Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    บทความวิจารณ์ คิงเพาเวอร์ที่ทุกคนควรทราบ

    ฉีกสัมปทานคิง เพาเวอร์ คลี่ปฏิบัติการทอท. ฮาราคีรีตัวเอง [26 มี.ค. 50 - 19:06]ไทยรัฐ

    มติของคณะกรรมการบอร์ด บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ให้ฉีกสัญญาสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีและสัญญาการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่ง ทอท.ได้ลงนาม กับ บริษัทคิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยระบุว่า สัญญาที่ทำไว้เป็นโมฆะ ตามผลการวินิจฉัยชี้ขาดของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น

    นับเป็นอีกเรื่องที่ได้ ทำลายความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลงอย่างสิ้นเชิง และเกือบไม่เหลือไว้ซึ่งความภาค ภูมิใจใดๆของคนไทย และประเทศไทยอีก ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกในรอบ 90 ปี ที่ประเทศไทยเพิ่งจะมีสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่สามารถอวดโฉม แก่นานาอารยประเทศได้อย่างไม่อายก็ตาม

    ไม่เพียงแต่เท่านั้น มติดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รู้ และไม่เข้าใจในหลักการบริหารราชการแผ่นดิน หลักความรับผิดชอบอันพึงมีของภาครัฐ หรือแม้แต่ความเข้าใจในหลักกฎหมายที่ต่างก็พยายามอ้างว่า สัญญาสัมปทานนี้ผิดเงื่อนไขของตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ (ร่วมทุน) พ.ศ.2535

    แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นภายใต้สัญญาฉบับนี้ จะดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลานับแต่เปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นต้นมา ในขณะที่ บมจ.ทอท.ก็รับเงินค่าตอบแทนต่างๆทั้งในส่วนที่ชำระล่วงหน้าไปแล้วเป็นเงินเกือบ 5,000 ล้านบาท และในส่วนของผลประโยชน์รายเดือนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทไปแล้ว

    แต่บอร์ดซึ่งมี พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผช.ผบ.ทบ.เป็นประธาน ก็ยังประสงค์จะฉีกสัญญาทิ้ง โดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นแก่กิจการของสนามบินสุวรรณภูมิเอง แก่ บมจ.ทอท. ในฐานะที่เป็นเจ้าของและผู้ลงทุน หรือแก่ภาคเอกชน และร้านจำนวนกว่า 200 ราย โดยเฉพาะกับคิง เพาเวอร์ ที่จะต้องได้รับความเสียหาย

    ในขณะที่สังคมต่างกำลังเฝ้ามองดูว่า ผลพวงจากการยกเลิกสัมปทานดังกล่าวจะลงเอยอย่างไร และจะสร้างปัญหาในลักษณะที่กลายเป็น “ค่าโง่” เฉกเช่นโครงการอื่นๆที่รัฐบาล “ขิงแก่” ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้หรือไม่

    ที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แก่การประกอบกิจการ สัมปทาน หรือการทำสัญญากับรัฐหรือไม่อย่างไรในอนาคต ถ้าทุกสัญญาจะถูกฉีกทิ้งแล้วทำใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล

    ทีมเศรษฐกิจ ขอถือโอกาสนี้เจาะลึกถึงที่มา-ที่ไป และมูลเหตุพื้นฐานของมติบอร์ด ทอท.ที่ระบุให้สัญญาการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ต้องตกเป็นโมฆะ ว่าปมปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลหรือไม่ ดังรายละเอียดต่อจากนี้

    ปูมหลังของสัญญาสัมปทาน

    กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ทำสัญญากับ บมจ.ทอท. 2 สัญญาด้วยกัน โดยสัญญาที่ 1 ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ทอท.ชุดที่มี นายศรีสุข จันทรางศุ ในฐานะประธานบอร์ด ทอท.ขณะนั้น มีมติให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เป็นผู้ชนะเงื่อนไขการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ที่สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินภูเก็ต, สนามบินเชียงใหม่และ สนามบินหาดใหญ่ และได้มีการลงนามในสัญญากับ ทอท. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2547

