PANTIP.COM : P5246921 บุคคลต่อไปนี้ คำพูดการแสดงออกของคนใดที่น่าเชื่อมากที่สุดในความคิดเห็นของคุณ [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 6

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 21 กุมภาพันธ์ 2550 17:46 น.

วงการตำรวจไทยก็ต้องถูกบันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษของสำนักนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ ได้ร่วมกันพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2550 แล้วเห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิด พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา เป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง และมีมติให้ลงโทษ “ไล่ออกจากราชการ”

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550 ป.ป.ช.ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่า พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ได้กระทำการมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ 200 อีกทั้งมีมูลความผิดทางวินัย ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการหรือละเว้นกระทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ม.79 (2) (5) (9)

จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามวินัย ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 92 พร้อมกับส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำเนินคดีอาญา ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 97 จากกรณีการที่ตำรวจสั่งการให้อันธพาลล็อกตัวประชาชนที่ส่งเสียงต่อต้านระบอบทักษิณ และยังปล่อยปละละเลยให้มีการทำร้ายร่างกายผู้บริสุทธิ์ซึ่งหน้าโดยไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้นที่บริเวณห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า เมื่อวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2549

การระบุว่ามีมูลความผิด “ฐานประพฤติชั่วร้ายแรง” อันนำไปสู่การ “ไล่ออกจากราชการ” ก็จะถูกลงบันทึกประวัตินี้ให้ติดตัวไปจนยากที่จะไปสมัครงานในกิจการของรัฐหรือเอกชนที่สุจริตได้ และยังต้องไปเผชิญหน้ากับการดำเนินคดีความอาญาอีกมากมายที่รออยู่เบื้องหน้าเฉพาะการถูกดำเนินคดีความอาญาตามมาตรา 157 ก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีแล้ว

ยังไม่นับบทลงโทษทางสังคมที่รุนแรง เมื่อมีข่าวว่ามีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์ไปที่บ้านก่นด่าสาปแช่งให้ครอบครัว “เทพจันดา” ต้องได้ยินไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ตลอดจนภรรยาและลูก ยังไม่นับคนที่โพสต์แสดงความคิดเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่บอกเบาะแสทั้งเบอร์โทรศัพท์และสถานที่อยู่อาศัยของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา

ตัวอย่างนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากเพราะมีความหมายใน “เชิงสัญลักษณ์” ในการต่อสู้ระหว่างสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่แสดงความคิดเห็นขับไล่ผู้นำประเทศโดยปราศจากอาวุธ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำตามคำสั่งรับใช้เจ้านายที่เป็นนักการเมืองสั่งอันธพาลทำร้ายร่างกายประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้สิทธิเสรีภาพในวันนั้นเป็นคนที่ไม่มีทางต่อสู้ด้วยกำลังได้ ไม่ว่าจะเป็น ชายชรา 2 คน อาจารย์สอนหนังสือ 1 คน และผู้หญิงอีก 1 คน

สำหรับหลักฐานที่มีความสำคัญที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือช่างกล้องวิดีโอของ ASTV ที่อยู่ในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า และสามารถถ่ายภาพบทสนทนาชิ้นสำคัญที่สุดระหว่าง พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา กับอันธพาลอีก 3 คนได้แก่ นายจรัญ จงอ่อน (มีฉายาว่า “ใต้”) นายชัยสิทธิ์ ลอะม๊ะห์ (มีฉายาว่า “เล็ก สตาร์”) และนายปอ

จากการถอดเทปบันทึกคำต่อคำของ ASTV ก่อนการปฏิบัติการรุมกระทืบและทำร้ายประชาชน พบว่า พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา สั่งการให้อันธพาลที่มีประวัติเป็นอาชญากรค้ายาเสพติดล็อกตัวประชาชนผู้บริสุทธิ์เอาไปทำประวัติ เช่น “ทำไม คนเสื้อเหลือง ทำไมถึง:-)ล็อกไม่ได้วะ” หรือ “คนเสื้อเหลืองที่มันคู่กับสีแดง” หรือ “มึรงไปหามันให้เจอ ล็อกๆๆ เดี๋ยวจะเอาไปทำประวัติ” เป็นต้น

การถ่ายของช่างกล้องคนดังกล่าวไม่ได้รู้ด้วยซ้ำไปว่าคนที่สนทนาเป็นใคร และเป็นการถ่ายแบบสุ่มตัวอย่างไปยังกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่สนทนากันในวันนั้น ในขณะที่กล้องตัวอื่นๆ มักจะถ่ายในภาพเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายเป็นสำคัญ

คืนวันที่ 21 สิงหาคม 2549 ASTV ต้องจัดรายการพิเศษกันทั้งคืน ปรากฏว่ามีประชาชนจำนวนมากช่วยกันบอกเบาะแสผ่านทางโทรศัพท์ เอสเอ็มเอส การโพสต์ความคิดเห็นในเว็บไซต์ของผู้จัดการ จนทำให้ทราบได้ว่าภาพที่เห็นการสนทนาก่อนการล็อกและการรุมทำร้ายประชาชนนั้น เป็นตำรวจที่มีชื่อว่า พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา

