วิเคราะห์เศรษฐกิจ ร้างกันทั่วประเทศแล้วนะพี่ทวีวุฒิ
เมื่อตอนชวนต่อกรอยู่กับทักษิณ ในการเลือกตั้งเมื่อสักเจ็ดปีที่แล้ว ทักษิณ ด่าชวนไว้เจ็บแสบที่สุด ทักษิณบอกว่า ชวนเหมือนทนายความต่างจังหวัด ที่ผู้คนเคารพมากมาย แต่จะให้มาบริหารเศรษฐกิจไทย ในยุค Globalization และ เพิ่มขึ้นของความสลับซับซ้อนของธุรกิจไทย มันเป็นไปไม่ได้ แล้วทั้งสองคนก็เถียงกันต่อเรื่อง คนกินเงินเดือน กับ เจ้าของกิจการ ที่แน่ๆ คือหลังจากนั้น ทักษิณใช้ ๐ทักษิโนมิกส์ กอบกู้เศรษฐกิจขึ้นมาได้จริงๆ ส่วนพลพรรคปชป เป็นปีๆเลยหลังมันฟิ้น ยังออกมาด่ายับ ว่าฟื้นไม่จริง หลังจากเห็นว่าฟื้นจริง ก็ด่าต่อด้วยว่า จะเหมือนอาเจนตีน หลังจากไม่เหมือนอาเจนตีน ก็ด่าต่อว่า ไม่พอเพียง นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของบทความนี้นะครับ
ท่านที่อ่านผมมามาก ก็ทราบนะครับว่าผม ไปถกปัญหาบ้านเมืองกับ ลูกหม้อเกรดเอของสนธิ ลิ้มทองกุลมา ลื้อบอกมาสิว่าทหารปฏิวัติไม่ดีตรงไหน แต่ไม่ต้องไปพูดถึงอุ๋ยนะ นั่นมันช่วยไม่ได้ ผมก็เลยหันไปพูดกับ เพื่อนรัก ที่เป็นลูกหม้อสนธิว่า คอยดูอุ๋ยคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น สาเหตุก็มาจากจุดต่างๆที่ผมจะ ดึง ออกมาให้ท่านเห็นนะครับ ที่มันมีลางมาสักพักแล้ว ตั้งแต่การล้มไปของทักษิณ ที่ผมเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงสามฉบับ ว่าด้วยเรื่องอะไรจะมาแทนที่นโยบายทักษิณ และถ้าสนธิ ลิ้มทองกุลมีอำนาจ นโยบายจะเป็นอย่างไร
แต่ก่อนอื่น ตอนนี้เราจะมาโทษอุ๋ยคนเดียวแล้วไม่ได้นะครับ มีธนาคารชาติ รัฐมนตรีคลังคนใหม่แล้ว แล้วยังมีทีมเศรษฐกิจ แล้วยังมีแบบนายกบอกเอง คือคุมอยู่อีกที พูดง่ายๆ ตอนนี้รับผิดชอบกันเต็มๆแล้วนะ ก็ขอให้เพื่อนรัก ลูกหม้เกรดเอ กรุณาอย่ากันใครออก ในการให้ผมด่ารัฐบาลของคณะปฏิวัติอีกเลยนะ คือมันไม่แฟร์นะ แบบทียู ยูด่าทุกมิติ พอมาถึงทีไอ ยูกันคนออก สรุปคือ ถ้าชาติล้มไป หรือทรุดหนัก ด้านเศราฐกิจ มาตอนนี้มันก็ โยงได้เต็มๆแล้วนะครับ จะมาบอกว่า ธนาคารชาติ อิสระ มันก็ไม่จริงนะครับ คือถ้าไม่ทำตามนโยบายรัฐ เอาออกแล้วแต่ตั้งใหม่ได้นะครับ ฉะนั้นก็รับผิดชอบงานของธนาคารชาติไปเต็มๆด้วย เพราะปล่อยเขา คุมเกม เอง
ตรั้งที่แล้ว ที่ทุนธนาคาร และ นักวิชาการแบบฉลองพบ ครองเมือง มันก็ตอนวอดวายไปนะครับ แล้วก็ช่วงหลงทางกับไอเอ็มเอฟเป็นปี ก็ไม่ต้องมองไกลนะครับ สาเหตุที่ ทีดีอาร์ไอ ไม่ชอบทักษิณเอามากๆ ก็เพราะทักษิณด่าเอาไว้ว่า สถาบันวิจัยที่ดีที่สุดของไทย ยังป้องกันปัญหาไม่ได้ ไม่เตือนใครเลย และยังแก้ไขผิดอีกด้วย แล้วทักษิณก็ไม่เคยใช้นักวิชาการอีกเลย แล้วพวกนี้ก็ย้อนกลับมาอีกที ใน ยุคทหารครองเมือง นี่เอง ทั้งนายธนาคาร ทั้งนักวิชาการ เข้ามากันอีกครั้งแล้ว
