ความคิดเห็นที่ 11
เมื่อตอนที่มีการขายหุ้นใหม่ๆ ผมสงสารท่านนายกทักษิณมากครับ บางคนแสดงความคิดเห็นในลักษณะบิดเบือน บางคนแสดงความคิดเห็นโดยที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้เรื่องของภาษี ความเห็นของบุคคลพวกนี้แหละที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความชิงชังท่านนายกทักษิณ
ความรู้ เรื่องการคิดภาษีครับ
การขายหุ้น 73,000 ล้านบาท คอลัมนิสต์ นักกฎหมายบางคน และนักวิชาการใน TDRI (ดร.สมเกรียติถ้าจะไม่ผิด) แสดงความเห็นว่าจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงินประมาณ 27,000 ล้านบาท สำหรับบุคคลทั่วไปมักจะมีความคิดคล้อยตาม เพราะทุกคนที่รายได้เกินกว่าขั้นต่ำที่สรรพากรกำหนดต้องเสียภาษี เช่นคนโสดมีเงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท จะถูกหักเป็นค่าภาษีเดือนละประมาณ 1,000 บาท (ภ.ง.ด. หัก ณ ที่จ่าย) ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ต้องเสียภาษี ดังนั้นทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อตามความเห็นนั้น แต่ถ้าใครเคยเรียนวิชาการภาษีอากร (ถ้าเป็นนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ และ คณะบัญชีต้องเรียนวิชานี้) จะรู้ว่ารายได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี (ลองอ่านหนังสือ "ภาษีอากร" ซึ่งเขียนโดยกลุ่มนักวิชาภาษีอากรดูแล้วจะรู้เอง) ในหนังสือเขียนเป็นคำอธิบายไว้ชัดเจนครับ เรื่องของภาษีเป็นเรื่องที่เข้าใจค่อนข้างยาก และเพื่อให้ง่ายต่อการที่ชาวราชดำเนินจะทำความเข้า ขอสมมติง่ายแบบนี้แล้วกัน
นาย ก. ซื้อหุ้นของบริษัทxx (เพิ่งตั้งขึ้นใหม่) 1 หุ้นราคา 100 บาท (เท่ากับราคาที่ตราไว้ในใบหุ้น) สิ้นปีที่หนึ่งบริษัทมีกำไรก่อนเสียภาษีหุ้นละ 100 บาท ฉะนั้นต้องเสียภาษีนิติบุคคลหุ้นละ 30 บาท กำไรหลักหักภาษีจะเหลือหุ้นละ 70 บาท สมมติต่อไปว่าบริษัทนำเอากำไรหลังหักภาษีมาจ่ายเป็นเงินปันผลทั้งหมด 70 บาท คำถามก็คือเมื่อนาย ก.ได้รับเงินปันผล 70 บาท นาย ก.จะต้องเสียภาษีเท่าใด คำตอบคือ มีมากกว่าหนึ่งคำตอบครับ 1.นาย ก.ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะได้รับภาษีคืนจากรัฐบาลเป็นเงิน 20 บาท [(ถ้าอยู่ในฐาน 10%) ภาษีนิติบุคคล 30 บาท (เครดิตภาษี) หัก 10 บาท (100 บาทคูณ 10%)] 2.นาย ก.ต้องเสียภาษี 7 บาท [(ถ้าอยู่ในฐาน 37%) 37 บาท (100 บาทคูณ 37%) หักภาษีนิติบุคคล 30 บาท (เครดิตภาษี)]
แต่ถ้าบริษัทไม่มีการจ่ายเงินปันผล แล้วในปีต่อมานาย ก. ได้ขายหุ้นจำนวน 1 หุ้นให้แก่เพื่อนในราคา 170 บาท (170 บาทเรียกว่า book value หรือมูลค่าตามบัญชี ส่วน 100 บาทเรียกว่า par value หรือราคาที่ตราไว้ในในหุ้น) คำถามก็คือรายได้จากการขายหุ้นของนาย ก.จำนวน 170 บาท ควรเสียภาษีเท่าใด ถ้ามองอย่างผิวเผินแบบชาวบ้านแล้วจะต้องบอกว่านาย ก. จะต้องเสียภาษีโดยคิดจากรายได้ 170 บาท บางคนอาจจะบอกว่านาย ก. จะต้องเสียภาษีจากกำไรจากการขายหุ้น 70 บาท คำตอบก็คือ คำตอบคือ มีมากกว่าหนึ่งคำตอบครับ (เหมือนกับตอนรับเงินปันผล) 1. ถ้านาย ก. มีรายได้พึงประเมินอยู่ในช่วงฐานภาษี 10% นาย ก.ไม่ต้องเสียภาษี และยังจะได้รับภาษีคืนจากสรรพากร 20 บาท 2. ถ้านาย ก. มีรายได้พึงประเมินอยู่ในช่วงฐานภาษี 37% (พวกเศรษฐี เช่น คุณพานทองแท้) นาย ก.ต้องเสียภาษี 7 บาท ถ้าขายหุ้นสูงกว่า 170 บาท การคำนวณภาษีก็จะมีความยุ่งยากเข้าไปอีก
เหตุที่ผมยกตัวอย่างแสดงการคิดภาษีก็เพื่อให้ชาวราชดำเนินได้ทราบว่าความคิดเห็นของหลายๆคนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด นักกฎหมายหลายคนรวมทั้งดร.สมเกรียติแห่ง TDRI ให้ความเห็นในทำนองว่าเมื่อมีรายได้จากการขายหุ้น 73,000 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 27,000 ล้านบาท (73,000 คูณ 37%) ผมสงสารผู้ที่ได้รับฟังความคิดเห็นจริงๆ เพราะได้รับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ไม่รู้จริงหรือบางคนรู้จริงแต่พยายามบิดเบือน ซึ่งจริงๆแล้วการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ถ้าสมมติว่า กฎหมายกำหนดว่าต้องเสีย (ผมไม่แน่ใจว่ามีประเทศใดบ้างที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องเสียภาษี แต่คิดว่าไม่น่าจะมี เพราะการคำนวณภาษีจะมีความยุ่งยากมาก) ก็ไม่ได้คำนวณยอดโดยเอา 73,000 ล้านคูณด้วย 37% การคำนวณภาษีมีความซับซ้อนมาก จะต้องหาว่ามีเครดิตภาษีเท่าใดที่จะนำมาหัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องนำเอา retained earnings (กำไรสะสม) มาคำนวณหาภาษีนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปให้รัฐ (เครดิตภาษี) ผมกล้าพูดได้เลยว่านักกฎหมายส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านการคิดภาษี พวกเราลองนึกดูก็ได้ว่าคนที่เรียนทางด้านกฎหมายจะไม่ชอบวิชาทางด้านคำนวณ ซึ่งจะเห็นได้จากวิชาภาษีอากรไม่ว่าในระดับการศึกษาใด จะไม่ใช้อาจารย์ที่จบกฎหมายเป็นผู้สอน แต่จะใช้อาจารย์ที่จบทางด้านการบัญชีเป็นผู้สอน เมื่อเกิดกรณีภาษีจากการขายหุ้น ผู้ที่ให้ความเห็นส่วนใหญ่จะเป็นนักกฎหมายและเป็นนักกฎหมายที่เกลียดท่านนายกทักษิณ และประชาชนมักจะเชื่อความเห็นของนักกฎหมายด้วย
จากคุณ :
สัพเพ
- [
26 ม.ค. 50 02:31:15
A:124.120.173.172 X:
]
|
|
|