นี่คือพลังประชาชนที่ปฏิบัติตัวเหมือนเป็น “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ที่นอกจากจะบอกเบาะแสในเรื่องของบุคคลในภาพอีกหลายคนแล้ว ยังสังเกตเห็นรายละเอียดการใส่สายรัดข้อมือและรองเท้าสีขาวว่าเป็นกระบวนการวางแผนระดมคนมาจากหลายชุมชนเพื่อมาทำร้ายร่างกายประชาชนที่ส่งเสียงต่อต้านระบอบทักษิณเป็นการเฉพาะ โดยมีพฤติกรรมเหมือนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับใช้ระบอบทักษิณสมรู้ร่วมคิดและรู้เห็นเป็นใจในการกระทำดังกล่าวด้วย

เมื่อนำภาพและเสียงที่บันทึกได้มาสวมหูฟังและเร่งเสียงจนสูงสุดในห้องส่ง ASTV ก็ปรากฏว่าบทสนทนานั้นมีเสียงเบา แต่อยู่ในวิสัยที่สามารถได้ยินได้จนสามารถถอดคำสนทนามาเป็นคำบรรยายใต้ภาพได้เกือบสมบูรณ์

24 สิงหาคม 2549 หลังเหตุการณ์ผ่านไป 3 วัน พล.ต.ต.กมล แก้วสุวรรณ รอง ผบช.น. หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ดังกล่าวให้สัมภาษณ์ว่าได้สอบถามเรื่องนี้กับ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดาแล้วได้ปฏิเสธว่า ไม่ได้สั่งการ หรือมีส่วนรู้เห็น ที่ยืนคุยเพราะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นมาช่วยปฏิบัติงาน ตอนนี้ยังไม่ต้องตรวจสอบ เพราะไม่มีใครมาร้องทุกข์ และคำพูดที่ปรากฏตามสื่อก็ไม่ชัดเจน และยังพูดปกป้องอีกว่า “ตำรวจไม่ได้ไปใช้งานคนพวกนี้ ตำรวจไม่ได้ไปเอาพวกนี้มา เค้ามาเอง เค้าบอกว่าเค้ารักนายกฯ”

ขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ไว้เป็นหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดบ้างช่วยปกป้องกรณีดังกล่าวหรือไม่?

25 สิงหาคม 2549 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปมอบหลักฐานวีซีดีและภาพและคำบรรยายระหว่าง พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ที่สนทนากับอันธพาลที่ทำร้ายประชาชนให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏว่าเรื่องนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารต่อมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

22 กันยายน 2549 (หลังรัฐประหาร 3 วัน) สำนักงานตำรวจแห่งชาติยื่นเรื่องดังกล่าวพร้อมหลักฐานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อพิจารณา

25 ตุลาคม 2549 1 เดือนนับจากวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยื่นหลักฐานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากจะไม่ได้มีการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนหรือพักราชการพ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดาแล้ว พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. กลับได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา จากผกก.สส.บก.น.6 เลื่อนตำแหน่งเป็นรอง ผบก.อก.บช.น. เป็นการเลื่อนตำแหน่งจากผู้กำกับมาเป็นรองผู้บังคับการ ท่ามกลางการปฏิเสธความรับผิดชอบจากทุกฝ่ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6 พฤศจิกายน 2549 (13 วันนับจากวันเลื่อนตำแหน่งให้ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา) พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ย้าย พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา รอง ผบก.อก.บช.น. เป็นรอง ผบก.อก.สนว.ตร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อันเป็นการโยกย้ายที่อาจเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะหากยื่นวีซีดีให้สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบเมื่อใดก็อาจจะรายงานทุกครั้งไปว่า “ไม่ได้ยินเสียง และไม่ชัดเจน”

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการฯ อนุกรรมการดังกล่าวใช้วิธีเผชิญสืบเดินทางมา ASTV ฟังเสียงด้วยตัวเอง และยังมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นครูโรงเรียนคนหูหนวกอ่านริมฝีปากการสนทนาจนเป็นที่แน่ชัดว่า พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ได้สั่งการอันธพาลที่มีประวัติเป็นอาชญากร 2 คนให้ล็อกตัวประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งต้องขอคารวะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และอนุกรรมการไต่สวนที่ให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคมได้ในท้ายที่สุด

“การไล่ออกจากราชการ” และ “การถูกดำเนินคดีความอาญา” คงจะไม่มีใครช่วยเหลือได้ แต่ก็คงจะมีคนในสังคมอีกไม่น้อยก็จะยังคงต่อว่าต่อขานการกระทำของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดาผ่านคนในครอบครัว “เทพจันดา” ต่อไป อันเป็นการลงโทษทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“การขอโทษ” ยอมรับผิดต่อสังคมตลอดจน “มีความกล้าหาญในการซัดทอดผู้บงการที่แท้จริง” อาจจะเป็นหนทางเดียวที่อาจจะพอเยียวยาทางสังคม และอาจจะพอล้างบาปให้กับตัวเองและครอบครัวได้

น่าเสียดายเมื่อปลายเดือนที่แล้ว พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา “เบี้ยวนัด” ที่จะมากราบขอขมาผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกายที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า และไม่ประกาศยอมรับผิดและพูดความจริงถึงคนบงการที่แท้จริงต่อหน้าสื่อสารมวลชน

คนทำร้ายคนในครอบครัว “เทพจันดา” จึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจะต้องตั้งคำถามเอาเองจากอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ถูกไล่ออกจากราชการที่ชื่อ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา!

จากคุณ : maneomicz - [ 22 มี.ค. 50 07:00:41 A:124.157.185.121 X: ]