    และต่อมาบอร์ด ทอท. ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2548 ให้บริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในการประกอบกิจการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิในพื้นที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร มีกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างเป็นทางการ

    ก่อนเข้าประมูลในโครงการดังกล่าว บรรดาบริษัทเอกชนต่างก็สอบถามเป็นลายลักษณ์อักษรไปยัง ทอท.แล้วว่า การดำเนินงานตามโครงการนี้เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯปี 2535 หรือไม่ ซึ่ง ทอท.ตอบกลับมาว่า พ.ร.บ.ร่วมทุนฯอยู่นอกเหนือจากขอบเขตของข้อกำหนดโครงการฉบับนี้ แต่การทำมติดังกล่าวกลับกลายเป็นมูลเหตุให้สัญญาดังกล่าวต้องตกเป็น “โมฆะ” ในเวลาต่อมา

    ปริศนาคำวินิจฉัยกฤษฎีกา

    กับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่มีไปถึง ทอท.เพื่อตอบข้อหารือของบอร์ดชุดนี้ว่า สัญญาประกอบกิจการร้านค้าปลอดภาษี และสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสุวรรณภูมิต้องดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯหรือไม่นั้น

    เป็นที่น่าสังเกตว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้มีคำวินิจฉัยใดๆ ที่ชี้ชัดลงไปแม้แต่น้อยว่า ทั้ง 2 สัญญาต้องอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯดังกล่าว เพราะสิ่งที่ ทอท.สอบถามไปเป็นเพียงการสอบถาม ในวิธีการคำนวณมูลค่าเงินลงทุนว่า ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ หรือไม่ และการทำสัญญาทั้ง 2 ฉบับที่ผ่านมาถูกต้องตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ. ร่วมทุนฯหรือไม่เท่านั้น

    แม้ ทอท.จะหยิบยกรายงานการคำนวณมูลค่าการลงทุนฉบับใหม่ ขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อหักล้างกับผลการวิเคราะห์ และประเมินมูลค่าเงินลงทุนฉบับเดิมที่สถาบันทรัพย์สินทางปัญญา ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำไว้ จนได้ข้อยุติว่า สัญญาทั้ง 2 ฉบับมีมูลค่าการลงทุนร่วมระหว่างรัฐกับเอกชนไม่ถึง 1,000 ล้านบาท โดยสัญญาร้านค้าปลอดภาษี 5,000 ตารางเมตร มีมูลค่าลงทุน 813 ล้านบาท ส่วนสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ 20,000 ตารางเมตร มีมูลค่าการลงทุน 807 ล้านบาท

    โดยอ้างว่า มีการใช้พื้นที่ประกอบกิจการทั้ง 2 สัญญาเพิ่มขึ้น จาก 5,000 ตารางเมตร เป็น 11,000 ตารางเมตร และ 20,000 ตารางเมตร เป็น 25,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุนจึงต้องเพิ่มขึ้น ถึงแม้พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นส่วนของพื้นที่จัดเก็บสินค้า เป็นพื้นที่งานระบบ หรือแม้แต่เป็นพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นตามความประสงค์ของผู้บริหาร และของบอร์ด ทอท.ก่อนหน้า เช่น พื้นที่อาคารภายในที่บรรดาสายการบินต่างๆ แจ้งขอยกเลิกการใช้ หรือพื้นที่ในมุมอับที่ปลอดจากกิจกรรมการบิน เป็นต้นก็ตาม

    แต่ก็ไม่มีข้อความใดในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้ถือเอาการเปลี่ยนใจ และเปลี่ยนนโยบายภายใต้ความอคติทางการเมืองของบอร์ด ทอท.ไปเป็นหอกดาบลงโทษเอกชนในฐานะคู่สัญญาที่ให้ผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งยังไม่เคยปฏิเสธเงื่อนไข หรือบิดพลิ้วต่อความประสงค์ทุกกรณีของ ทอท.มาตลอด

