Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เราควรเรียกนักฆ่าประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า”ผู้ก่อการการร้าย” มิใช่ “ผู้ก่อความไม่สงบ หรือ โจรใต้”

    ในวันนี้อยากจะเสนอให้สื่อมวลชนไทยในฐานะเสมือนเป็นคนกลางที่มีความสำคัญมากในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมให้ประชาชนผู้รับสารทราบ เรียก “นักฆ่าประชาชน” ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า “ผู้ก่อการการร้าย” แทนคำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ หรือ โจรใต้” ค่ะ

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเหตุการณ์ฆ่ารายวันหรือระเบิดรายสัปดาห์และรายเดือนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมไปถึงจังหวัดสงขลาด้วยนั้นล้วนแล้วแต่มี “พลเรือนหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ได้พร้อมรบ” เป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีทุกครั้ง อย่างล่าสุดเหตุวินาศกรรมใหญ่รับ “ตรุษจีน” วางระเบิดทั่วทั้ง 4 จังหวัดชายแดนใต้ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตามสถานที่ราชการและย่านธุรกิจตายเจ็บกันระนาว โดยจังหวัดยะลาโดนหนักที่สุดโดนระเบิดไปประมาณ 20 จุด ทั้งคาราโอเกะ โรงไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน ขนส่ง สนามกอล์ฟแถมเผาโรงเรียนด้วยจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเบื้องต้น 6 ราย บาดเจ็บสาหัส 2 คนและบาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 62 คน  จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีพลเรือนเป็นเป้าหมายหลักนั่นเอง

    ในต่างประเทศนี่เขาจะให้ความสำคัญกับการเรียกชื่อกลุ่มหรือองค์กรที่ปฏิบัติการสังหารชีวิตคนบริสุทธิ์มากเลยค่ะโดยเฉพาะประเทศที่ต้องรับมือกับการก่อการร้ายรายวันอย่างอิสราเอล

    รัฐบาลไทยและผู้ที่มีอำนาจรับผิดชอบการแก้ปัญหาการก่อการร้ายใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ควรศึกษาและเรียนรู้การรับมือกับพวกผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์หัวรุนแรงของชาวอิสราเอลค่ะว่ายุทธวิธีและการทำงานของพวกเขานั้นมีประสิทธิภาพมากขนาดไหนที่ประเทศเล็กๆประเทศเดียวนี้สามารถต่อสู้กับการก่อการร้ายทั้ง 2 ด้านไปพร้อมกันคือต่อสู้ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในด้านการเมืองอิสราเอลต้องต่อสู้กับองค์กรระหว่างประเทศอย่างยูเอ็น กลุ่มประเทศมุสลิมทั่วโลกและสหภาพยุโรปที่ร่วมมือกันออกมติสหประชาชาติบังคับให้ทำตามความต้องการของพวกเขาและประณามอิสราเอลเพียงฝ่ายเดียวโดยปราศจากการประณามการก่อการร้ายของชาวปาเลสไตน์ รวมไปถึงการวิ่งล็อบบี้สหรัฐอเมริกาที่คอยกดดันอิสราเอลอยู่ตลอดเวลาเพราะหากอิสราเอลอยู่เฉยๆกลุ่มล็อบบี้ยิสต์มุสลิมในสหรัฐอเมริกาก็คงใช้กำลังภายในเอาชนะพวกเขาเช่นกัน ในด้านการทหารอิสราเอลต้องต่อสู้ในด้านการรบกับกลุ่มก่อการร้ายปาเลสไตน์และกลุ่มก่อการร้ายสากลที่มุ่งทำลายผลประโยชน์ของชาวยิวในต่างประเทศทุกรูปแบบ การปราบปรามการก่อการร้ายของอิสราเอลจะไม่มีทางยืดเยื้อเลยหากว่าปล่อยให้อิสราเอลจัดการด้วยตัวของเธอเอง

    และในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดค่ะว่าพอ “กำแพงแห่งความมั่นคง” ของอิสราเอลที่ค้านสายตาชาวโลกและทำให้ “ผู้รักสันติภาพจนน้ำลายไหล” กรีดร้องไปชั่วขณะแต่มันกลับรักษาชีวิตชาวอิสราเอลไว้ได้(แว่วๆว่าประเทศไทยก็จะสร้างแนวรั้วกั้นตรงรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซียเหมือนกัน) ก่อสร้างไปได้เกือบแล้วเสร็จ ข่าวระเบิดพลีชีพในอิสราเอลแทบสาบสูญหายไปจากพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไปเลยค่ะ....ได้ผลชะงัดนักแล และยิ่งกว่านั้นรั้วแห่งความมั่นคงยังมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการโจมตีอิสราเอลของพวกผู้ก่อการร้ายอ่อนด้อยลงไปทุกขณะจิตแถมในตอนนี้ยังฉีกหน้ากากความตั้งใจจริงของพวกผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ที่มีต่อรัฐอิสราเอลออกมาว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายรายวันในอิสราเอลนั้นมันคือความต้องการในการทำลายการดำรงอยู่ของรัฐอิสราเอลโดยแท้มิใช่เรื่องการยึดครองเวสแบ้งค์แอนด์ฉนวนกาซ่าที่พวกเขานำมาเป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าชาวยิวผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด

    มาจนถึงวันนี้วันที่ปาเลสไตน์ผ่านการเลือกตั้งและชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่เลือกฮามาสเป็นรัฐบาล ก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่าพอพวกเขาโจมตีอิสราเอลไม่ได้กลุ่มฮามาส(radical Hamas)กับกลุ่มฟาตาห์(moderate Fatah) ก็หันมาเข่นฆ่ากันเองแทนจนล่าสุดประเทศซาอุฯต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางคอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทั้งสอง

    นับว่าอาราฟัตผู้ที่ได้ฉายาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายว่าเป็น godfather of terrorism ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งการก่อการร้ายใช้สงครามจิตวิทยามวลชนได้เก่งค่ะหลอกชาวโลกมาได้ตั้งนานว่าการก่อการร้ายในอิสราเอลเกิดขึ้นเพราะ o-c-c-u-p-a-t-i-o-n เพราะหากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์สงบตัวเขาเองก็จะเป็นเป้าหมายของพวกกลุ่มฮามาส  อิสลามิคจีีฮัดและกลุ่มปาเลสไตน์หัวรุนแรงอื่นๆในการท้าท้ายหรือแย่งชิงอำนาจในการเป็นผู้ปกครองปาเลสไตน์จากเขา การคงความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ไว้คือเครื่องการันตีว่าอำนาจของเขาจะไม่สั่นคลอนและเงินช่วยเหลือจากนานาชาติขาใหญ่อย่างอเมริกาและสหภาพยุโรปจะถึงมือเขาอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

    กลุ่มก่อการร้ายทางภาคใต้ของไทยหรืออาจกล่าวได้ว่าแม้แต่อัลไคด้าของบิน ลาเดนเองและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในประเทศอื่นๆยังต้อง ลอกเลียนแบบยุทธวิธีการใช้การเมืองและการทหารขององค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์นี่ล่ะค่ะมาเป็นแบบอย่างทั้งในเรื่องตระเตรียมการปฏิวัติต่อสู้ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ที่ผู้ก่อการร้ายสวมเครื่องแบบทหาร ตำรวจเพื่ออำพรางตัวในการปฏิบัติการโจมตี การระเบิดตามสถานที่สำคัญๆต่างทั้งในย่านธุรกิจและสถานที่ราชการและล่าสุดการนำผู้หญิงและเด็กมาเป็นโล่ห์ทางศีลธรรมซึ่งวิธีนี้มันจะมีประสิทธิภาพมากหากกองทัพในประเทศนั้นยังคำนึงถึงกฏของสงครามว่าห้ามทำร้ายผู้หญิงและเด็ก

