รักลึก สงครามข่าว และจุดอ่อนนักข่าว

มันเริ่มต้นมานานแล้วแล้ว  “รักลึกนี้”ที่ท่านกำลังเป็นทหารคนสำคัญ แต่นโยบายซื้ออาวุธทำเอากองทัพสั่นสำเทือนด้วนการเน้นไปที่ซื้อของเก่าราคาถูก แต่อายุการใช้งานสั้นและค่าซ่อมบำรุงสูง มาให้กองทัพ และกระแส การกิน “คอมมิชั่น” ของท่าน และนโยบายทหารร้อยแปดที่ทำให้ทหารมืออาชีพต้องปวดหัว ข่าวลือคือท่านอาจจะถูกเขี่ยออก การเมืองตอนนั้นกำลังร้อนแรง



อย่างนี้มันก็ต้องหา “คนแรงๆมาคุ้มหัวและทำพีอาร์ให้” คนนั้นก็คือกานจนา แห่งโพส ที่สามีชาวอังกฤษเป็นเจ้าของบริษัทพีอาร์ระดับโลก และมีบริษัทอีกนับสิบโยงใยไปทั่ว โดยเฉพาะบริษัทหางานที่เอาคน “เก่งๆระดับด๊อกเตอร์และหัวกระทิ” ไปนั่งประจำตำแหน่งสำคัญทั่วไทย ว่ากันว่าเส้นสายนั้น “หยั่งลึกมาก” รวมไปถึงนิติยสารระดับ ไฮโซ หลายเล่ม



ปัญหาของทักษิณคือเธอ “เกลียดทักษิณเข้าใส้” แล้วเธอก็ใช้โพสอัดทักษิณมาเป็นปีๆ แต่สำหรบสรยุทแล้ว นานมาแล้วที่แม่มดพีอาร์แห่งโพส เข้ามาปกป้อง โดยใช้บริษัทพีอาร์ โพส และเส้นสายทางสังคมไฮโซ กลบข่าวฉาวทุกอย่าง และสร้างภาพสุกยอดขึ้นมา ถึงขานด “แม่มดพีอาร์ที่สังคมมองว่าเป็นนักประชาธิปไตยแนวหน้าของไทย”และกัดยับนโยบายต่อออก ซาน ซูจี ของเอเซี่ยน ยังกล้าลืมว่าสรยุทเป็นคนบุกโรงแรมแถวอนุสาวรีประชาธิปไตย เข้าไปกระทืบหมดและคนเจ็บ แต่ภาพพจณ์ใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่าง “ยอดเยี่ยม”

สงครามการข่าวและการพีอาร์

ฟังกันมามากนะครับเรื่องเงินทักษิณ ว่าถ้ามีเงินอยู่เมืองนอกมากมาย ทำไมต้องให้พจมานแบกหน้ามาของเบิกสิบล้านของตัวเอง จากคณะปฏิวัติ เพื่อเอาไปใช้จ่ายในต่างประเทศ ว่าเอาการขนเงินเข้าออกประเทศโน้นนี้ มันมีร่องรอยให้ตรวจสอบมากมาย ว่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ผ่านกองทุน มันมีร่องรอยเต็มไปหมดถึงกับรู้กันได้เลยว่ากองทุนไหนทำอะไร ฉะนั้นง่ายมากถ้าจะตรวจว่าทักษิณ เล่นหุ้นไทยอยู่หรือไม่  ว่าทักษิณนั้นหลุดจากแวดวงข่าวสารลึกๆของคณะปฏิวัติไปแล้ว ฉะนั้นจะรู้ก่อนและเตรียมตัว ลุยตลาดหุ้นได้ไง  ว่าต่างชาติตอนนี้ก้เหมือนคนไทย คือหันมาจับขั้วกับคณะปฏิวัติเพื่อทำธุรกิจในไทย จนเส้นสายทักษิณทิ้งห่างทักษิณกันมากแล้ว จนจะขอเงินยืมเงินเหยียบแสนล้าน มาปั่นหุ้นไทยนั้นยากพอดู แล้วคนจะถูกยึดทรัพย์ กู้เงินง่ายที่ไหน แล้วความจริงคือหุ้นไทยมันจมเพราะขายกันแหลกจากทุกคน