กลับมาหนนี้ของพวกนี้ โจทย์ บริหารเศรษฐกิจ ที่ว่า หิน อยู่แล้ว ยังยากขึ้นไปอีก มาคราวนี้ กระแสรักชาติ ที่แสดงออกในมาตรการและการกระทำมากมายเกินกล่าวถึง ได้ทำลายความมั่นใจของต่างชาติลงไปมาก นอกจากนี้ กระแสกระบวนการตรวจสอบทักษิณที่เอนเอียง และ ระดับความโปร่งใสไทยที่ตกต่ำลงในตาฝรั่ง ก็สร้างความไม่มั่นใจขึ้นมาอีก กระแสรักชาตินี้ ยังลามไปถึงมาตรการ ยึด สิ่งที่จะเอาคืนแบบ ดิบๆ และการกล่าวหาว่าเอกชนโกง ไปทั่วทุกสารทิศ และกระบวนการยุติธรรมไทย ที่กลายเป็น Activist ก็กำลังสร้างปัญหาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่นการจะไปร้องศาลปกครอง ให้ระงับ เอฟทีเอญี่ปุ่น ความไม่มั่นใจในไทย เลย กระฉูดขึ้น
นอกจากนี้ ความด้อยในการเป็นผู้นำของทีมเศรษฐกิจ ยังทำให้นโยบายรัฐที่รวมถึงธนาคารชาติ ขัดขากันจนล้มไปเอง เช่นนโยบายดอกเบี้ย นโยบาย 30% นโยบาย นอมินี นโยบายปกป้องบาทอื่นๆ ที่ก็รวมไปถึงนโยบายสภาพคร่อง และเงินเฟ้อ นอกจากนี้ในการเป็นทุนธนาคารเอง ก็มีการปกป้อง ส่วนต่างดอกกู้และฝาก ให้อยู่ในส่วนสูง เพื่อกำไรธนาคาร และสิ่งที่กำลังตอกย้ำ ความไม่มั่นคง คือการเสนอตั้ง กองทุนวายุพัก ออกมาอีกครั้ง
สรุปรวมคือ แทนที่รัฐจะกำลังส่งเสริม เศรษฐกิจ ด้วยมาตรการเชิงรุก ที่เอื้อต่อเอกชน รัฐกำลังทำตัวเป็น ศัตรู ของภาคเอกชน ความจริงนี้ ก็เกิดขึ้น เป็นมุมกลับ ต่อความคิดที่ว่า นักธุรกิจ เหมาะที่สุดที่จะเข้ามาบริหารเศรษฐกิจ เพราะรู้จริง มันเป็นกระแสตอบรับว่านักธุรกิจนั้นคดโกง ถึงแม้ว่าการใช้กฏหมายให้ฉลาด หรือการผิดกฏระเบียบเล็กๆน้อยๆ จริงๆแล้วไม่มีสาระอะไรมาก นอกเหนือไปจากการนำมาใช้ ปลุกกระแส นักการเมืองต้องไม่เลวเหมือนนักการเมืองทรท ที่ไม่มีจริยธรรม และ จรรยาบรรณ คือถ้าไปมองทั่วโลกกันจริงๆแล้ว ฉลาดกับกฏหมาย ผิดระเบียบเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรในระดับ ปกครองชาติ เลย
แต่สิ่งพวกนี้ สิ่งเล็กน้อยพวกนี้ ที่มองดูแล้วยิ่งใหญ่มากในตาคนเกลียดทักษิณ และกำลังถูกขยายความให้ยิ่งใหญ่พอเป็นสาเหตุปฏิวัติได้ กำลังจะลากเศรษฐกิจไทย ลงเหว เพราะอะไรหรือ ก็เพราะ ในการบริหารประเทศ ความคร่องตัวสูง ความมีอำนาจสั่งการได้ ความรวดเร็วและทันการ ความรู้ซึ้งซึ่งโลกรอบตัว และความสามารถแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างสร้างสรรค์ มีความสำคัญมากต่อระบบเศรษฐกิจ
สิ่งที่เขียนมาก็ทราบๆกันดีในแวดวงธุรกิจนะครับ รัฐบาลเขาก็ทราบ เพียงแต่ว่า กรอบใหญ่ ที่จำกัดเศรษฐกิจตอนนี้ มันก็เหมือนที่ผมเขียน เตือน มานานแล้ว ว่าระวังให้ดี กรอบใหญ่ที่จะมาคือ ต่อต้านทุนนิยม ต้อต้านโตเร็ว ต่อต้านต่างชาติ ต่อต้านบริโภคนิยม ต่อต้านวัตถูนิยม ต่อต้านนักธุรกิจนิยม ต่อต้านการค้านิยม คือ กรอบใหญ่ คือ พอเพียง ฉบับตามใจฉัน ไม่ใช่ตามพ่อหลวง ที่ตรัสไว้ว่าให้นำมาใช้บ้างเท่านั้น ในภาพรวมขณะนี้คือ มอนิเทริส หรือ จำกัดเงินในระบบให้พอเพียง นั้น ถูกนำมาใช้ และ กระแส เคนเซี่ยน ที่บอกว่าต้องกระตุ้น แบบที่ทักษิณใช้ ตกขอบไปแล้ว
ก็ต้องมาดูกันนะครับ ผมยังไม่มีข้อสรุปให้ นอกจากจะเล่าให้ฟังว่า เพื่อนที่มีรีสอร์ตต่างจังหวัดห้าหกแห่ง พึ่งโทรมาบอกเอง ว่า มันร้างมากตั้งแต่ทหารทำมันพัง และกำลังจะปลดพนักงานแล้ว
จากคุณ :
ทันคนทันข่าว
- [
26 มี.ค. 50 13:33:59
A:58.9.28.111 X:
]