    มองตามข้อเท็จจริง หากมติที่ระบุให้สัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง ทอท. กับคิง เพาเวอร์ เป็นโมฆะ มีขึ้นด้วยเหตุผลเพราะการทุจริต ในหลักการของความรับผิดชอบ และกฎหมาย บอร์ด ทอท. ก็จะต้องจัดการกับคนของตน ไล่ตั้งแต่อดีตผู้บริหาร ประธานบอร์ด ไปจนถึงผู้เกี่ยวข้องทุกรายทั้งในทางแพ่งและอาญา แต่หาใช่ไปเล่นงานเอกชนที่เข้าไปลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิไม่

    ยิ่งพิจารณาแล้วว่า สัญญาไม่ได้ดำเนินการภายใต้การทุจริต ก็ต้องถือว่าสัญญานั้นๆกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย หากแต่เป็นเพราะรัฐต่างหากที่เอาเกมการเมืองและผลประโยชน์ใหม่เข้ามาเล่น ภาคเอกชนก็ยิ่งมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะฟ้องกลับ เมื่อสภาพการณ์ทำให้รู้สึกเหมือนโดนภาครัฐหลอกต้มตุ๋นให้เข้าไปลงทุน แล้วฉีกสัญญาทิ้งเพื่อประสงค์จะหาผู้ไปร่วมลงทุนรายใหม่

    ความล่มสลายของ ทอท.

    แม้บอร์ด ทอท.จะโยนบาป และความรับผิดชอบในคำตัดสินของตนไปให้คณะรัฐมนตรี อัยการสูงสุด และกระทรวงคมนาคม พิจารณากันเองว่า จะบอกเลิกสัญญากับคิง เพาเวอร์ อย่างไร ขณะที่กระบวนการพิจารณาในเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ผลของคำตัดสินได้สั่นสะเทือนบรรยากาศของเศรษฐกิจและการลงทุนไปทั่ว

    นักธุรกิจหลายคนระบุว่า เรื่องนี้ใหญ่จนมันทำลายความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจประเทศไทยให้มลายไปในชั่วพริบตา เซ็นสัญญาแล้ว แต่ไม่มีการปฏิบัติตามสัญญา ถ้าทำอย่างนี้ทุกเรื่อง เราจะเอาอะไรมาเป็นหลักของประเทศ แม้แต่หน้าตาของประเทศก็ยังหมดรูปลงไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นแทนที่ในหมู่ประเทศคู่แข่ง ขณะที่พันธมิตรคู่ค้าจากต่างประเทศเบนเเข็มไปคุยกับสนามบินคู่แข่งอย่าง เช็ค แลป ก็อก และชางฮี แทน หากคิง เพาเวอร์ อยู่ในสภาพซวนเซจากการถูกบอกเลิกสัญญา

    ส่วนธนาคารเช่นไทยพาณิชย์และทหารไทย ในฐานะผู้ให้สินเชื่อเงินกู้เพื่อการลงทุนมูลค่า 27,000 ล้านบาท ของคิงเพาเวอร์คอมเพล็กซ์ ขอชะลอการเบิกจ่ายเงินเพื่อการก่อสร้างโรงแรม และโรงละครในซอยรางน้ำ ถึงแม้ผู้บริหารของธนาคารทั้ง 2 แห่ง จะยังคงยืนยันว่า คิง เพาเวอร์ เป็นลูกค้าที่ดีมาตลอดก็ตาม

    ในข้อเท็จจริงที่พิจารณาจากโครงสร้างรายได้และรายจ่ายของ ทอท.ในปี 2550 ยังพบด้วยว่า หากต้องเลิกสัญญา นอกจาก ทอท.จะต้องคืนเงินค่าผลตอบแทนที่ชำระล่วงหน้าเกือบ 5,000 ล้านบาท ให้แก่คิง เพาเวอร์ ในทันทีแล้ว ทอท.ยังต้องแบกรับภาระรายจ่ายต่างๆ โดยเฉพาะในการ บริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง รวมถึงสนามบินต่างจังหวัดทั่วประเทศอีกหลังแอ่น