คือมันมีอยู่วันหนึ่ง หนังสือพิมพ์เริ่มใจร้อน ว่าทำไมขนาดองค์กรที่ถูกอัดเข้าไปด้วยคนเกลียดทักษิณเพื่อจับผิดทักษิณเรื่องโกงกิน ถึงทำงานล้าช้าเหลือเกิน คงพอจำกันได้นะครับว่าช่วงไหน กานจนา เลยได้ไอเดียปิ้งขึ้นมา เป็นงานพีอาร์ระดับพระกาฬและระดับเซียนเหยียบเมฆนะครับ แล้วไปคุยกับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ออกข่าวออกมาว่าทักษิณกำลังขนสมบัตรหนี แล้วก็บอกด้วยว่าทักษิณขนกระเป๋าออกนอกประเทศห้าสิบใบ ครั้งที่ไปสหรัฐเพื่อพูดในยูเอ็น ก็เพื่อตอกย้ำความเป็นไปได้และกระตุ้นอารมณ์คนให้คร้อยตามด้วยความจริงที่ว่าทักษิณขนกระเป๋าออกไปมากจริงๆ  


ก็แตกตื่นไปทั่วเมืองเลยนะครับ เพราะกะจะยึดทรัพย์ทักษิณกัน แล้วตามแผนคือสำนักข่าวแห่งนั้นพาพลพรรคนักข่าววิ่งไปถามธนาคารกัน ว่าความจริงคืออะไร นี่จะปล่อยทักษิณให้ขนเงินหนีไปเลยหรือ ธนาคารก็บอกว่าเงินของทักษิณยังอยู่ในไทยทุกบาททุกสตางค์ ไม่ต้องห่วง ขนาดพจมานจะเอาเงินสิบล้านยังต้องมาขอคณะปฏิวัติเลย เรียกว่าไม่ต้องกลัว เงินจากสิงค์โปร์ทุกบาทยังอยู่ในไทย หลังจากนั่นกระแส “ใจร้อน” ว่าทำไม “ช้าจัง” ก็หายไป ในวงการนักข่าวเขาเรียกยุธการอย่างนี้ว่า “ดับกระแส” หลังเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ ก็จัดฉาก เอาคนเกลียดทักษิณที่ทำงานตรวจสอบทักษิณช้า ออกข่าวเช้าสายบ่ายเย็น ว่า “การเอาผิดทักษิณต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบเพราะเราต้องทำตามกฎหมาย จะมารีบเร่งไม่ได้ “ กระแสนั้นเลยดับไปเลยนะครับ สรุปคือคนไทยมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เงินของทักษิณ ยังอยู่ในไทย พร้อมยึดได้ทันที ส่วนกระเป๋า กลายเป็นว่าห้าสิบใบนั้น เป็นของคนกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่ของทักิณคนเดียว แต่ข่าวนี้ก็ออกมาหลัง “กระแสหลักผ่านพ้นไปแล้ว แล้วได้ทำหน้าที่ของมันเรียบร้อย”


แล้วเวลาก็ผ่านไป แต่มีอยู่วัน กานจนาได้รับโทรศัพท์จากธนาคาร เรื่องคือหุ้นตกไปมากมายด้วยมาตรการสุดๆของธนาคาร ที่ก็ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลเรียบร้อยไปแล้ว กานจนาก็บอกอย่างนี้มันแก้ง่าย ขอเข้าห้องน้ำฉี่ก่อนนะ แล้วมาตรการพีอาร์ระดับเซียนเหยียบเมฆก็ถูกครอดออกมาอีกอัน “โยงไปทักษิณว่าทักษิณและพวกเป็นคนปั่นตลาด” สำนักข่าวที่ใช้มาครั้งที่แล้ว ออกข่าวพาดหัวทันที ว่าทักษิณอยู่เบื้องหลัง ปัญหามันคือเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่แล้วยังพึ่งบอกกันไปเองว่าเงินทักษิณอยู่ในไทย มาตอนนี้บอกว่าทักษิณใช้เงินเป็นหมื่นๆล้านที่มีในต่างประเทศปั่นตลาด  “วงในคือธนาคาร” กังวลมากว่าคนจะจับผิดตรงนี้ได้ แต่กานจนาบอกธนาคารไปว่า “ไม่ต้องกลัวหนูคุมนักข่าวไว้เรียบร้อย จะไม่มีใครยกประเด็นนี้ขึ้นมาถามในการแถลงข่าวของทุกคน”


แล้วทักษิณก็ถูกด่าโดยนักข่าวกระจุยว่าอยู่เบื้องหลัง ทุกคนแทบไม่สนใจอีกแล้ว ว่ามาตรการทำหุ้นพังแปดแสนล้านนั้นมาจากไหน

นักข่าวไทย

ความผิดพลาด “อันยิ่งใหญ่ระดับล้มรัฐบาล”

มีเรื่อระดับล้มรัฐบาลได้สองสามเรื่องนะครับ เรื่องแรกคือการที่คณะปฏิวัติ ออกมาตรการมา “จำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อ” หลายครั้งหลายหน เช่นสั่งให้ช่องห้า ไม่ออกข่าวชวลิตอีก คือถ้าจำกันได้ สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย “ด่า” ทักษิณว่าคุกคามสื่อ รุนแรงมากหลายครั้งนะครับ เพียงเพราะทักษิณออกมาด่าว่าสื่อเอนเอียง  นี่คณะปฏิวัติไปไกลกว่าทักษิณมาก แต่สมาคมนักข่าวไม่ด่าเลย


เรื่องที่สองก็แปดแสนล้านนะครับ ที่ถ้าเป็นทักษิณ รัฐบาลคงจะล้มไปแล้ว เพราะเสียหามมากเหลือเกิน แต่สำนักข่าวหลายสำนัก ไม่ด่าเลย  แถมสร้างข่าวขึ้นมา ว่าทักษิณรอยู่เบื้องหลัง คือคนตัดสินใจออกมาตรการมาใช้จริงๆไม่ด่า กลับมาด่าทักษิณว่าหาประโยชน์จากมาตรการของตัวเอง สุดท้ายก็เรื่องระเบิดนะครับ ที่รู้ล่วงหน้า แต่ไม่เตือนประชาชนเลย ผิดพลาดขนาดนี้ คนตายและบาดเจ็บ เป็นทักษิณ รัฐบาลถูกด่าจนพับไปแล้ว คือจำได้ไหมครับเรื่องไข้หวัดนก ที่ด่ารัฐบาลกันแหลก ว่ารู้มาก่อน แต่ไม่บอกใคร คือถูกด่ายับเลยครับ คือนี่มันใหญ่กว่าไข้หวัดนกเป็นสิบๆเท่า แต่ไม่ด่ากันเลย


งบลับ การข่มขู่ และผลประโยชน์ระดับ “พระกาฬ”

