เครดิตประเทศไทยย่อยยับ ต่างชาติหมดความเชื่อถือ ตกต่ำย่ำแย่ยิ่งกว่ายุค tyrant ฆ่าประชาชน หลังโดนพิษมาตรการเด็กเลี้ยงแกะ ต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องยากที่จะกลับมาลงทุนเหมือนเดิม ระบุเหมือนประเทศคอมมิวนิสต์นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่คิดหน้าคิดหลัง คนออกมาตรการเหมือนตัวตลก สร้างมุกฮาระดับโลก เปลี่ยนมาตรการชั่วข้ามคืน ผู้เสียหายเรียกร้องเอาเรื่อง "อุ๋ย-ธาริษา" ให้สมความผิด เผยทหารก็จะเอาเรื่องด้วยเจ๊งหุ้นเหมือนกัน แถมทำให้แถลงผลงาน 3 เดือนหลังปฏิวัติไม่มีใครสนใจ
จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยการหักเงินสำรอง 30% ของเงินที่นำเข้ามาลงทุน และจะคืนให้เพียง 20% หากลงทุนไม่ครบ 1 ปี ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาลให้กับตลาดหุ้น ที่ต้องสูญเสียมูลค่าราคาไปเป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านล้านบาทภายในวันเดียว และส่งผลกระทบไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลก จนในที่สุด ธปท.ได้มีการแก้ไขมาตรการให้ไม่มีผลบังคับใช้กับตลาดหุ้น แต่ตลาดหุ้นก็ยังเสียหายอยู่ดีจนมีการเรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนในการออกมาตรการดังกล่าวลาออกจากตำแหน่ง
แหล่งข่าวนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดทุนระดับโลก เปิดเผยกับ "ดอกเบี้ยธุกิจ" ถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวต่างชาติทั่วโลกมองประเทศไทยในสายตาที่แย่มาก เพราะแค่เพียงเกิดการปฏิวัติในประเทศก็แย่พออยู่แล้ว เมื่อมีมาตรการนี้ออกมาทำให้ต่างชาติยิ่งมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการที่คิดจะทำอะไรก็ได้ นึกอยากออกมาตรการก็ออก นึกอยากจะแก้ก็แก้ เหมือนเด็กเล่นขายของ ทำให้ต่างชาติเกิดความกลัว เกิดความไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และที่เข้ามาลงทุนแล้วก็ขอถอยออกไปตั้งหลักก่อน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรการแบบวันต่อวันเช่นนี้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า
"นักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชนทั่วโลก ต่างรุมประณามประเทศไทย ซึ่งเขามองในภาพรวมของประเทศ เป็นประเทศที่ไร้หลักการ เขาไม่ได้มองหรอกว่าแท้จริงแล้วแค่เพียงคนไม่กี่คนที่ทำพัง เขาเหมารวมว่าเป็นประเทศไทยทั้งหมดเลย ในสายตาของต่างชาติตอนนี้ประเทศไทยตกต่ำมาก ความน่าเชื่อถือของประเทศย่ำแย่ยิ่งหว่ายุคเผด็จการที่มีการเข่นฆ่าประชาชนเสียอีก" แหล่งข่าวกล่าว และชยายมุมมองของต่างชาติต่อไปอีกว่า
มาตรการที่ออกมา นับเป็นครั้งแรกที่ไทยใช้มาตรการรุนแรงเช่นนี้ในการควบคุมการไหลเข้าออกของเงิน (Capital Control) แต่พอใช้แล้วทำให้ประเทศไทยดูเหมือนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปในทันที เพราะประเทศที่เปิดเสรีด้านการค้าการลงทุนไม่มีใครเขาทำกัน ขณะที่บางมุมมองที่ต่างชาติมีต่อตัวผู้ออกมาตรการอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯและรมว.คลัง รวมทั้ง ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. ในฐานะผู้กำหนดมาตรการ เป็นมุมมองที่หมดความนับถือ หมดความน่าเชื่อถือแล้วโดยสิ้นเชิง
"ต่างชาติเขามองคาแรกเตอร์ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นพวก Aggressive บุ่มบ่าม มุทะลุ ไม่ยอมฟังใคร ตีค่าตนเองเก่งคนเดียว ถึงได้ออกมาตรการนี้ จนเมื่อเห็นผลร้ายแล้วค่อยมาแก้ แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด ส่วนการมอง ดร.ธาริษา เป็นพวกอ่อนหัด ยิ่งไปพูดถึงว่าประเทศชิลีเคยใช้มาตรการนี้มาแล้ว ยิ่งทำให้เห็๋นว่าไร้เดียงสา เพราะตลาดหุ้นชิลีแทบไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนชาติอื่น ซึ่งการที่ ดร.ธาริษา เห็นด้วยที่จะใช้มาตรการนี้ คงเนื่องมาจากเรียนจบจากญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นเคยใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว แต่ในกรณีของญี่ปุ่นเขายอมให้ประเทศ Zero growth เพราะเขาไม่ต้องการเงินทุนจากต่างประเทศ เหตุจากเขาเองก็มีเงินทุนมากพออยู่แล้ว แตกต่างจากประเทศไทยที่ต้องอาศัยเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการพัฒนา"
แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากความตึงเครียดจากสถานการณ์ราคาหุ้นตกเป็นโดมิโนไปทั่วโลกแล้ว เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ในอีกด้านหนึ่งต่างชาติยังมองเป็นเรื่องโจ๊กระดับโลก หรือ Big Joke of the World เพราะมาตรการแบบชักเข้าชักออกแบบนี้คนดี ๆ มีสติปัญญาเขาไม่ทำกัน ในประเทศอื่น ๆ การจะออกมาตรการอะไรสักอย่างต้องมีการวางแผน วัดค่า หาผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบรัดกุม แต่ของไทยคนที่ออกมาตรการคงระดับสติปัญญาไม่ถึง มือไม่ถึง สื่อความหมายถึงการเป็นเด็กอมมือ ทำให้คนทั้งโลกเขาหัวเราะเยาะกัน
อีกทั้ง กรณีที่หุ้นตกลงมาถึง 140 จุด แต่ช่วงก่อนปิดตลาดดีดกลับขึ้นไปปิดที่ 108 จุด เพราะมีคนช้อนซื้อ ทำให้ต่างชาติที่ไม่รู้ข้อมูลและเทขายหุ้นเกิดความสงสัย เกิดข้อครหาว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ของไทยอินไซด์ข้อมูล หรือผู้ออกมาตรการและกำลังจะมรการแก้ไขมาตรการเองได้มีการส่งสัญญาณให้พรรคพวกเพื่อนฝูงเข้าช้อนซื้อหรือไม่
ทั้งนี้ กรณีนี้ก็สร้างความสงสัยให้กับคณะทหารที่ทำการปฏิวัติ หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เนื่องจากในวันเดียวกันจะมีการแถลงผลงานครบรอบ 3 เดือนหลังการปฏิวัติ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน ด้วยมัวไปสนใจภาวะตลาดหุ้น ทำให้คมช.เหมือนกับเสียหน้า รวมทั้งเมื่อเกิดการช้อนซื้อหุ้น คมช.ก็ต้องการรู้ด้วยว่าใครเป็นไอ้โม่งที่คอยส่งข่าวให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นได้
"ด้านทหารเขากำลังเริ่มไล่ตรวจสอบ ทั้งในกรณีที่คนในรัฐบาลทำอะไรกัน ทำไมถึงทำให้มูลค่าราคาในตลาดหุ้นหายไปเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพราะราคาหุ้นที่หดตัวลง ไม่ใช่แค่ระดับชาวบ้านที่ขาดทุน กองทุนต่าง ๆ ที่ลงทุนในหุ้นก็ขาดทุน ทหารหลายคนที่เช้าไปเล่นหุ้นก็ขาดทุนเหมือนกัน แถมยิ่งเจ็บใจเมื่อมีการส่งซิกให้มีคนเข้าไปช้อนซื้อ คนอย่าง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และ ดร.ธาริษา ไม่มีใครเขาเชื่อถืออีกแล้ว และต้องการให้เอา 2 คนนี้มาลงโทษเพื่อชดเชยความผิด ขณะที่ทางทหารเองก็กำลังไล่เช็กบิลตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังว่าใครเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากนี้สถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ยิ่งถูกทำให้ย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อมีคนของ ธปท. ออกมาเยาะเย้ยถากถางคนเล่นหุ้นว่าแค่หมาเห่าก็ขายหุ้น อีกทั้งกล่าวว่า มาตรการของ ธปท. เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว และภายหลังการใช้มาตรการ ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปที่ระดับ 37-38 บาท ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออก เพราะถือหุ้นต่อเท่ากับขาดทุนค่าเงิน จึงขายเพื่อหันไปถือเงินดอลล่าร์รอเอากำไรจากที่คน ธปท. บอกว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลง
Credit :: นสพ.ดอกเบี้ยธุรกิจ2007 ฉบับประจำวันที่ 1-7 มกราคม 2550
---------------------------------------------------------------------------
ไปเจอข่าวนี้มา เลยพิมพ์มาให้อ่านกัน อ่านนสพ.ฉบับนี้ยังกะอ่าน"ราชดำเนิน" ไม่รู้คนเขียนข่าวท่องอยู่ในนี้รึเปล่า ข่าวอื่น ๆ ก็สับรัฐบาลเถื่อนซะเละเหมือนกัน
เดี๋ยวจะลองอ่านฉบับถัดไป ต้องมีเรื่องระเบิดเมืองกรุงแน่ ท่าทางจะมันส์มิใช่น้อย
จากคุณ :
:: AdvanceTactics :: 
- [
6 ม.ค. 50 18:02:05
A:192.168.0.159 X:203.156.50.186
]
.::: ฝรั่งกลัว 'เผด็จการ..ทำอะไรก็ได้' สลด!เมืองไทยเครดิตพังยับ กลายเป็นตัวตลกบนเวทีโลก :::.
