ความคิดเห็นที่ 25
จุฬาควรให้เปมิกาเข้าสอบ ในวิชาที่ขาดสอบด้วยเหตุผลดังนี้ ควรพิจารณาจากเฉพาะปัจจัยของการขาดสอบ มิใช่ปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขาดสอบ เช่นเดียวกับ พิจารณาเกรดจากคะแนนสอบ มิใช่พิจารณาเกรดจากหน้าตาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน (ยกตัวอย่างเฉยๆถึงการพิจารณาที่ไม่อยู่บนเหตุผล) เริ่มล่ะน่ะ โดยทั่วไปคนยอมรับการขาดสอบเนื่องจากปัจจัย เหตุผลทางกายภาพ เช่น เกิดอุบัติเหตุสลบ, น้ำท่วมจากเฮอริเคน ทำให้ไม่สามารถมาสอบได้ ฯลฯ แต่มักไม่ยอมรับเหตุผลทางจิตวิทยา ในความเห็นของผม ถ้ามนุษย์ หรือ คนทั่วไป เกิน 80% เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างเปมิกาแล้วมาสอบได้ เหตุนั้นจุฬาก็ไม่ควรให้เปมิกาเข้าสอบ แต่ทว่า ถ้าคน 10,000 คน เจอเหตุการณ์อย่างเปมิกา แล้วยังสามารถทำใจมาสอบได้ไม่ถึง 2 คน เหตุนั้นจุฬาก็ควรอนุญาตให้มีการเข้าสอบได้ เพราะโดยสามัญสำนึก (common sense) แล้วแสดงว่า เปมิกายังเป็นมนุษย์ปกติ ทำเหมือนมนุษย์ปกติ อีก 9998 คนที่เหลือ จาก 10,000 คน ในทางหนึ่งถูกต้องแล้วที่จุฬาขอดูเหตุผลของเปมิกาในการเข้าสอบก่อน แล้วจึงพิจารณาว่าอนุญาตหรือไม่ แต่ในอีกนัยหนึ่ง หากเปมิกา ไม่สามารถพูดได้อย่างที่ควรพูด แล้วจุฬาพิจารณาเพียงเฉพาะคำพูด โดยไม่ดูข้อเท็จจริงก็ไม่สมควรเช่นกัน
มุมมองและการตอบสนองต่อเปมิกาของ สังคมไทย เมื่อเทียบกับ พระพุทธเจ้า และ พระเยซูคริสต์เจ้า หากการประนามทำให้สังคมไทยเจริญได้ สังคมไทยคงเจริญขึ้นมากจากกรณีของเปมิกา และ อื่นๆ หากการประนามทำให้เปมิกาเจริญได้ เปมิกาคงจะดีขึ้น มีประโยชน์มากขึ้นกับตัวเอง และ สังคม จากกรณีนี้ กรณีเปมิกา จะดี จะชั่ว ผมไม่ขอพูดถึง เพราะ ผมแทบไม่มีข้อมูล เพราะไม่ได้ตามข่าว และ ไม่ได้สนใจในข่าวนี้เลย แต่เมื่อเพียงกวาดสายตาในข่าวนี้ก็เห็นสังคมไทย มีแต่การประนาม ประนาม (ดูเหมือนจะเป็นล้านๆ ข้อความเลยมั้ง) ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีก็ยังออกมาพูดกดดันมหาลัย ผมก็คิดว่าผมคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อข่าวนี้ได้แล้ว ในฐานะที่ผมเป็นตัวผม ขณะที่คนทั่วไปด่าทอ ทำร้าย องคุลิมาล พระพุทธเจ้ากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ดั่งที่เราทราบกัน ซึ่งหลังจากนั้น องคุลีมาลก็ได้บรรลุเป็นอรหันต์ เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวเอง และ สังคม ขณะที่คนทั่วไปพากันเคียดแค้นศัตรูที่ทำร้ายตน หรือ จะทำร้ายตน พระพุทธเจ้ากลับคิดว่าปัจจัยใดบ้างประกอบกันที่ทำให้เขาทำร้ายเรา หรือ จะทำร้ายเรา ทำไฉนปัจจัยเหล่านั้นจะขาดไป ไม่ครบ หรือ หมดไป เพื่อจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นหนอ ขณะที่คนทั่วไปมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีแต่ไม่ทำ พระพุทธเจ้าก็ได้ผ่านเหตุการณ์เช่นนั้น เช่นกันในฐานะที่ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ พระองค์รำพึงในใจว่า ดังนี้.........
