สถานการณ์  ไม่คุ้นกับภูมิประเทศ  แผนที่ และประชาชน  ยากที่จะเอาชนะโจรได้ซี่งเป็นสิ่งที่หน่วยเหนือไม่ได้สำเหนียกแม้แต่น้อย   แม้แต่เมื่อมทภ.๔ เป็นคนเดียวกับผอ.กอ.สสส.จชต.  ฝ่ายอำนวยการต่างๆก็ยังคงแยกกันทำงานกัน  แทนที่จะยุบให้เป็นคนเดียวกัน   โดยให้กำลังพลของทภ.๔ สน.เป็นหลัก  และทำหน้าที่ฝ่ายอำนวยการของกอ.สสส.จชต.(สวมหมวก๒ใบ)  กำลังพลส่วนเกินที่มาจากทบ.ก็ส่งกลับทบ.จะประหยัดงบประมาณลงได้มากมาย เชื่อว่าเมื่อมีเอกภาพในการทำงาน  ฝ่ายอำนวยการของทภ.๔สน.  และกอ.สสส.จชต.เป็นคนๆเดียวกันงานส่วนรวมของทภ.๔สน. และกอ.สสส.จชต.ไม่ว่ายุทธการ, ข่าว , กิจการพลเรือน และสารสนเทศ ต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  การสูญเสียต้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากคุณ : FloatingPoint - [ วันปีใหม่ 23:36:21 A:203.188.33.216 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ๗. ความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชากำลังพลเรือน ตำรวจ และทหาร (พตท.) เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง    ในการปราบปรามการก่อการร้ายนั้น  ผู้บังคับบัญชาต่อกำลังทั้งหมด(พตท.) ที่เข้าสู่สมรภูมิหรือทำการรบกับโจรก่อการร้ายในสงครามนี้  ผู้บังคับบัญชาคือแม่ทัพภาค๔ ต้องมีเอกภาพทั้งทางความคิด และการปฏิบัติในการกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทั้งทางการเมืองและการทหารเพื่อเอาชนะโจร    การสื่อสารระหว่างแม่ทัพไปยังหน่วยกำลังพตท.ทั้งส้นต้องสั้นที่สุด   นั่นคือสั่งตรงไปถึงหน่วยพตท.ได้โดยไม่มีทำนบหรือกองบัญชาการใดๆขวางกั้นอยู่  พึงระลึกอยู่เสมอว่าการสื่อสารระหว่างแม่ทัพถึงหน่วยปฏิบัติในสนามต้องสั้นที่สุดในการสงครามนี้ ๘.ทภ.๔ สน. และกอ.สสส.จชต. ควรใช้เครื่องมือสื่อสารทุกประเภทให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้กับโจรก่อการร้าย  มีเจ้าหน้าที่และมีคุณภาพ  ให้สามารถเปิดยุทธการสารสนเทศต่อสู้กับโจรได้  ขณะนี้ฝ่ายโจรมีขีดความสามารถผลิตใบปลิวโจมตีฝ่ายเราได้เป็นครั้งคราว    แต่ฝ่ายเราไม่ได้มีการตอบโต้ใดๆที่มีประสิทธิภาพ    รายการใต้สันติสุขที่ออกรายการทางวิทยุกระจายเสียงทุกวัน  ไม่ได้ใช้ผู้จัดรายการที่มีความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์เพียงพอ   สังเกตได้จากการเฝ้าฟั บทสรุปส่งท้าย ๑. การเมืองนำการทหารนั้นต้องรู้จักใช้อย่างพลิกแพลง  เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน ๒.ทหารมีหน้าที่ทั้งการปฏิบัติการรบและปฏิบัติการทางการเมือง (การพัฒนาประเทศตามที่รธน.ทุกฉบับเขียนไว้) แต่ตราบใดที่โจรมีอำนาจทางการทหารที่เข้มเข็ง เช่นสถานการณ์ทุกวันนี้  ฝ่ายเราจะปฏิบัติการทางการเมืองด้วยวิธีการใดๆก็ไม่สำเร็จ ๓.การปล่อยให้สถานการณ์สงครามยืดเยื้อ  แนวร่วมโจรจะเพิ่มมากขึ้นชาวบ้านจะวางเฉย  เอาตัวออกห่างรัฐบาลมากขึ้น   พื้นที่ปกครองของนายอำเภอ  ผู้ว่าราชการจังหวัดจะแคบลงเล็กลงเรื่อยๆ  นี่คือสถานการณ์ทีนำไปสู่การปฏิวัติเป็นรัฐเอกราชปัตตานี จากคุณ : FloatingPoint - [ วันปีใหม่ 23:36:56 A:203.188.33.216 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ ที่เขียนบทความดีๆแบบนี้มาให้อ่าน ผมว่านโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ผมขอถามหน่อยนะครับ 1. เราจะไม่สามารถใช้วิธีเด็ดขาดได้เลยใช่มั้ยในการแก้ปัญหา คือยังไง เราก็ต้องใช้วิธีอ่อนนุ่ม โดยการมวลชนสัมพันธ์ ซื้อใจแขกไปเรื่อยๆ จนกว่าเค้าจะเห็นความดีความงามของเรา จนให้ความร่วมมือ ... หากโจรมันใช้วิธีรุนแรง ข่มขู่ประชาชนให้ร่วมมือกับมันได้ ทำไมเราถึงใช้วิธีรุนแรงกลับไปการฆ่าพวกมัน ให้เห็นว่า ทหารไทยเข้มแข็ง สามารถปกป้องประชาชนได้เหมือนกัน 2. ว่าไปแล้วนะครับ แขกก็คือแขกครับ ซื้อใจเค้ายาก ขนาดทางพระราชสำนักเอง ก็มาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ให้ความรักความเอาใจใส่ พวกนี้มันก็ไม่เห็นคุณค่า.. ผมไม่แน่ใจว่า พวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นคนไทยอีกหรือไม่.. หากใช้วิธีซื้อใจกันแล้วผมว่าปัญหามันก็ไม่จบง่ายๆ เดี๋ยวก็ต้องมีระลอกใหม่มาอีกเรื่อยๆ ... สมัยแม่ผมอยู่แถวนั้น เล่าว่า มีอยู่ปีนึง มีแขกเดินประท้วงทั่วเมือง กะจะยึดเมืองให้ได้  จนรัฐบาลต้องเอารถถังมาวิ่งในเมือง มาขู่ให้หยุด อีก 20-30 ปีต่อมา มันก็เอาอีกแล้ว... 3. ถ้าบิ๊กบัง กับอารีย์อยู่ สถานการณ์มีแต่จะเลวร้ายลง หรือย่ำกับที่ ผมถือว่า แขกไม่ทำแขกด้วยกันเอง.. 4.เป็นไปได้มั้ยครับ ที่ภาครัฐจะหยุดพัฒนาพื้นที่นี้ไปเลย... มันอยากจะเผาโรงเรียนก็ให้มันเผาไป ไม่ต้องสร้างใหม่ ระเบิดสะพานทิ้งก็ช่างมัน... ปล่อยให้มันว่ายน้ำข้ามคลองเอา เผาตู้โทรศัพท์ ฆ่าครู ฆ่าพยาบาล ก็ให้มันทำ เราแค่ปกป้องส่วนที่เป็นเมืองของคนไทยพุทธก็พอ ปล่อยให้พื้นที่ของมัน ลำบากยากเข็ญ ไม่ต้องส่งไฟฟ้า ไม่ต้องส่งน้ำประปา ไม่ต้องมีโรงพยาบาลฯลฯ เอาให้พวกเค้าลำบากอย่างถึงที่สุด แล้วอาจจะกลับใจมาเห็นคุณค่าของรัฐบาลไทยก็ได้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับบทความนี้ครับ ปล.ช่วยฟันธงหน่อยได้มั้ยครับ ว่าสถานการณ์แบบนี้ มันจะดีขึ้น หรือเลวร้ายสุดๆจนแบ่งแยกได้ครับ จากคุณ : ไอ้บ้านนอก - [ 2 ม.ค. 50 00:50:59 A:61.91.167.182 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ได้ความรู้ที่ลึกซึ้งมากเลยคะ แล้วทำไมนายกฯสุรยุทธไม่รู้ยุทธศาสตร์นี้ หรือว่ารู้ ถึงต้องไปขอโทษเขา อยากทราบว่าการไปขอโทษผู้ก่อการภาคใต้ มีผลทำให้ยุทธศาสตร๋ของผู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนต่างจากเดิมหรือไม่ วานท่าน จขกท.ช่วยแนะนำหน่อยคะ จากคุณ : คุณหนูเอง - [ 2 ม.ค. 50 00:51:26 A:203.188.3.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณครับ ได้ความรู้ เปิดหูเปิดตา เปิดสมอง จากคุณ : มังกรพิษลึก - [ 2 ม.ค. 50 09:01:41 A:80.242.237.78 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบพระคุณจขกท. ค่ะ อ่านบทความของจขกท. แล้วรู้สึกว่าได้รับความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นบทความที่น่าอ่านมาก ตรงประเด็น เป็นกลาง มีมีการเสียดสีใคร จากคุณ : Ms. Kim - [ 2 ม.ค. 50 12:01:10 A:203.154.82.140 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 อยากทราบเหมือนกันว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาและชุดปัจจุบัน ประเมินสถานการณ์โดยพิจารณาจากอะไร ถึงใช้แนวทางสมานฉันท์เพื่อหวังยุติปัญหา ในเมื่อความรุนแรงมันมากขึ้นทุกวันๆ และจากที่ถามใจคนไทยในแวดวงเพื่อนฝูง/คนรู้จัก  ตีว่ากว่า 80% อยากให้ใช้วิธีปราบปรามมากกว่าประณีประนอม  คือต้องรุกบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาดักฆ่าเราฝ่ายเดียว   เห็นด้วยกับ จขกท.ที่มีนัยว่า  ยุทธศาสตร์การตอบโต้/แก้ปัญหาที่ผ่านมาของภาครัฐ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่เห็นว่าภาครัฐจะปกป้องคุ้มครองอะไรได้ จากคุณ : แมวโต๋เต๋ - [ 3 ม.ค. 50 04:21:05 A:81.244.228.202 X: ]