ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วันที่ 15 พ.ย. เวลา 10.00-12.00 น .นายไกรสร บารมีอวยชัย รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดร.วิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีดีเอสไอ และนางอัญชลี เต็งประทีป หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมสรุปสำนวนคดีการขายทรัพย์สิน ขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ซึ่งดีเอสไอรับโอนคดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นคดีพิเศษตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.2549 เพื่อสอบสวนว่ามีการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการนำทรัพย์สินของ 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการมูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท หรือไม่ และการดำเนินการของปรส. ขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไขระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ
นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อีก 5 คดี คือ คดีที่ 1.กรณีบริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิ้งค์ ผุ้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท ราคาประมูล 11,520 ล้านบาท คดี ที่ 2 กรณีบริษัทโกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 115,890.96 ล้านบาท ราคาประมูล 22,454.87 ล้านบาท คดีที่ 3-4 กรณีบริษัทเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 1-3 ยอดคงค้างทางบัญชี 64,303.34 ล้านบาท ราคาประมูล 23,176.38 ล้านบาท และคดีที่ 5 กรณีบริษัทวีคอนกลอมเมอเรท จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมวีแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 12,376.73 ล้านบาท ราคาประมูล 3,189.90 ล้านบาท
ดร.วิชช์ แถลงผลการประชุมว่า พนักงานสอบสวนได้ข้อยุติในคดีที่ 1.กรณีบริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิ้งค์ ผุ้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากปรส.แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท ราคาประมูล 11,520 ล้านบาท ซึ่งมีการสอบปากคำพยานบุคคล ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวม 106 ปาก โดยแยกประเด็นการสอบสวนออกเป็นประเด็นข้อกฎหมายและประเด็นข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้หลักฐานถึงวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปสถาบันการเงิน และกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงการจงใจหลีกเลี่ยงภาษี จากการสอบสวนพบว่า มีการดำเนินการหลายกรณี ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น 10 ประเด็น ดังนี้ 1.ปรส.ยินยอมให้นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.เข้าประมูลซื้อทรัพย์สินจากปรส.โดยมิชอบ 2. คณะกรรมการปรส.บางคนมีส่วนเกี่ยวข้อง ปกปิดข้อเท็จจริง กระทำการโดยไม่โปร่งใส 3. ข้อกำหนดของปรส.ที่ให้ผู้ชนะการประมูลโอนสิทธิได้ขัดต่อกฎหมาย 4. การโอนสิทธิของผู้ชนะการประมูล ไม่ชอบ ขัดต่อพรก.ปรส. 5. ข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของคณะกรรมการปรส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 6. คณะกรรมการปรส.และกลุ่มนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.ฝ่าฝืนข้อสนเทศการขายทรัพย์สิน 7. กองทุนรวมที่รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลซื้อทรัพย์สินจากปรส. ยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล 8. มีการทำสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย 9. สิทธิของนิติบุคคลที่ชนะการประมูลไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของปรส. และ 10. ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการปรส.บางคนขาดคุณสมบัติเนื่องจากดำรงตำแหน่งทับซ้อนกับสถาบันการเงินอีกแห่ง
ดร.วิชช์ กล่าวอีกว่า คณะพนักงานสอบสวนมีมติว่า การขายทรัพย์สินของสถาบันการเงินทั้ง 56 แห่ง ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น โดยเกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะเรียกกรรมการปรส.ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องโดยตรงในการขายและนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่กระทำผิดอาญาจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 รายมารับทราบข้อกล่าวหา ฐาน เป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ซึ่งในคดีภาษีอากรต้องระวางโทษจำคุก 3 เดือน -7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท
ที่มา : http://www.dsi.go.th/dsi/news_index.jsp?id=1624
แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 50 22:45:53
จากคุณ :
ศิลาแรง
- [
19 เม.ย. 50 22:19:34
A:124.121.47.170 X:
]