วิธีคิดที่ทำให้เจ้าชาย สิทธถะ ก้าวหน้า จนถึงตรัสรู้ (นิพพาน) พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ทรงพยายามในเนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้ อานนท์! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความรู้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เนกขัมมะ (ความหลีกออกจากกาม) เป็นทางแห่งความสำเร็จ, ปวิเวก (ความอยู่สงัดจากกาม) เป็นทางแห่งความสำเร็จ ดังนี้, แต่แม้กระนั้น จิตของเราก็ยังไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ได้ ไม่หลุดออกไป ในเนกขัมมะ ทั้งที่เราเห็นอยู่ ว่านั่นสงบ. อานนท์! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิตของเรา เป็นเช่นนั้น. อานนท์! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า เพราะว่าโทษในกามทั้งหลาย เป็นสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ยังไม่ได้นำมาทำการคิดนึกให้มาก และทั้งอานิสงส์แห่งการออกจากกาม เราก็ยังไม่เคยได้รับเลยยังไม่เคยรู้รสเลย; จิตของเราจึงเป็นเช่นนั้น. อานนท์! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราสืบไปว่า ถ้ากระไร เราได้เห็นโทษในกามทั้งหลาย แล้วนำมาทำการคิดนึกในข้อนั้นให้มาก ได้รับอานิสงส์ในการหลีกออกจากกามแล้ว พึงเสพในอานิสงส์นั้นอย่างทั่วถึงไซร้, ข้อนั้นแหละ จะเป็นฐานะที่จะทำให้จิตของเราพึงแล่นไปพึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนกขัมมะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์! โดยกาลต่อมา เราได้ทำเช่นนั้นแล้วอย่างทั่วถึง จิตของเราจึงแล่นไปจึงเลื่อมใส ตั้งอยู่ได้ หลุดออกไป ในเนกขัมมะ โดยที่เห็นอยู่ว่านั่น สงบ. อานนท์ ! เมื่อเป็นเช่นนั้น, เราแล เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึง บรรลุฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่.
สัมมาวาจา ในมรรคมีองค์ 8 คือ คำพูดที่มีประโยชน์ เหตุที่มีประโยชน์เพราะว่าคำพูดนี้ ประกอบด้วย ความจริง และ กาละเทศะ
ขณะที่มีการร้องขอให้พระเยซูคริสต์เจ้า ตัดสินความผิดนางโสเภณี พระองค์ตรัสว่า(ประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้) ใครที่นี้ไม่เคยทำความผิดให้คนนั้นออกมาเป็นคนแรกในการขว้างหินใส่นางโสเภณี ซึ่งหลังจากนั้นก็ปรากฎว่าผู้คนก็ทยอยๆ กันกลับบ้านไปจนในที่สุดไม่เหลือใคร พระองค์จึงตรัสว่าไม่มีใครทำโทษเจ้าหรือ เราก็ไม่ทำโทษเจ้าเช่นกัน เจ้ากลับไปเถิดแล้วคราวหลังอย่างทำดังนี้อีก แม้คนเลวก็ยังรักคนที่ทำประโยชน์ให้กับตน ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนดีจะรักคนทุกคน เพราะพระเยซูคริสต์เจ้ารักทุกคน ให้อภัยได้ทุกคน แม้คนที่ทำร้ายพระองค์ มีคนถามพระเยซูคริสต์เจ้า ว่าคนๆนี้ทำอะไรผิด หรือ พ่อแม่เขาทำอะไรผิด เขาถึงได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสตอบว่า เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพระว่าเขาทำอะไรผิด หรือ พ่อแม่เขาทำอะไรผิด แต่เป็นเพราะว่า เขาเป็นเช่นนี้เพื่อพระเจ้าจะได้มีเกียรติ แล้วพระองค์ก็รักษาตาของคนตาบอดตั้งแต่เกิดนั้นให้หายในทันที เพื่อเป็นเกียรติแด่พระเจ้า เช่น เดียวกันผมเชื่อว่ากรณีเปมิกา มีไว้เพื่อที่ว่าพระเจ้าจะได้รับเกียรติจากการที่คนไทยมีสติ และ พัฒนาขึ้นจากการนี้
จากคุณ :
แผ่นดินไทย
- [
16 มี.ค. 50 09:48:31
A:124.120.74.147 X:
]
|
|
|