    ประเทศอิสราเอลนี่เขาจะตอบโต้กับสื่อของอังกฤษบ่อยค่ะโดยเฉพาะสื่อเสรีนิยมและนิยมฝ่ายซ้าย  อย่างสำนักข่าวบีบีซีกับรัฐบาลอิสราเอลนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานค่ะเพราะสำนักข่าวบีบีซีซึ่งเป็นสำนักข่าวหัวเสรีนิยมและให้สนับสนุนปาเลสไตน์อย่างออกนอกหน้ามักจะเรียกผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ว่า ”militant” แทนคำว่า “terrorist” ค่ะทั้งที่เป้าหมายของการปฏิบัติการโจมตีในอิสราเอลทุกครั้งนั้นมีพลเรือนชาวอิสราเอลที่ต้องสังเวยชีวิตล้วนๆ  แต่พอถึงเวลาที่อังกฤษเองได้ลิ้มรสการก่อการร้ายจากเหตุระเบิดพลีชีพหลายระลอกที่กรุงลอนดอนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยตัวเอง ซึ่งจุดเกิดเหตุก็ไม่ห่างจากสำนักงานใหญ่ของ BBC ไปไกลเท่าไหร่นัก  ทั้งสำนักข่าว BBC  หนังสือพิมพ์ leftist daily Guardian และสำนักข่าว Reuters( British-based) นี่สามัคคีพร้อมเพรียงกันมากค่ะ สำนักข่าวทั้งสามนี่ค้นพบคำว่า "terrorism" และ "terrorist ทันทีและนำขึ้นพาดหัวข่าวโดยมิได้นัดหมาย อย่างหนังสือพิมพ์ Guardianฉบับวันเสาร์นั้นคำว่า "terrorism" และ "terrorist” นี่ปรากฏหราอยู่ใน 11 หน้าแรกของหนังสือพิมพ์เลย  

    ในทางตรงกันข้ามการรายงานข่าวของสำนักข่าว BBC ที่รายงานเกี่ยวกับระเบิดพลีชีพรสบัสในอิสราเอลซึ่งเกิดขึ้นถี่และรุนแรงกว่าอังกฤษหลายเท่าเพราะระเบิดนั้นอัดเต็มไปด้วยตะปู  ตะปูควง เศษแก้วและโลหะมีคมเพื่อคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ให้บาดเจ็บและล้มตายมากที่สุดแถมเป้าหมายมุ่งไปที่รถเด็กนักเรียนนั้น ในรายงานข่าวของบีบีซีไม่มีคำว่า terrorist อยู่เลยมีแต่คำว่า "guerrilla" "militant" "activist" หรือ "fighter" ที่ใช้เรียกผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์กระจายอยู่ในเนื้อข่าวเต็มไปหมด  ไม่มีที่จะหาไม่เจอนี่คือความดับเบิ้ลสแตนดาร์ดของสื่อลิเบอร์รัลในอังกฤษที่มีต่ออิสราเอลค่ะ

    ผู้เขียนเพียงแต่ยกตัวอย่างการเลือกปฎิบัติของสื่อยักษ์ใหญ่อย่างบีบีซีที่มีอิทธิพลต่อการเสนอข่าวสารให้กับชาวโลกให้ดูเท่านั้นเองค่ะ

