โดย แซมสัน ณ บางไซ
หลังการเข้ายึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยโดยเผด็จการทหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 ประชาชนมีความคิดเห็นหลากหลาย มีผู้แสดงความยินดีนำดอกไม้ไปให้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่ยังมองโลกในแง่ดีว่า ลองให้เวลาเขาบริหารประเทศสักระยะหนึ่งก่อน บางคนบอกว่าใหนๆ ก็ทำไปแล้ว ควรยอมรับเพื่อความ "สมานฉันท์" ความคิดเหล่านี้ฟังดูดี แต่ความจริงแล้วหลงประเด็นทั้งหมด
สามเดือนผ่านมา เสียงสนับสนุน คมช และรัฐบาลที่มาโดยไม่ชอบธรรม เริ่มจางหาย เนื่องด้วยความไม่เอาถ่านของรัฐบาลขิงแก่ ที่กำลังกลายเป็นขิงเน่า ไม่สามารถแสดงผลงานเข้าตาประชาชนแต่อย่างใด มีแต่:-)ไปวันๆ สลับกับกล่าวร้ายรัฐบาลเก่า แต่กลับยังเอานโยบายเก่ามาเปลี่ยนชื่อแล้วทำต่อ ปัญหาทางภาคใต้รุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะกราบก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว ปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวก็แก้ไม่เป็น ราคายาง ราคาข้าวตกต่ำ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วม รอจนน้ำแห้งหมดความช่วยเหลือก็ยังไม่มา จนกระทั่งภัยพิบัติใหม่อากาศหนาวมาเยือน รัฐบาลกลับใช้งบซื้อเทอร์โมมิเตอร์แจกชาวบ้านแทนผ้าห่ม
ท้ายสุดสงสัยปลงตกว่าสร้างผลงานทางบด้านบวกไม่ขึ้น ก็เลยสวนทางด้วยการพังตลาดหลักทรัพย์เสียเลย วันเดียวเสียหายแปดแสนล้านบาท สัปดาห์ต่อมาเกิดระเบิดปริศนาขึ้นหลายจุดในกรุงเทพ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกินสามสิบชีวิต ผู้คนในเมืองหลวงมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว ดัชนีตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง
สรุปได้ง่ายๆ คือ ทุกวินาทีที่เผด็จการครองอำนาจ มีแต่ความฉิบหาย และอย่าไปหวังเรื่องความรับผิดชอบ เพราะพวกนี้มิได้มาจากเสียงประชาชน แต่เป็นพวกบ้าอำนาจ กลุ่มศักดินา และคนแก่หลงตัวเอง หลงยุค ที่ผ่านมาประเทศเราได้เจริญก้าวหน้าจนเป็นหนึ่งในภูมิภาค แต่วันนี้เราถอยหลังไปไม่รู้กี่สิบปี ต่างชาติหมดความเชื่อมั่นที่จะลงทุน คนไทยทุกคนจะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้ที่ไม่ยอมรับเผด็จการมักจะถูกกล่าวหาว่าเป็น คลื่นใต้น้ำ กลุ่มอำนาจเก่า หรือได้รับเงินสนับสนุนในการดำเนินการ หรือกระทั่งเป็นคอมมิวนิสต์ ล้วนเป็นข้อกล่าวหาโง่ๆ ที่เผด็จการคิดออกเพียงแค่นี้ ไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมจึงไม่สามารถบริหารประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ได้ สิ่งเดียวที่ผู้เขียนได้รับจากรัฐบาล พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ แต่เป็นสิ่งที่มีค่าเหนือเงินตราใดๆ คือความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย ก่อนหน้านั้นเวลาพูดคุยกับชาวต่างประเทศ เขายังไม่รู้ว่าเราอยู่ส่วนใดของแผนที่ บางคนคิดว่าไทยก็คือไต้หวัน แต่นายกฯ ทักษิณสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก วันนี้ความภูมิใจในความเป็นไทยนี้ได้หายไปเกือบหมดจากการกระทำของกลุ่มโจรปล้นอำนาจ ที่ทำให้คนไทยขายหน้าไปทั่วโลก ซ้ำยังหน้าด้านมาเบิกเงินค่าทำรัฐประหารพันกว่าล้านบาท
ใครร้องขอการรัฐประหารครั้งนี้? การเลือกตั้งจะมีขึ้นอยู่แล้ว ในหลวงของเราทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย ทรงปฏิเสธที่จะมอบนายกฯ ม.7 ก่อนหน้านี้ ยึดอำนาจในปีมหามงคล เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่?
