ความคิดเห็นที่ 61
ต่อ.
การบินไทยไม่ย้ายกลับ
ร.ท.อภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การบินไทยจะอยู่ให้บริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ย้ายกลับไปดอน เมือง เพราะการบินไทยลงทุนใน 6 กิจกรรมที่สนามบินสุวรรณภูมิไปแล้วมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านบาท หากย้ายกลับไปดอนเมือง หรือหากจะให้บริการควบคู่ทั้ง 2 สนามบิน จะยากลำบากในการบริหารและจะมีค่าใช้จ่ายสูง
รื้อสัญญาเอื้อ รถลีมูซีน
ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิ การวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ มี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน ทั้งนี้คณะอนุกรรมาธิการได้รายงานผลความคืบหน้า ของการตรวจสอบในด้านต่าง ๆ โดย พล.อ.เพิ่มศักดิ์ พ่วงสาโรจน์ กรรมาธิการ กล่าวถึงการตรวจสอบปัญหารถบริการในสนามบินสุวรรณภูมิว่า กรณีรถลีมูซีนถือว่าบริษัทการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทำสัญญาเสียเปรียบ โดย ทอท. ได้จ้าง 2 บริษัทดูแลเรื่องรถขนส่งสาธารณะ ที่พบว่า ทอท. ต้องจ่ายเงินค่าเช่ารถเป็นรายเดือน และค่าน้ำมันเป็นรายกิโลเมตร ซึ่งเมื่อมีการพิจารณาในรายได้แล้วไม่คุ้มค่า เพราะ ทอท. ต้องจ่ายเงินถึง 3-5 ล้านบาทต่อเดือน แสดงให้เห็นว่าในทุกเดือน ทอท. จะประสบภาวะขาดทุน ดังนั้น ทอท. ควรพิจารณาเรื่องการเลิกสัญญาที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ส่วนรถแท็กซี่ในสนามบินพบว่า วิธีที่ ทอท. ได้ดำเนินการคือ จ้างบริษัทเอกชน คือบริษัทสยามออโต้ บริการนอกลานจอดอากาศยานเป็นเวลา 5 ปี วงเงิน 333 ล้านบาท แต่การดำเนินงานกลับเป็นบริษัทเบสฯ รับงานต่อ ทั้งที่บริษัทดังกล่าวไม่มีสัญญา
พบ 900 ประตูหนีไฟเจ๊ง
ขณะที่ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณณะศรี ประ ธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาและแก้ไขปัญหาการรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมภายในสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เรื่องปัญหาระบบหนีไฟได้เชิญเจ้าหน้าที่ ทอท. มาชี้แจง พบว่าประตูหนีไฟมีอยู่ 900 ประตูที่มีปัญหา อีกทั้งห้องควบคุมระบบหนีไฟไม่สามารถติดต่อกับห้องรักษาความปลอดภัยได้ นอกจากนี้พบว่าแผนปฏิบัติงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบิน ยังอยู่ ระหว่างการดำเนินการ ยังไม่มีแผนรองรับหาก เครื่องบินเกิดอุบัติภัย
พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป กรรมา ธิการ กล่าวว่า สำหรับสัญญาเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย ทาง ทอท. ได้ยอมรับความล้มเหลวของสัญญา ซึ่งจากเดิมเคยตั้งงบไว้ที่ 3,500 ล้านบาท แต่นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ขอให้เพิ่มวงเงินเป็น 10,000 ล้านบาท แต่ ทอท. รู้สึกละอายใจจึงขอปรับงบเป็น 5,000 กว่าล้านบาท โดยเพิ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยเพียง 17 คนเท่านั้น
บรรณวิทย์ย้ำยังไงก็ต้องปิด
จากนั้น พล.ร.อ.บรรณวิทย์ แถลงว่าผลการสอบสวนปัญหาที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิใกล้จะเสร็จแล้ว ซึ่งในวันที่ 28 ก.พ.นี้ กรรมาธิการฯ จะสรุปปัญหาทั้งหมดอีกครั้งก่อนส่งให้ที่ประชุม สนช. ให้ความเห็นชอบ ส่วนการที่กรรมาธิการฯ เสนอให้ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วกลับไปใช้ดอนเมืองเพราะเห็นว่าได้พบปัญหาทั้งรันเวย์และแท็กซี่เวย์ แต่การ ย้ายหรือไม่ย้ายเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งนี้ กรรมาธิการฯ เห็นด้วยกับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณ มิตร ประธานบอร์ด ทอท. ที่ให้หาผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และวงการการบินนานาชาติมาศึกษาปัญหาในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เนื่องจากสนามบินในประเทศเหล่านี้ตั้งอยู่บนแหล่งน้ำ หรือทะเล จึงมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา
เผยต่อตระกูลแจงไม่เคลียร์
คณะกรรมการชุดนายต่อตระกูล ยมนาค เป็นประธาน ใช้เวลาศึกษาปัญหาในสนามบินสุวรรณภูมิ 2 สัปดาห์ แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ชัดแจ้งทุกประเด็น และยังสรุปไม่ได้ว่าปัญหารันเวย์ร้าว และแท็กซี่เวย์ทรุดเกิดจากอะไร จากพื้นที่ความเสียหายครั้งแรกที่มีแค่ 71,630 ตารางเมตร มาถึงวันนี้ขยายเป็น 97,000 ตารางเมตร รัฐบาลจะรับประกันว่าจะควบคุมพื้นที่ความเสียหายไม่ให้ขยายเกินกว่านี้ได้หรือไม่ รวมทั้งจะใช้เทคโนโลยีและวิธีการแก้ไขแบบใด ดังนั้นจะต้องชี้ให้ชัด เพื่อให้ทราบปัญหาอย่างแท้จริงจะได้ แก้ไขได้ถูกต้อง วันที่ 20 ก.พ. นี้ กรรมาธิการ จะได้เชิญนายต่อตระกูล มาชี้แจงถึงผลการศึกษาต่อไป พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ย้ำ