    เฉพาะในปี 2550 มีการประเมินรายจ่ายไว้สูงถึง 44,000 ล้านบาท ขณะที่มีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เจบิคในวงเงินรวมถึง 79,000 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น จากมติ ครม.ที่ให้กลับไปเปิดใช้สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติคู่แฝดใหม่ อีกครั้ง ภายใต้นโยบาย 1 ระบบ 2 สนามบินของรัฐบาลขิงแก่ ยังได้ส่งผลให้รายจ่ายของ ทอท.ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะต้องประสบกับปัญหาการขาดทุน จากการใช้สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากต้องมีค่าใช้จ่ายของสนามบินดอนเมืองเพิ่มขึ้น 1,500 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่อาจจัดเก็บรายได้ไม่ถึงปีละ 1,000 ล้านบาท

    ในส่วนของรายได้ซึ่งฝากความหวังไว้กับส่วนแบ่งรายได้ จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของการให้เช่าพื้นที่ของร้านค้าปลอดภาษี และค่าเช่าร้านค้าทั่วไป ซึ่งจัดเป็นรายได้หลักที่สูงถึง 40-50% ของรายได้ทั้งหมด มากกว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินที่ตั้งประมาณการไว้ถึง 34% นั้น ประเมินกันว่า ทอท.จะขาดรายได้ในส่วนของร้านค้าปลอดภาษีเป็นอย่างต่ำปีละ 1,500 ล้านบาท ขณะที่จะขาดรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ไปปีละ 1,500 ล้านบาท

    ตลอดระยะเวลา 10 ปี อาจมีมูลค่าไม่ต่ำ 30,000 ล้านบาท

    ที่อาจทำให้กิจการของ ทอท.ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ก็ตรงที่นักกฎหมายส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่า การทำให้สัญญาเป็นโมฆะ จะมีผลให้ผู้ประกอบกิจการร้านค้าต่างๆมีสิทธิที่จะค้าขายต่อไป โดยไม่ต้องนำส่งรายได้ให้กับ ทอท. จากปัจจุบันที่กำหนดว่า ทุก 100 บาท ทอท.จะต้องได้ค่าพื้นที่กินเปล่า 15 บาท

    เท่ากับรายได้หลัก 40-50% ของ ทอท.สูญไปในทันที!!

    สำหรับ “ทีมเศรษฐกิจ” แล้ว สิ่งที่บอร์ด ทอท.ได้ตัดสินใจลงไปในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นทางออกที่เลวร้าย ทั้งกับสถานะทางการเงินของ ทอท.และบริษัทคู่สัมปทานแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ทำลายเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น ชื่อเสียง และเครดิตของประเทศไทยอย่างรุนแรง

    เรายังเป็นห่วงเหลือเกินว่า ในอนาคต หากรัฐบาลจะเรียกระดมการลงทุนจากนักลงทุนในและต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า 3 สายทาง ด้วยพฤติกรรมที่คนของรัฐได้ดำเนินการลงไปกับโครงการสัมปทานของรัฐข้างต้นนั้น นักลงทุนหน้าไหนจะกล้าเข้ามารับสัมปทานหรือเป็นคู่สัญญากับรัฐอีก และถึงกล้าก็ไม่มีสถาบันการเงินใดปล่อยกู้

    เพราะหากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น สัญญาเหล่านั้นอาจจะถูกฉีกทิ้ง เฉกเช่นสัมปทานร้านปลอดอากร และสัมปทานการบริหารกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิข้างต้นก็เป็นได้

    ที่สำคัญที่สุด พฤติกรรมทำร้ายประเทศชาติในลักษณะนี้ ได้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนแล้วสำหรับรัฐบาลชุดนี้ และหากรัฐบาลยังคงดึงดันที่จะใช้จิตสำนึก ที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ กำหนดชะตาของประเทศต่อไป เศรษฐกิจไทย...คงไร้อนาคต

    จากคุณ : sky_watch - [ 27 มี.ค. 50 17:13:37 A:158.108.131.252 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom