ความคิดเห็นที่ 1 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2 เริ่มหาความรู้ต้องหัดใช้เครื่องมือในการหาความรู้ก่อนนะครับ เรื่องจากหาข้อมูลที่เป็นเอกสาร เพราะเอกสารมักเปลี่ยนแปลงยาก แต่เอกสารในเวปอาจเปลี่ยนแปลงง่าย แต่ก็มักจะมีการระบุที่มาของข้อมูลอ้างอิงดังนั้นทำให้เราสืบค้นต่อได้มากขึ้น และง่ายขึ้น ส่วนเอาข้อมูลจากคนมันเปลี่ยนแปลงและผิดพลาดได้ง่ายครับ จากคุณ : ขยะสังคม - [ 24 เม.ย. 50 00:07:12 A:210.246.81.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอาง่ายๆนะ ไปsearch googleหาเศรษฐกิจอาเจน แล้วมาเปรียบกับไทยดู แล้วก็จะรู้คำตอบเอง เพราะยังไงคำตอบที่เราหาเองมันก็น่าเชื่อมากกว่าคำตอบที่ฟังจากคนอื่นมา http://en.wikipedia.org/wiki/Argentina นี่ของอาเจนครับ แต่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยากน่าอ่านได้ อาเจนเศรษฐกิจที่อย่างดีกว่าไทยหมดยกเว้นเรื่องเดียว มันค่อนข้างเหลื่อมกันมากระหว่างคนจนกับคนรวย แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 50 00:15:27 จากคุณ : NegiSpringfield - [ 24 เม.ย. 50 00:08:14 A:203.156.85.150 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องดูพื้นฐานของ อาเจนติน่า กับประเทศไทยครับ ประชานิยมแบบอาเจนติน่า คือตอนนี้ขายทุกอย่าง แต่เมืองไทยมีกฏหมายไว้แล้ว ไม่งั้น บ.ต่างประเทศไม่ไปเวียดนามหรอกครับ เพราะเรื่องที่ดินหนึ่ง และสัมปทานมีการกำหนดอายุ และมีคณะกรรมการควบคุมเรื่องค่าบริการอยู่แล้ว แต่สำหรับอาเจนติน่า ต่างชาติเหมาล้วน ๆ และอีกอย่าง ผมว่าคุณทักษิณ เห็นอาเจนติน่าเป็นตัวอย่างก้อคงไม่นำประเทศไทย เป็นแบบอาเจนติน่าหรอกครับ เพราะพื้นฐานต่างกันมาก แต่สำหรับ รัฐบาลชุดนี้ผมไม่แน่ใจนะครับ อาจจะทำซะเองแหละครับ จากคุณ : kaspersky - [ 24 เม.ย. 50 00:09:21 A:124.157.205.50 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบยากนะหนู ลองไปหาดูตาม link นั้นดีกว่า น่าจะได้ข้อมูลที่ไม่ผิดเพี้ยนมากกว่า    ถ้าจะถามหาจากที่นี่ ก็จะได้ข้อมูลอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไปถามหาจากเวปเมเนเจอร์ ก็จะได้ข้อมูลอีกอย่าง จากคุณ : มนัญยา - [ 24 เม.ย. 50 00:14:10 A:124.120.163.136 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 รู้แต่ว่าไทยไม่มีทางเป็นแบบอาเจนอ่ะครับ อาเจนเค้าเป็นงั้นเพราะปัญหาเศรษฐกิจ กู้เงินต่างชาติมาแล้ว ไม่มีใช้ เลยต้องขายรัฐวิสาหกิจ  มาใช้หนี้ แต่ถึงไงประเทศเค้าก็เจริญกว่านะ จากคุณ : Makotojr - [ 24 เม.ย. 50 00:14:24 A:58.9.45.104 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ชอบอวดภูมิ(ขี้โม้) โหนกระแส พรีเซ็นต์ตัวเองเกือบครึ่งคอลัมป์  รู้แค่นี้ครับ ขออภัยที่นอกประเด็น จากคุณ : รู้น้อยเหมือนกัน (Ozzman) - [ 24 เม.ย. 50 00:16:09 A:125.24.153.58 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ความเห็นของผม ผมเห็นว่ามีพฤติกรรมบ่างช่างยุ เพื่อสร้างคะแนนเสียงทางการเมือง และมักเขียนบทความสร้างความแตกแยกเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างลัทธิ เชื้อชาติ ศาสนา จากคุณ : วษณ - [ 24 เม.ย. 50 00:28:10 A:202.5.82.