ท่านผู้อ่านอาจจะไม่ทราบถึง “วงใน” ของสื่อนะครับ ว่าสกปรกขนาดไหน เอาเป็นว่าข่าวนักการเมืองพรรคปชปซื้อวอลโว่สามล้านให้นักข่าวโพสนั้น เป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผ่ลออกมาให้เห็นเท่านั้นนะครับ ความจริงคือนักข่าว “ถูกซื้อตัว” กันทั่วไปหมด ส่วนสำนักข่าวก็ทราบกันดีว่าเป็น “ธุรกิจการเมือง” ขนาดไหน  เพื่อนๆเมื่อคืนก้บอกผมกันตรงๆเลยว่า “เงิน” มันกระจายไปทั่ววงการสื่อหลังปฏิวัติ รวมไปถึงการตกลงทางธุรกิจใหญ่ๆ ท่านผู้อ่านก็คงเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงบ้างนะครับ และสุดท้าย นักข่าวนอกคอกก็ “ถูกเรียกตัว” ไปพบและถูกสั่งและขู่ว่าไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง


ยอมรับ “ถือหางผิดและเดินผิดทาง” ไม่ได้

เรื่องเงินนั้นในวงการสื่อเขาถือว่าปรกติ แต่ท่านอาจจะไม่ทราบ ว่าคนในวงการสื่อนั้นเขา “รักษาหน้ากันสุดชีวิต” คือแทบไม่ยอมขอโทษใครเลย ไม่ว่าจะลงข่าวผิดขนาดไหน คือนักข่าวนั้น “อีโก้สูงส่งมาก” มันเป็นธรรมชาติของนักข่าวนะครับ เมื่อคืนก้พูดกันเรื่องนี้ หลายคนบอกว่า “เงินที่ได้มานะมันซื้อเวลา แต่ไม่ได้ซื้อใจ” หมายความว่าถ้าคณะปฏิวัติขืน “เฮ็งซวย” บ่อยๆ อำนาจเงินมันก็หมดความหมายได้เหมือนกัน คือถ้าไม่อัดฉีกมาอีก ก็กัดยับแน่ แต่ก็หัวเราะกันนะครับ เพราะผมถามเพื่อนที่ผู้จัดการว่า “อย่างลื้อนะหรือจะเลิกถือหางคณะปฏิวัติ ต่อให้ทหารฆ่าประชาชนที่มาประท้วงสักสิบคน ลื้อก็จะหาทางโยงไปด่าทักษิณอยู่ดี” ก็เพื่อนๆคุยกันนะครับ แต่ประเด็นคือสาเหตุที่ไม่ด่าคระปฏิวัติกัน เพราะการเมืองมันร้อนแรงจนต้องถือหางกัน และพอบวกกับนิสัยไม่ชอบรับว่าตัวเองมองอะไรผิด แล้วเงินอีก เรื่องแบบรู้ล่วงหน้าแต่ไม่เตือนใคร มันถึงไม่เป็นข่าวเลยครับ


ยัง “แสลง” กับทักษิณ

ถ้าจะให้บอกว่ามีอะไรในนักข่าวไหมที่ “ไกล้เคียงความบริษุทธิ” ที่สุด ที่ทำให้ไม่ด่าคณะปฏิวัติ คำตอบก็คือยังเกลียดทักษิณเข้าใส้นะครับ ประเด็นนี้มันตรงกันทุกคนนอกจากผมเท่านั้นครับ คือผมชอบทักษิณ แต่ผมก็ถามเพื่อนตรงๆเลยว่า “ถามลื้อตรงเลยนะ เอ็งด่าทักษิณเพราะเขาเลวในตาลื้อแต่มันก็หน้าที่ลื้อที่จะเป็นหมาเฝ้าบ้าน ลื้อคิดว่าการปล่อยคณะปฏิวัติไปเฉยไม่ตรวจสอบ มันดีต่อชาติและคณะปฏิวัติเองหรือ” คือตอนปฏิวัตินี่ มันเป็นช่วงที่ไม่มีการตรวจสอบเลย จากภาคไหนก็ตาม ถ้าสื่อไม่ทำหน้าที่นี้ตอนนี้ แล้วจะทำตอนไหน เพื่อนๆก็อื้งกันไปนะครับ แต่เพื่อนที่ผู้จัดการก้อัดกลับมาว่า “ด่าคณะปฏิวัติเท่ากับสนับสนุนทักษิณ” นี่ก็เป็นปรัชญาของนักข่าวมากมายนะครับที่ว่าทำไมไม่ด่าคณะปฏิวัติ คือ “กลัวทักษิณกลับมา” ผมไม่ได้ต่อด้วยเรื่อผิดจรรญาบรรรณนักข่าวที่ต้องเป็นกลางและเสนอความจริง เพราะผมก็ผู้ใหญ่พอที่จะรู้ว่า ในโลกของความเป็นจริง คนก็คือคน ดีบ้างเลวบ้าง ผสมกันไป นักข่าวก้เหมือนกัน


