คงปฏิเสธไม่ได้หรอกนะครับ ว่า สังคมไทยที่แตกแยกอยู่ทุกวันนี้ มีรากฐานมากจากการเมือง
ว่าไปสังคมไทยไม่เคยแตกแยกครับ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการประณีประณอม ถ้อยที ถ้อยอาศัย มีความเคารพ ความเกรงอกเกรงใจ มีความยืดหยุ่นสูง
ยิ่งสังคมไทยต้องมาแตกแยกด้วยเหตผลทางการเมืองเนี่ย...เป็นสิ่งที่ผิดปกติมากๆ สังเกตไหมครับ ท่านที่มีอายุหน่อย เอาว่าเลข 4 เลข 5 แล้วกัน
อะไรเกิดขึ้นกับสังคมไทยในสิบปีที่ผ่านมานี้ครับ
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมไทยครับ
ความยืดหยุ่น ถ้อยทีถ้อยอาศัย มันหายไปไหนหมด ?
ทำไมเดี๋ยวนี้เรารักแรง เกลียดแรง
ทำไมเดี๋ยวนี้เราเชียร์แรง ด่าแรง
ดูถูก เหยียดหยาม ด่าทอ ด่าแม้กระทั่งคนที่คิดต่าง มองต่าง...ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
มันเป็นเรื่องธรรมดาของเรา-ท่านหรือไงครับ ที่กล้าไปด่าคนที่คิดต่าง มองต่าง เป็นวัวเป็นควาย เป็นผู้งมงายในลัทธิ เป็นปัญญาอ่อน อย่างนั้น อย่างนี้
นี่เรากลายเป็น-ขออภัย-"สัตว์ประหลาด" กันไปแล้วหรือครับ...ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือครับ
ในเมื่อความคิดเห็นของคนที่แตกต่างกัน...ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ในเมื่อการเห็น"ข้อเท็จจริง" ก็แตกต่างกัน...ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ในเมื่อ วัยวุฒิ คุณวุฒิ วุฒิภาวะก็ต่างกัน...ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้น
นี่ยังไม่นับอคติ ที่พกพาติดตัวกันไว้ทุกคน คนละมากบ้าง น้อยบ้าง
บ้างก็ไปโทษสื่อ ว่าสื่อให้ข่าวไม่เป็นกลาง...
"เรา" กลางนักหรือครับ
เรา "เลือก"ที่จะรับข้อมูลข่าวสารในแบบที่เราอยากรับมากกว่าครับ
เลือกที่จะรับแล้วเกลียดทักษิณ เลือกแบบที่จะรับแล้วเกลียดรัฐบาล เกลียดคมช. เกลียดทหาร
ผมวนเวียนอยู่ในห้องราชดำเนินแห่งเดียวนะครับ เกือบสองปีแล้ว ไม่เคย"แว่บ" ไปที่อื่น เพื่อตอบคำถามให้ตัวเองว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา
ไม่น่าเชื่อ...ความรัก...ทำให้สังคมไทยแตกแยก
วันหนึ่ง ผมตอบตัวเองแบบนี้ เพราะ เราไม่เคยมีผู้นำประเทศ - นายกรัฐมนตรี ที่เก่งกาจที่สุดในประวัตฺศาสตร์ อย่างนายกฯชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ครับ
ผุดขึ้นมาท่ามกลางกระแสวัตถุนิยมสุดขั้วของประชาชน
ผุดขึ้นมาในยามที่ประชาชนเบิ่อหน่าย ท้อแท้ และสิ้นหวังกับพรรคการเมืองเก่าๆ น้ำเน่า
ผุดขึ้นมาในยามที่คนไทยกำลัง ต้องการการเปลี่ยนแปลงฉับไว เห็นผลรวดเร็ว โดยเฉพาะ ความอยาก "หายจน"
ผุดขึ้นมาในยามที่คนไทย เห็นเงิน เป็นพระเจ้า...ยอมรับซะเถอะ
แล้วอะไรมันจะเพอร์เฟ็คขนาดนั้นล่ะครับ ทุกอย่าง ถูกที่ ถูกเวลา ยิ่งนโยบายต่างๆ วิ่งตรงเข้าไปสู่กระเป๋าตังค์พี่น้องไทยแบบนี้ ยิ่งได้รับความนิยมถล่มทลาย
นี่ยังไม่นับการใช้การประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธฺภาพ
นี่ยังไม่นับการใช้การตลาดสมัยใหม่ เข้ามาบริหารความนิยม
ขอเรียนว่าถึงผมจะไม่ชอบนายกฯทักษิณเท่าไหร่นัก แต่มิได้"โทษ" นายกฯทักษิณ เลยแม้แต่น้อย
ไม่โทษนโยบายประชานิยม
ไม่โทษ"ปาก" ไม่ค่อยดีของท่าน
ไม่โทษว่า ชอบไปสัญญากับชาวบ้านว่าจะเลิกจนภายในเท่านั้นวัน เท่านี้วัน
ไม่โทษความไม่โปร่งใส ดังที่เขากล่าวหา
ผมโทษ "ความรัก" "ความนิยม" ของประชาชนที่มีต่อทักษิณ ต่างหาก ที่สร้างความแตกแยกให้กับพี่น้องไทย
ผมอาจจะผิด...แต่ผมมองอย่างนี้จริงๆ และยินดีรับมองมุมมองที่แตกต่าง จะได้เห็นหลายๆมุม
ทำไมผมไม่บอกว่า "ความเกลียด" ทักษิณ ทำให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้...เพราะผมเชื่อว่า ทักษิณน่ะ มีคนรัก มากกว่าคนเกลียดหลายเท่านัก
เสียดาย...
มีความรัก ก็ต้องมีความเกลียดชัง
ยิ่ง "รัก" มาก...ก็ยิ่ง "เกลียด" มาก
เพราะเราไม่เคย "รัก" นักการเมืองคนไหนขนาดนี้
เราจึง "เกลียด" ใครก็ตามที่มีวี่แวว จะต่อต้าน คนที่เรารัก
ยิ่งใครมารังแกคนที่เรารัก...ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ
แล้วอะไรล่ะครับ ที่ทำให้สังคมไทยเป็นอย่างนี้ รัก หรือ เกลียด
อย่าลืมนะครับ...นักการเมือง ก็คือ นักการเมือง
มันไม่คุ้มค่าให้เราต้องเอาตัวตนของเรา ไปแลกด้วยอะไรก็ตาม
ที่เขียนมายืดยาวเนี่ย เพียงอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่อบอุ่น มีมิตรภาพ และเคารพกันทางความคิด เข้าใจในสัจจธรรมของความแตกต่าง มีความให้อภัย เข้าใจซึ่งกันและกัน เท่านั้นเองครับ
และทุกฝ่ายช่วยกันได้ ด้วยการหลีกเลี่ยง...
หลีกเลี่ยง การรักแรงๆ การเกลียดแรงๆ
หลีกเลี่ยง การเชียร์แรงๆ
หลีกเลี่ยงการ ด่าแรงๆ
ช่วยกันปรับสมดุลย์ให้กับสังคม เพื่อ ให้สังคมนี้น่าอยู่กว่าที่เป็นครับ
ขอบพระคุณครับ
จากคุณ :
รักจริงหวังแต่ง
- [
23 ม.ค. 50 22:01:25
A:125.25.91.69 X:
]