สหภาพบินไทยวอนทบทวน
ก่อนหน้านี้นายสมศักดิ์ ศรีนวล รักษา การประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย พร้อมกรรมการสหภาพฯ 9 คน เข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่าน ร.อ.ทวิช ศุภวรรณ หัวหน้ากองรับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ทบทวนมติครม.เรื่องการเปิดใช้สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติ โดยขอให้เปิดใช้เป็นสนามบินภายในประเทศ หรือใช้ประโยชน์อื่นตามผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
อสส.ตั้งทีมพิจารณาชินคอร์ป
ส่วนความคืบหน้าการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หลังที่ประชุมคตส.มีมติเป็นคดีแรก ให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาผู้ถูกกล่าวหาในคดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 3 คน ได้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน วันเดียวกัน นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ยังไม่ได้รับสำนวนคดีและความเห็นคตส. ที่จะให้ดำเนินคดีกับคุณหญิงพจมาน กับพวก แต่ทราบว่า คตส. จะส่งสำนวนให้อัยการได้ภายในสัปดาห์นี้ ตนสั่งการให้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ รับผิดชอบตั้งคณะทำงานอัยการที่มาจากฝ่ายคดีพิเศษที่ 1-5 เพื่อรับผิดชอบพิจารณาสำนวน และมีความเห็นสั่งคดีนี้ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
อาจฟ้องทั้งศาลภาษี-อาญา
นายพชร กล่าวต่อว่าส่วนจะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่นั้น จะให้รองอัยการสูงสุดเป็นผู้ควบคุมและพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง ก่อนนำเสนอสำนวนและรายงานความเห็นการสั่งคดีให้ตนทราบเพื่อพิจารณาในชั้นสุดท้าย ซึ่งการพิจารณาสำนวนคดีเพื่อมีคำสั่ง แม้ว่าจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนว่าจะสั่งคดีเมื่อใด แต่การทำความเห็นตนได้สั่งกำชับคณะทำงานแล้วว่าต้องเร่งดำเนินการภายในเวลาอันรวดเร็ว อย่าให้ล่าช้า ทั้งนี้เนื่องจากพฤติการณ์การกระทำผิดเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา และเรื่องภาษี ดังนั้นในการพิจารณาสำนวน หากสุดท้ายอัยการมีคำสั่งให้ฟ้องตามสำนวนและความเห็นของคตส. ก็อาจจะมีการแยกสำนวนฟ้องทั้งศาลภาษี และศาลอาญา อย่างไรก็ดีการจะมีความเห็นว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องนั้น ต้องรอตรวจพิจารณาสำนวนสอบสวน คตส. อีกครั้งว่ามีรายละเอียดอย่างไร
โฆษกแจงขั้นตอนดำเนินการ
ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษก อสส. กล่าวถึงกรณี คตส. มีมติส่งเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป แก่สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ว่า ตามขั้นตอนการรับเรื่องของ อสส. จาก คตส. นั้นจะเหมือนขั้นตอนการรับเรื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คือจะต้องยื่นผ่าน อสส. จากนั้นจะส่งมายังสำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ แล้วส่งต่อไปยังฝ่ายคดีพิเศษ 5 เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานก่อนส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาต่อไป
นายอรรถพล กล่าวต่อว่าส่วนการพิจารณา ส่งเรื่องให้ศาลอาญานั้น คงแล้วแต่รายละเอียดของแต่ละคดีว่าจะต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารมากน้อยเพียงใด แต่เท่าที่ดูแล้วเชื่อว่า คตส. ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ทำงานอยู่มาก และใช้เวลารวบรวมเอกสารอย่างละเอียดแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนตัวในฐานะเป็นอดีตอัยการฝ่ายคดีพิเศษคนแรก คิดว่าหากเป็นคดีที่เป็นข่าวนี้ไม่น่าจะใช้เวลานาน ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่ถึง 1 เดือนแน่นอน อย่างไร ก็ตามหากอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ทางคตส.ก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้เองตามคำสั่งของ คปค.ฉบับที่ 30 อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องเช่นนั้น เพราะ คตส.คงใช้เวลา และความละเอียดในการรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว โฆษก อสส.กล่าว
จากคุณ :
แมวปากมัน
- [
21 มี.ค. 50 03:11:24
A:203.146.148.130 X:
]
|
|
|