ยังไม่หมด “ความหวัง” กับรัฐบาลคณะปฏิวัติ "และภารกิจใหญ่"

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ว่าทำไมนักข่าวไม่ตรวจสอบคณะปฏิวัติ เพื่อที่โพสพูดไว้ดีมาก “อั้วยังไม่หมดหวังกับคณะปฏิวัติหวะ ไปด่ามากๆเขาหมดโอกาสแน่ ส่วนห้าเหลี่ยมมันเก่งหวะ ด่าขนาดไหนก็รอกหมด” ผมก็ว่าจริงนะครับ กระแสแรงมากตอนนี้คือสื่อออกมา “อุ้มชูดูแล” คณะปฏิวัติกันอยู่เพื่อ "ให้มันมั่นคงระหว่างร่างฉบับใหม่ออกมา" ผมก็ย้อนถามเพื่อนที่โพสนะครับ ว่าแล้วการที่คณะปฏิวัติออกมา “จองล้างจองผหลาญทักษิณแบบนี้ เรื่องไม่จบแน่นะ ความม่สมานฉันท์แบบนี้ มันทำให้คนออกมาระเบิดเมืองไปแล้วนะ” คือยังสนับสนุนดูแลเลี้ยงดุเอ็นดู คณะปฏิวัติอยู่ได้อย่างไร เพื่อนที่โพสก็บอกว่า “มันดีกว่าทักษิณกลับมาก็แล้วกัน ที่เราคิดว่าสนธิผิดที่สุด คือปล่อยทักษิณให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง”

หัวหน้าสนับสนุน “ปชปอยู่”

อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านผู้อ่านอาจจะไม่ทราบ แต่นักข่าวส่วนมาก “ชื่นชม” พรรคปชปนะครับ โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง เพราะปชปนั้น “ตรวจสอบเก่ง พูดเก่ง ทำประชาสำพันธ์เก่ง” คือปชปนั้นเหมือนนิสัยนักข่าวไม่มีผิด คือเก่งตอดจิก ถามเป็นชุด ขุดหลุมพราง ปิดทางหนี อะไรแบบนั้นนะครับ คือธรรมชาติปชปกับนักข่าวนั้นใกล้เคียงกันมาก ก้เป็นอีกสาเหตุหลักนะครับที่ทำไมเขาไม่ด่าคณะปฏิวัติ เพราะเก็งกันว่าคณะปฏิวัติกำลังมองการผ่องถ่ายอำนาจ และหาคนคุ้มครองหลังหมดอำนาจ ก็กับพรรคปชปนี่เอง คือหัวหน้าข่าวส่วนมากรักปชปเป็นชีวิตจิตใจและก็สนับสนุนอภืสิทธให้เป็นนายกคนต่อไปนะครับ
ผมก็ขอจบเรื่องนี้โดยการบอกว่า “ระวังสื่อไว้ให้ดี”

ทวีวุฒิ จุลวัจนะ
อดีตนักข่าวผู้จัดการสายธนาคารแห่งประเทศไทย  อดีตนักข่าวบางกอกโพส อดีตคอลั่มนิสกรุงเทพธุรกิจสายความมั่นคง อดีตหัวหน้ากองบกบิเนสเดย์