    ทีนี้กลับมาดูเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในบ้านเราบ้าง

    คนไทยและรัฐบาลไทยในยุคนี้ก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริงค่ะว่าประเทศไทยนั้นกำลังเผชิญกับ ปัญหาการก่อการร้ายใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่เพราะผู้มีอำนาจในการจัดการและประชาชนทั่วไปยังมีความคิดที่ว่าไม่ต้องการให้เหตุความรุนแรงในภาคใต้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก(จริงๆทั่วโลกเขารู้และรู้ลึกด้วยค่ะว่าสาเหตุการก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเกิดจากอะไร) เดี๋ยวพวกผู้ก่อการร้ายจะใช้เป็นข้ออ้างนำเข้าสู่องค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การเจรจาแบ่งแยกดินแดน นี่เป็นคำบอกกล่าวที่ผู้เขียนได้อ่านเป็นประจำ จริงๆแล้วแนวความคิดเช่นนี้แหละที่พวกผู้ก่อการร้ายชอบนักชอบหนาเพราะมันเป็นไปตามและสอดคล้องกับแผนการของพวกเขาในการใช้การต่อรองเจรจาระหว่างองค์กรของพวกเขากับรัฐบาลไทยเพื่อยืดระยะเวลาปฏิบัติการก่อเหตุโจมตีทั้งในด้านการเมืองและการทหารและการปลุกจิตสำนึกและอุดมการณ์ในการระดมคนให้เข้าเป็นสมาชิกแนวร่วมก่อเหตุความรุนแรงต่างๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปอีก นับว่าเป็นยุทธวิธีในการขยายแนวร่วมเพิ่มขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายขั้นสุดท้ายของแผนการคือการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงนั่นเอง

    การที่รัฐบาลสุรยุทธิ์เลือกใช้วิธีการเจรจากับองค์การก่อการร้าย(ไม่ควรเรียกว่าเป็นองค์การแบ่งแยกดินแดนเพราะเป้าหมายหลักในการโจมตีคือ พลเรือน) เพราะคิดว่ากลยุทธิ์ในการใช้การเจรจาจะสามารถดึงหน่วยปฎิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในมุมมืดออกมายืนอยู่ในที่แจ้งได้ ตรงนี้เป็นการประเมิณขีดความสามารถทางด้านจิตวิทยาของพวกเขาต่ำไปค่ะเพราะพวกเขาเองก็กลัวฝ่ายรัฐบาลจะใช้วิธีการลอบสังหารพวกเขาด้วยเช่นกันหากพวกเขายอมเปิดเผยตัวออกมายืนในที่สว่างดังนั้นตัวแทนที่พวกเขาส่งไปเจรจากับรัฐบาลจึงไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจในการควบคุมกลุ่มผู้ก่อการจริง

    แม้ว่ากลุ่มพูโลและเบอร์ซาตูดูจะเป็นช่องทางสำคัญที่นำไปถึงตัวหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (insurgent leaders) ซึ่งยังคงแอบอยู่ในมุมมืดและไม่เปิดเผยตัวเองและแผนการก็ตามแต่กลุ่มผู้นำรุ่นเก่าที่ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในดามัสกัส กัวลาร์ ลัมเปอร์หรือสต็อคโฮล์มเหล่านี้ที่มานั่งเจรจากับรัฐบาลก็ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมกลุ่มปฏิบัติการก่อความไม่สงบแต่อย่างใดและบรรดาหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเหล่านี้แท้จริงแล้วคือกลุ่มผู้ก่อการร้ายสายเลือดใหม่นั่นเอง และตราบใดที่พวกกลุ่มก่อการร้ายเห็นว่าการปฏิบัติการโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐและพลเรือนยังดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและฝ่ายความมั่นคงของไทยไม่สามารถจับกุม senior operatives ของพวกเขาได้  แคมเปญการใช้ความรุนแรงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ก็ต้องดำเนินต่อไป ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นความจริงเพราะหลังจากที่ได้มีการเปิดการเจรจาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธิ์กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้แล้ว เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นอกจากจะไม่ลดลงแล้วยังเพิ่มความถี่ของการโจมตีมากขึ้นไปอีกอย่างน่าใจหาย

    (ยังมีต่อค่ะ...)

    จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 21 ก.พ. 50 08:52:35 A:71.7.240.215 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom