ความคิดเห็นที่ 31
แปลกนะครับ ถ้าคุณ Pom.com บอกว่าล้มเหลว แต่ข้อเสนอข้อ 8 ในรายงานนั่นว่าไว้อย่างนี้
8. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
8.1 โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
· ควรให้มีการจัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้านเพิ่มขึ้น เพื่อที่ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสในการกู้ยืมเพื่อนำมาขยายกิจการการผลิต
· รัฐควรจัดการฝึกอบรมวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ใหม่ ๆ ในการประกอบอาชีพรวมทั้งสนับสนุนในการจัดอบรมหลักการบริหารกองทุนให้กับผู้บริหารกองทุนในแต่ละท้องถิ่น
ล้มเหลว แต่บอกให้จัดสรรเงินให้มากขึ้น
ขำครับ ขำ
และกรุณาอย่าตัดตอนผลการศึกษานะครับ
6.1 โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
จากการศึกษาพบว่าครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองร้อยละ 53.0 ประกอบอาชีพเกษตรกร รองลงมา ร้อยละ 23.7ประกอบอาชีพค้าขาย โดยที่ส่วนใหญ่ กู้เพื่อลงทุนในอาชีพหลักร้อยละ 60.1 รองลงมาคือ กู้เพื่อลงทุนในอาชีพเสริมและขอกู้เพื่อดำเนินกิจการใหม่ ๆ ร้อยละ 23.9 และร้อยละ 16.0 ตามลำดับ
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
1) ด้านรายได้ครัวเรือน ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ นั้น ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 264,481 บาท โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้หลักประมาณร้อยละ 75 หลังจากเข้าร่วมโครงการฯ แล้วมีรายได้โดยเฉลี่ยเป็น 283,433 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 นั้น ครัวเรือนมีรายจ่ายเฉลี่ยปีละ 189,258 บาท และหลังจากเข้าร่วมโครงการฯ แล้วมีรายจ่ายเฉลี่ยปีละ 203,635 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 โดยรายจ่ายร้อยละ 45.8 เป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน โดยส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายเพื่อจัดหาวัตถุดิบในกระบวนการผลิต และที่เหลือเป็นรายจ่ายเพื่อการบริโภค และจ่ายคืนเงินกู้ ร้อยละ 36.9 และร้อยละ 17.3 ตามลำดับ
2) ด้านหนี้สิน ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการกองทุนหมู่บ้าน ส่วนใหญ่มีแหล่งเงินกู้จากทั้งในระบบและนอกระบบ โดยในระบบได้แก่ ธกส. และกองทุนหมู่บ้าน สำหรับแหล่งเงินกู้นอกระบบเป็นแหล่งเงินกู้ที่ก่อให้เกิดภาระต่อครัวเรือนเนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 240 ต่อปี หรือ ร้อยละ 20 ต่อเดือน
3) ด้านเงินออม สัดส่วนการออมหลังเข้าร่วมโครงการฯ มีสัดส่วนร้อยละ28.2 ของรายได้รวม ในขณะที่ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ มีสัดส่วนร้อยละ 28.4
หลังเข้าร่วมโครงการฯ พบว่า ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่สัดส่วนรายจ่ายหลังเข้าร่วมโครงการนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากครัวเรือนนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าคงทน (durable goods) เพิ่มขึ้น เช่น รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น ในขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนนั้นลดลงเล็กน้อยเพราะว่ากิจการที่ครัวเรือนเข้าร่วมโครงการนั้นเป็นกิจการขนาดเล็กรวมทั้งเงินลงทุนที่ไปกู้ยืมมาก็ไม่สูงมาก จึงไม่สามารถขยายการลงทุนได้เท่าที่ควร จึงเป็นการกู้เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในกิจการและพอเลี้ยงครอบครัว ส่วนการชำระเงินคืนเงินกู้นั้นยังคงเป็นชำระคืนเงินกู้นอกระบบมากขึ้น โดยการทำ refinance ซึ่งเป็นการนำเงินบางส่วนที่ได้จากเงินกู้โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมาชำระหนี้เงินกู้นอกระบบมากขึ้นเพื่อเป็นการลดภาระหนี้ในอนาคต
ผลกระทบทางด้านสังคม
จากการศึกษาครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยรวม พบว่าการที่มีโครงการนี้ส่งผลทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ความสามารถในการพึ่งตนเอง และการมีส่วนร่วมของชุมชนเพิ่มขึ้นเนื่องจากการดำเนินงานของโครงการนี้ เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีความร่วมมือเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะระบบการตรวจสอบและการบริหารจัดการเงินทุนที่รัฐบาลจัดสรรให้แต่ละหมู่บ้าน
มาดูด้าน OTOP
6.2 โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
จากการสำรวจพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยรวมเป็นผลิตภัณฑ์ที่เคยผลิตมาแล้วในสัดส่วนร้อยละ 67.3 รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าร่วมโครงการฯ และผลิตภัณฑ์เดิมที่พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีสัดส่วนร้อยละ 20.0 และร้อยละ 12.7 ตามลำดับ โดยที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเข้าร่วมโครงการ (ประกอบด้วย งานแกะสลัก ดอกไม้ประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์กระดาษสา ผลิตภัณฑ์จากไม้ และผลิตภัณฑ์จากผ้า) สัดส่วนร้อยละ 26.8 และร้อยละ 25.0 ตามลำดับ ระบบการจัดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่มีการจัดจำหน่ายโดยผ่านบริษัทกลางของหมู่บ้าน รองลงมาเป็นการจัดจำหน่ายด้วยตนเอง
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
1) ด้านรายได้ครัวเรือน ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ นั้น ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 213,420 บาท โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้หลักประมาณร้อยละ 76.8 แต่หลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วมีรายได้โดยเฉลี่ยเป็น 244,452 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5
2) ด้านรายจ่ายครัวเรือน ก่อนเข้าร่วมโครงการฯ นั้น ครัวเรือนมีรายจ่ายเฉลี่ยปีละ 168,540 บาท และหลังจากเข้าร่วมโครงการแล้วมีรายจ่ายเฉลี่ยปีละ 196,964 บาท หลังเข้าร่วมโครงการฯ แล้วสัดส่วนการบริโภคลดลงจากร้อยละ 59.5 เป็นร้อยละ 57.3 โดยสัดส่วนการลงทุนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35.0 เป็นร้อยละ 38.0 ส่วนสัดส่วนการชำระหนี้เงินกู้มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 5.5 เป็นร้อยละ 4.7
3) ด้านเงินออม ผู้ตอบแบบสอบถามมีเงินออมเฉลี่ยต่อปีก่อนเข้าร่วมโครงการฯ 44,880 บาท และหลังเข้าร่วมโครงการฯ มีเงินออมเพิ่มขึ้น 47,488 บาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8
หลังจากเข้าร่วมโครงการฯ ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากโครงการนี้สนับสนุนให้มีการร่วมมือกันระหว่างประชาชนในกลุ่มอาชีพเดียวกันและเป็นงานที่มีความชำนาญในด้านนั้น ๆ อยู่แล้ว ทำให้สามารถผลิตได้เร็วขึ้นรวมทั้งรัฐบาลได้ประชาสัมพันธ์ให้มีการออกงานแสดงสินค้าในสถานที่ต่างๆ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า และศูนย์แสดงสินค้าตามแหล่งต่างๆ ส่วนด้านรายจ่าย พบว่าสัดส่วนรายจ่ายหลังเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ในขณะที่สัดส่วนเงินออมลดลงเนื่องจากมีความต้องการเพิ่มการลงทุนในการผลิตสินค้า โดยเฉพาะการลงทุนด้านวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมากขึ้นเพราะสินค้ามีความต้องการจากตลาดมากขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าทุนลดลง เพราะว่าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตยังสามารถใช้ของเดิมได้ ประกอบกับการผลิตสินค้าในโครงการนี้เป็นการผลิตสินค้าเดิมที่เคยผลิตมาแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการซื้อโทรศัพท์มือถือและจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นต้นการที่ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้สามารถชำระคืนเงินกู้นอกระบบเพิ่มขึ้นด้วย
ผลกระทบทางด้านสังคม
ส่วนใหญ่เห็นว่าการมีโครงการนี้ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองมากขึ้นกว่า การเกื้อกูลกับผู้ด้อยโอกาสในชุมชนเพิ่มขึ้นรวมทั้งส่งผลทำให้แรงงานกลับคืนสู่ท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นด้วย
................................
อย่าตัดตอนครับ อย่าสรุปแต่เล็กครับ สรุปใหญ่ให้หมด
จากคุณ :
ลูกแม่โดม
- [
3 มี.ค. 50 21:51:33
A:124.121.10.115 X:
]
|
|
|