ต้องเป็นผู้มีความเข้าใจปัญหาและความเมตตาการุญอย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ได้หมดจด อย่างงดงามเช่นนี้ (คุณูปการของท่านรัฐบุรุษ เปรม ติณสูลานนท์ และท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ตอนที่ 1)
เป็นเวลาที่ผ่านมานานมากแล้ว นักศึกษาคนหนึ่งทำความแปลกใจให้กับรุ่นน้อง เพราะเป็นรุ่นพี่ถึงห้าปี แต่มานั่งเรียนด้วยกัน ปัจจุบันนักศึกษาคนนั้นมีอาชีพการงานที่มั่นคง มีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขเช่นสามัญชนทั่วไป ซึ่งคงจะแตกต่างแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้านักศึกษาคนนั้นไม่ได้กลับออกมาจากป่า กลับออกมาจากการต่อสู้ตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่ด้วยนโยบาย 66/23 โดยดำริของบุคคลผู้หนึ่งที่ชื่อ เปรม ติณสูลานนท์ และมีบุคคลชื่อ ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้ช่วยสำคัญคนหนึ่ง ประเทศของเราจึงได้นักศึกษาและประชาชนกลับคืนมาสู่อ้อมอก ได้ลูกกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่ และได้พ่อแม่พี่น้องกลับคืนสู่ครอบครัวของพวกเขา
--------------------------------------------------
เพราะว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ และน้ำใจเอื้อแก่ผู้อื่น จึงมุ่งวางรากฐานที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศเช่นนี้ (คุณูปการของท่านรัฐบุรุษ เปรม ติณสูลานนท์ และท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ตอนที่ 2)
คิดอย่างชาวบ้าน ไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์ อาจจะผิด อาจจะไม่ถูก
ความสามารถในการสร้างรายได้ ที่กระจายไปสู่รากหญ้า จะกลับขึ้นมาสู่คนชั้นบน เพราะว่า
รากหญ้ามีรายได้ เอาเงินไปซื้อของจากร้านค้า
ร้านค้ามีรายได้ เอาเงินไปซื้อของจากเอเย่นต์
เอเย่นต์มีรายได้ เอาเงินไปซื้อของจากผู้ผลิต
ผู้ผลิตมีรายได้ เอาเงินไปซื้อของจากรากหญ้า
ความสามารถในการสร้างรายได้ ที่กระจายไปสู่รากหญ้า จะกลับขึ้นมาสู่คนชั้นบน อย่างเป็นจำนวนทบทวี เพราะว่า
ประชากรที่ระดับรากหญ้า มี 8 คน
ประชากรที่ระดับร้านค้า มี 4 คน
ประชากรที่ระดับเอเย่นต์ มี 2 คน
ประชากรที่ระดับผู้ผลิต มี 1 คน
มันสมองชั้นเลิศแค่ไหน ของนักวิชาการ นักบริหาร หรือนักการเมือง คนใด ก็ไม่มีปัญญาทำได้คิดได้
ถ้าปราศจากน้ำใจที่จะเอื้อแก่ผู้อื่นก่อน ให้แก่ผู้อื่นบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้ว ตนเองก็จะได้รับประโยชน์ด้วยอย่างทบทวี (ที่กระจายไปทั้งสังคมทางเศรษฐกิจ) ผมเห็นว่านายกฯทักษิณมีคุณสมบัตินี้อยู่บ้าง คือมีน้ำใจ และไม่ประหลาดใจ หรือไม่เห็นควรจะไม่พอใจแต่อย่างใด ในผลที่ปรากฏ ในผลที่มีแก่ธุรกิจทั้งหลายของประเทศ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในระดับยอดหญ้า รวมถึงธุรกิจของครอบครัวนายกฯ ก่อนที่จะขายหุ้นทางธุรกิจออกไปเพื่อป้องกันข้อครหาและการโจมตีทางการเมือง
ก่อนเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองต้นปี 2549
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ขึ้น 280%
ธนาคารกรุงเทพ โต 440 %
ทีพีไอ (สปอนเซอร์เดินขบวน) โต 475 %
ปตท.สผ. โต 572% ปตท. โต 733% แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โต749% เหมืองบ้านปู โต 806% ปูนซิเมนต์ไทย โต 872% กลุ่มชิน โต 289%
หมายเหตุ : คำว่า ความสามารถในการสร้างรายได้ กับ คำว่า รายได้ ความหมายไม่เหมือนกัน
นี้เป็นข้อแตกต่างอย่างสำคัญจากนโยบายประชานิยมลอกเลียนของพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งจะเป็นนโยบายที่ทำให้ประชากรระดับรากหญ้าทางเศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอ และรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศง่อนแง่น จากการมุ่งแจกเพื่อหาคะแนนนิยม แต่ไม่ได้สร้างความสามารถในการสร้างรายได้เช่นนโยบายของท่านนายกฯ ทักษิณ
เพื่อให้ข้อคิดเห็นนี้สมบูรณ์ ขอเพิ่มเติมรายละเอียดเพื่อแก้ข้อกล่าวหาโจมตีว่านโยบายของท่านนายกฯ ทักษิณ เอาภาษีจากประชากรส่วนอื่นมาจุนเจือประชากรระดับรากหญ้าทางเศรษฐกิจ ดังนี้
ประชากรระดับรากหญ้าคือผู้จ่ายภาษีส่วนใหญ่ที่ใช้จุนเจือประเทศ
ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าประชากรส่วนอื่นอย่างยิ่ง และด้วยการจ่ายภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ประชากรระดับรากหญ้าทางเศรษฐกิจ อาจเป็นผู้จ่ายภาษีส่วนใหญ่ที่ใช้จุนเจือประเทศ
ประชากรระดับรากหญ้าต่างหากที่อาจเป็นผู้จุนเจือชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในด้านต่างๆ
อาจหาใช่อย่างที่มีผู้พยายามสร้างความเดียดฉันท์ ให้เกิดความแตกแยกในสังคมว่า จะมีการนำภาษีจากส่วนของผู้อื่นไปจุนเจือชนชั้นรากหญ้าแต่อย่างใดไม่
ทั้งนี้มีข้อมูลเพิ่มเติม จากคุณ : +:Non Media:+ โดย ดร. ทัศนัย อัครจิตวิภาค source: http://www.weloveudon.com/news3.php?newsid=15 ดังนี้
เมื่อตั้งคำถามว่า คนรวยคนจน ใครมีภาระทางภาษีหรือเสียภาษีมากกว่ากัน ก็ต้องดูที่มาที่ไปของภาษีว่าการจัดเก็บภาษีเพื่อเป็นรายได้ของรัฐบาลแต่ละปีนั้นรายได้มาจากทางใหนบ้าง ที่มารายได้ของรัฐบาลมาจาก
1. กรมสรรพากร 2. กรมสรรพสามิต 3. กรมศุลการกร 4. หน่วยงานอื่นๆ
และจากสถิติการจัดเก็บตั้งแต่ประเทศไทยมีระบบการเงินการคลังแบบสากลมาแล้วกว่า 50 ปี พบว่าการจัดเก็บภาษีแบบทางอ้อม ได้มากกว่าภาษีทางตรง
ภาษีทางตรง เช่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนมากคนที่มีฐานะ(คนรวย) จะรับภาระมากที่สุด เพราะมีรายได้ตามเกณฑ์จึงต้องเสีย ส่วนภาษีทางอ้อมเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ภาษีสรรพสามิต คนที่มีฐานะปานกลางถึงจน 80 กว่าเปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นคนเสียภาษี
จากภาพข้างบน(กด URL ที่มาข้างล่าง) เป็นรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ออกเดือนมกราคม 2549(แต่เป็นรายงานเศรษฐกิจ 2547 เพราะหน่วยงานต่างๆต้องประมวลผลเป็นปี ดังนั้นถ้าเราอยากดูรายงานเศรษฐกิจของปี 49 ต้องรอเขาประมวลผลและออกรายงานก็ตกประมาณปลายปี 2550) พบว่าภาษีทางออ้มมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 63.8 ของรายรับรัฐบาล ขณะที่ภาษีทางตรงทั้งภาษีเงินได้จากนิติบุคคลและภาษีเงินได้จากบุคคลธรรมดา รวมกันเท่ากับ 34.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อคิดเป็นตัวเงินอันเป็นรายได้ของรัฐบาลในปี 2547 จำนวน 1.1 ล้านล้านบาท เงินที่นำมาพัฒนาประเทศจากภาษีคนจนถึง 6 แสนกว่าล้านบาท ขณะที่เงินจากภาษีคนรวยนำมาพัฒนาประเทศเพียง 3 แสนกว่าล้านเท่านั้น
อนึ่งเมื่อเปรียบเทียบรายรับทางภาษีคิดเป็นสัดส่วนระหว่างภาษีทางอ้อมและทางตรงกับประเทศที่มีเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทยเช่นสมาชิกกลุ่มอาเซียน พบว่าไทยมีรายรับจากภาษีทางอ้อมมากกว่า ขณะที่ประเทศอื่นๆ มีรายรับจากภาษีทางตรงมากกว่าทางอ้อม ดังนั้นจึงมีคำถามของนักเศรษฐศาสตร์ว่าทำไมระบบภาษีของประเทศไทยจึงลงโทษคนจนมากกว่าคนรวย ทำไมการจัดเก็บภาษีทางตรงจากคนรวยจึงได้น้อย เป็นเพราะกรมที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีทำงานไม่มีประสิทธิภาพ? หรือโครงสร้างทางภาษีขาดความยุติธรรม? สรุปได้ว่า คำพูดที่บอกว่าคนรวยเอาเงินภาษีมาจุนเจือคนจน จึงไม่จริง เพราะแท้ที่จริงแล้วเงินที่นำมาพัฒนาประเทศในแต่ละปีส่วนใหญ่แล้วมาจากน้ำพักน้ำแรงของคนจน
ดร. ทัศนัย อัครจิตวิภาค
--------------------------------------------------
ด้วยความเคารพรักและศรัทธาต่อท่านรัฐบุรุษ เปรม ติณสูลานนท์ และท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
จากคุณ :
วษณ
- [
17 ม.ค. 50 22:23:13
A:202.57.173.63 X:
]