เผด็จการทหารยังวางแผนกอบโกย ส่งพรรคพวกเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ตั้งงบฯ ซื้ออาวุธเพิ่มเป็นเงินแสนกว่าล้านบาท จะไปรบกับใคร? แค่โจรใต้ยังปราบไม่ได้ เก่งแต่ข่มขู่ประชาชน แต่กับโจรไปกราบไหว้ขอโทษ เอาละ ถ้านโยบายในการรบกับศัตรูของทหารไทยคือการไปกราบขอขมา ทำไมไม่เอาเงินแสนล้านบาทไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนแจกทหารล่ะท่าน ยังจะดูมีประโยชน์เสียกว่า
ในโลกปัจจุบันเขาทำสงครามกันทางเศรษฐกิจ ประเทศญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องมีกำลังทหารมากมายก็สามารถเป็นผู้นำได้ แต่กลุ่มบ้าอำนาจนี้ไม่เข้าใจ ไม่มีสมองเรื่องเศรษฐกิจ วันๆ เพ้อเจ้อแต่เรื่อง "พอเพียง" (แต่ขอโทษ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธิ์ มีทรัพย์สินเก้าสิบล้านบาท มีบ้านพักบนเขายายเที่ยงซึ่งเป็นเขตป่าสงวน ขนาดตัวต่อมันยังต่อยเอาด้วยความหมั่นไส้ ) ประธาน คมช. ถูกเปิดโปงเรื่องจดสมรสซ้อน นี่หรือผู้มี จริยธรรม ที่จะมาแก้ปัญหาประเทศ?
คำว่า "สมานฉันท์" เป็นอีกประเด็นที่ถูกนำมาอ้างอยู่เสมอ คนไทยจำนวนหนึ่งยังมีความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่โดยธรรมชาติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะมีความคิดเห็นตรงกันหมด และนี่คือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ยอมรับในสังคมโลก ในชั้นเรียนเรายังมีการโหวตเมื่อมีความเห็นแตกต่างของนักเรียน และถือเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นมติ ปัญหาสำคัญของประเทศตอนนี้คือคนขาดความเข้าใจในประชาธิปไตย ไม่ฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ยึดมั่นในหลักการ ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ เปิดช่องให้เผด็จการฉวยโอกาสเข้าช่วงชิงอำนาจ (อย่างหน้าด้านๆ)
การยึดมั่นในหลักการมากกว่าตัวบุคคลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากและถูกละเลยไป สมมุติเราเป็นเจ้าของบ้าน มีโจรเข้ามาปล้น โจรไม่ทำร้ายเราและครอบครัว เลยบอกว่าโจรเป็นคนดี มอบดอกไม้ให้ และเพื่อความสมานฉันท์ก็เลยตัดสินใจยกบ้านให้โจรไป นี่คือชีวิตที่ไม่มีหลักการ เพราะโจรก็คือโจร ถ้า "คนมันชั่ว" ถึงมันจะเรียกตัวเองด้วยตัวย่อเราก็มองออกถึงความชั่วของมัน
การคิดไม่เหมือนกันเป็นสีสรรค์ของประชาธิปไตย ขอยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง จอร์จ บุช กับ อัล กอร์ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้นเรียกว่าค่อนข้างวิกฤตสำหรับประเทศมหาอำนาจและกินเวลาร่วมเดือน ประชาชนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ระบบการเมืองในประเทศสหรัฐ มีสองขั้วมาเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็นต้องมีการเรียกร้องให้สมานฉันท์ เพราะเป็นเสรีภาพที่ประชาชนสามารถเลือกได้ ขณะที่เขียนนี้ คะแนนนิยมของประธานาธิบดีบุชตกต่ำมาก แต่ไม่มีวันที่ทหารของเขาจะทำการปฏิวัติรัฐบาล เพราะกองทัพของเขาเป็นทหารอาชีพ มีเจ้านายเป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนของประชาชน ประเทศของเขาถึงเป็นผู้นำโลกได้ เพราะประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ผู้เขียนมิได้มีจุดประสงค์ว่าเราต้องตามอย่างประเทศอื่นเสียทั้งหมด แต่อย่างน้อยสิ่งที่ดีๆ ก็ควรค่ากับการศึกษาเป็นแบบอย่าง เหมือนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยปัจจุบันก็ได้มีการนำเอาโมเดลการบริหารสมัยใหม่มาใช้ มีการเขียนแผนธุรกิจ การวางแผนกลยุทธ์ ส่วนใหญ่จะเห็นการเขียนวิสัยทัศน์หรู ๆ ว่า ต้องการเป็นผู้นำในงานที่องค์กรของตนปฏิบัติ แต่เมื่อเราเขียนไปแล้ว ต้องย้อนถามว่าเข้าใจการเป็นผู้นำดีขนาดใหน ถ้าหากคนไทยยังยอมให้เผด็จการทหารและรัฐบาลเถื่อนนี้คงอำนาจอยู่ ก็น่าจะเลิกเขียนวิสัยทัศน์เพ้อเจ้อพวกนี้เสียเถอะ เพราะแสดงให้เห็นว่า เราเป็นได้แค่ทาส ชอบอยู่ภายใต้อำนาจกระบอกปืน
สามารถสรุปถึงผลกระทบหลักๆ หลังจากที่เผด็จการเข้ามาครองอำนาจได้ดังนี้
1. สร้างความเสียหายให้กับประเทศ เศรษฐกิจย่อยยับจากการบริหารแบบไร้ประสิทธิภาพ เหมือนเด็กอมมือ เช้าพูดอย่างเย็นเปลี่ยนใจ ต่างประเทศเบือนหน้าหนีไปลงทุนที่อื่น ผู้ที่ยังอยากให้โอกาสรัฐบาลขิงเน่า อยากให้ลองนึกถึงบ้านที่สร้างบนรากฐานที่ไม่แข็งแรง หากเราพยายามต่อสูงขึ้นไป ก็ต้องหาไม้ไผ่มาค้ำยัน นอกจากจะน่าเกลียดแล้วยังไม่ได้ช่วยอะไรได้อย่างจริงจัง ถึงเวลามันก็จะพังครืนลงมาอย่างแน่นอน ท่านจะเจ็บตัวมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าดันทุรังขึ้นไปสูงเท่าใด ทางแก้ปัญหามีทางเดียวคือรื้อทิ้งทั้งหมด ถอนรากเผด็จการให้หมดสิ้น และสร้างฐานที่มั่นคงในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนเท่านั้น ประเทศนี้ถึงจะอยู่รอดได้
2. เผด็จการทหารทำการปฏิวัติเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง มิได้มีความจริงใจในการแก้ปัญหาใดๆ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนเห็นว่าไม่ดีในรัฐบาลก่อน ไม่ว่าจะสรรหาคำมาเรียกสวยหรูว่า คุณธรรม จริยธรรม กลับจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น บ้านพักเขายายเที่ยง การจดทะเบียนสมรสซ้อน การหาผลประโยชน์จากบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน
3. ประชาชนในชาติไม่มีทางที่จะสมานฉันท์โดยวิธีการล้มล้างผ่ายหนึ่ง และตั้งอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นใหญ่ ทำการตรวจสอบผ่ายตรงข้าม มีแต่จะตอกลิ่มความแตกแยก ศักดินาจะมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่าชนชั้นรากหญ้า ซึ่งในไม่ช้าจะรุนแรงถึงขั้นวิกฤต
4. การบิดเบือน และปิดกั้นข่าวสาร กลุ่มคนมันชั่วเข้าควบคุมวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อหนังสือพิมพ์ ให้เสนอข่าวเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตน การจัดทำโพลที่เอนเอียง ไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลทางสถิติตามหลักวิทยาศาสตร์ ผลคือประชาชนถูกชักจูงหรือหลอกให้เชื่อในข้อมูลที่ไม่ตรงตามความจริง กว่าที่จะรู้ตัวตอนนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้
5. สังคมไทยจะเสื่อมโทรมลง เป็นเหมือนในยุคก่อนๆ ที่ยาเสพติดระบาดทั่วบ้านเมือง หวยใต้ดินกลับมา ซึ่งเราท่านรู้ดีอยู่ว่าใครได้ประโยชน์จากความชั่วร้ายเหล่านี้
6. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ประชาชนจับตาดูได้เลยว่าจะต้องมีการหมกเม็ดเพื่อสืบทอดอำนาจ การเลือกสรร สสร. ที่ผ่านมามีการกระทำที่ส่อเจตนาทุจริตอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่รักประชาธิปไตย ในการต่อต้านเผด็จการทุกวิถีทางภายใต้กฏหมาย การก่อความวุ่นวายมิใช่การแก้ปัญหาแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น ตัวอย่างแนวทางที่ท่านสามารถกระทำได้คือ
1. ไม่ให้ความร่วมมือกับกลุ่ม คนมันชั่ว และผู้ปกครองประเทศโดยไม่ชอบธรรม ในกิจกรรมต่างๆ ที่พวกมันจัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานวันเด็ก สงกรานต์ ลอยกระทง หรือกิจกรรมทางสังคมใดๆ
2. ไม่รับใช้เผด็จการทหารและพวกพ้องในทุกกรณี
3. ลงโทษทางสังคมกับนักวิชาการ และสื่อมวลชนที่รับใช้เผด็จการ ด้วยการไม่ซื้อ ไม่อ่าน ไม่เข้าร่วมสัมมนาหรือสนับสนุนด้านการเงิน
4. ไม่ใช้บริการสถาบันการเงินที่มีผู้บริหารสนับสนุนเผด็จการ ตัวอย่างเช่นธนาคารแถวสีลมหรือที่มีป้ายสีเขียว
5. ใช้จ่ายอย่างประหยัด ชลอการลงทุนหรือการเล่นหุ้นจนกว่าจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นการปกป้องตัวท่านเองด้วย เพราะในปี 2550 นี้ เศรษฐกิจของประเทศทรุดหนักแน่นอน
6. ชักชวนญาติพี่น้องเพื่อนฝูง เข้าร่วมกิจกรรมการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสงบและสันติ กับกลุ่มที่มีความคิดตรงกับแนวทางของท่าน เช่น กลุ่ม 19 กันยา ต้านรัฐประหาร ฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และพิราปขาว แต่หลีกเลี่ยงกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายแอบแฝง หรือต้องการก่อความรุนแรง
7. ร่วมแสดงออกทางสัญญลักษณ์ เช่น ใส่เสื้อดำหรือมีข้อความต่อต้านเผด็จการ ที่ใส่ข้อมือสีดำ ติดสติกเกอร์หรือโบว์ดำบนรถ เปิดไฟหน้าตอนกลางวัน ติดป้ายหน้าบ้าน ฯลฯ
8. ส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยกับคนในครอบครัว หรือผู้ใกล้ชิด และชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากเผด็จการ อมาตยาธิปไตย และความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
9. แสวงหา รับข้อมูลจากทุกๆ ด้าน มิใช่ติดตามแต่ข่าวที่ผู้มีอำนาจปั้นแต่งขึ้น ใช้วิจารณญาณวิเคราะห็ข้อมูลที่ได้รับอย่างฉลาด ไม่หลงเชื่อช่าวลือที่ไม่มีมูล
10. ช่วยเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต้านเผด็จการ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและกลุ่มคนมันชั่วอย่างใกล้ชิด
11. เมื่อถึงเวลาลงประชามติ ร่วมออกเสียงไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญที่เผด็จการร่างขึ้น
12. เลิกยกย่องนับถือ จนถึงประนามกลุ่มคนมันชั่ว รวมถึงคนที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในประเทศนี้มาหลายครั้ง เช่น ทหารแก่ (ที่ควรถึงเวลาตายได้แล้ว) ที่หลงตัวเองคิดว่ามีฐานะเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน
13. ถ้าหากประชาชนไทยพร้อมใจกันต่อต้านเผด็จการ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาเราจะร่วมขับไล่คนมันชั่วเหล่านี้ออกจากประเทศ
จากคุณ :
skogkatt
- [
9 ม.ค. 50 21:18:19
A:58.8.138.213 X:
]