นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2550 ขยายตัว 4.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี คือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่ 4.75% ลงเหลือ 4% โดยต้องทำอย่างรอบคอบและต้องไม่ให้ตลาดรับรู้ล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันการเก็งกำไร ขณะที่กระทรวงการคลังต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในปี 2550 ให้ได้ถึง 93% ของเงินงบประมาณ 1,566,200 ล้านบาท เพื่อให้งบประมาณจากรัฐเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน

“เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ต้องได้รับการแก้ไข โดยด่วน เพราะนโยบายการคลังที่อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นมาได้ เนื่องจากนโยบายการเงินเป็นตัวกดดันที่ทำให้ประชาชนและนักลงทุนไม่เชื่อมั่น ธปท.จึงต้องทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังมากขึ้น เพื่อให้นโยบาย การคลังและการเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”

นายคณิศกล่าวว่า มาตรการสำรองเงินทุนต่างชาติ 30% ของ ธปท.ในความเห็นส่วนตัวนั้น ถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาด และคาดว่า ธปท.จะยกเลิกมาตรการดังกล่าวก่อนที่กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ธปท.จะไปโรดโชด์ประเทศไทยให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นรับทราบระหว่างวันที่ 10-13 มี.ค. เพราะมาตรการนี้จะกลายเป็นคำถามที่สำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่น ที่ผู้แทนประเทศไทยไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นมาตรการเหวี่ยงแหครอบคลุมทุกๆด้าน  

“จากการตรวจสอบข้อมูลจะพบว่า ในเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตร และตราสารหนี้ 429.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 15,015 ล้านบาท (35 บาทต่อดอลลาร์) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติไม่ได้เป็นคนเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้”

นายคณิศกล่าวว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทผันผวนน่าเกิดจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ไทยเกินดุล 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เกิดจากยอดการส่งออกสินค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 17.4% ขณะที่การนำเข้าสินค้าในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเพียง 7.3% และดุลบริการที่เกินดุลจากการท่องเที่ยวจนทำให้ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

“ในช่วงเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ธปท.คงตื่น ตระหนกและสับสน จึงออกมาตรการระยะสั้นแบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ แต่ต่อมาเมื่อรู้ว่า อะไรเป็นอะไรแล้ว ก็เริ่มผ่อนคลายจนแทบไม่เหลืออะไร เพราะเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค แต่เนื่องจากไทยมีระบบการจัดการไม่ดี ค่าเงินบาทจึงแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่น”
นายคณิศกล่าวว่า ในวิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ไขการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ได้ 3 วิธีคือ
1. ลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจนักลงทุน
2. การกำหนดค่าเงินที่ตายตัว เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับธนาคารกลาง และ
3. สภาพคล่องส่วนเกินที่มีปริมาณมากขึ้น  จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต้องนำไปลงทุนในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคหรือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งวิธีการนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ขณะที่นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4-5% ของจีดีพี แต่เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักไม่ดี ประกอบกับการใช้จ่ายภาคเอกชน และประชาชนชะลอตัว จึงปรับลดการเติบโตเหลือ 4-4.50% ลดลงจากปีก่อนที่เติบโตเฉลี่ย 5.1%

นางพรรณีกล่าวว่า  ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจ ปีนี้ชะลอตัว คือ เศรษฐกิจคู่ค้า 11 ประเทศขยายตัวลดลง โดยคาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวที่ระดับ 6.9% ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 9.1% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 8.4% ประกอบการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนยังไม่ดีนัก โดยประมาณการว่า การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.7% จากปีก่อนที่ขยายตัว 3.3% ส่วนการลงทุนขยายตัว 5.3% จากปีก่อนที่ขยายตัว 3.7% แต่เนื่องจากการส่งออกที่ลดลง ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากกว่าการบริโภค และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น จึงกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว

สำหรับอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.8% ต่อปี ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 4.7% จากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลง โดยประมาณการว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 56 เหรียญต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 36 บาท ขณะที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2,600 ล้านเหรียญ หรือ 1.1% ของจีดีพี.

=================

ไทยรัฐ เศรษฐกิจ วันนี้

แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 50 16:23:23