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 จะยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ดูนะ หมูมันบอกว่า ห้างค้าปลีกพวโลตัส คาร์ฟูร์ บิ๊กซี จะทำลายชาติ เพราะเงินที่เราจ่ายไปจะไปอยู่กับต่างชาติ 86-90% แล้วอยู่กับคนไทยแค่ 10-14% ทีนี้ก็คิดดูนะ ถ้าผมเป็นผู้ผลิตสินค้าอย่างนึงที่ห้างพวกนี้ขาย แสดงว่า ผมก็ต้องขายของให้ห้างนี้ราคา10บาท แล้วห้างเอาไปขาย100บาทใช่หรือไม่ เงินถึงจะไปอยู่กับต่างชาติ90บาท บ้ากันไปใหญ่แล้ว เงินที่มันจะไปอยู่ในมือต่างชาติคือกำไรนะครับ ไม่ใช่คิดจากราคาขาย มันเพี้ยนหนักจริงๆ มันบอกว่าห้างพวกนี้ขายแต่ของนอก จะบ้าเหรอ ก็ขายของเหมือนร้านขายของชำนั่นแหล่ะ ผมว่าบางที่เรื่องพวกนี้มันไม่ต้องไปค้นคว่าข้อมูลอะไรหรอกครับ แค่เราฟังอย่างมีสติ และใช้เหตุผล เราก็ทราบความจริงแล้วล่ะครับ จากคุณ : ผมเป็นพ่อคนแล้วนะ - [ 24 เม.ย. 50 00:31:19 A:124.157.177.186 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 นิติภูมิ ของเก๊แน่นอนน้อง จับเรื่องนี้มาผูกกับเรื่องนั้น แต่งนิทานไปเรื่อย ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ถ้าเจอมันถามมันเรื่องที่ กาน่า จำคนไทยที่นั้นได้เปล่า จากคุณ : ใบสามสี - [ 24 เม.ย. 50 00:32:14 A:61.19.65.53 X:61.19.65.53, 61.19.65.53 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นกะทู้นี้แล้วคิดถึงป้าเซ็ง ขำคำพูดของแก่อยู่ประโยคหนึ่ง " I หมูใครห้ามด่านะป้าด่าได้คนเดียว ถ้าป้าด่ามันป้าด่าได้ละเอียด "  ป้าแกก็เป็นคนมีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ คำว่าด่าละเอียดของแก คงหมายความว่าด่าได้ไม่ขัดตกบกพร่องไม่เว้นช่องไฟเลยว่าไม๊ จากคุณ : lundi - [ 24 เม.ย. 50 00:42:30 A:124.121.139.79 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 มีแผ่น ของป้าแกด้วยแหล่ะ ไปหาฟังนะหนู ดีที่รู้จักค้นหา ก่อนปักใจเชื่อคนคนนี้ จากคุณ : BrownPuddle - [ 24 เม.ย. 50 00:49:17 A:124.121.105.234 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 น้องครับดูเมืองไทยตอนนี้ กับก่อน วันปฎิวัติเปรียบเทียบดูก็จะรู้ว่าต่างกัน จากคุณ : mandy18 - [ 24 เม.ย. 50 01:45:36 A:58.147.84.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 CD เรื่องอาร์เจนติน่า ของนิติภูมิ น้าได้ดูนานแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของCDนี้ ไม่ใช่ที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว เป็นการวิเคราะห์ที่แสดงความคิดเห็นของคนๆเดียวข้อมูลด้านเดียว (subjective) และ มีอคติ (bias) ตลอดเรื่องอาร์เจนติน่า นิติภูมิเป็นผู้ดำเนินรายการคนเดียว เป็นคนเดียวที่เสนอข้อมูล เขาพาผู้ชมไปดูจุดต่างๆ ตัดต่อภาพเลือกสถานที่เพื่อสนับสนุนข้อคิดเห็นของเขาอย่างเดียว ไม่มีข้อคิดเห็นจากด้านตรงข้าม ข้อมูลอยู่ใต้การควบคุม(control)ของคนๆเดียว ดังนั้นเนื้อเรื่องจะเป็นไปในทิศทางใดก็ได้ แล้วแต่ความคิดเห็นของนิติภูมิจะพาไป หลักฐานความเป็นจริง มีแต่ภาพที่นิติภูมินำเสนอ ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ มีภาพการประท้วง แต่การประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดียวกับที่นิติภูมิบรรยายหรือไม่ ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวนิติภูมิเอง ยกตัวอย่างเช่น นาย ก.ถ่ายรูปตัวเองอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บอกกับทุกคนว่าในรูปนี้เป็นบ้านของเขาเอง  แต่ความเป็นจริงแล้วบ้านหลังนั้นเป็นของนาย ข.  คนอื่นๆได้รับข้อมูลจากนาย ก. เท่านั้น ย่อมเชื่อนาย ก. โดยที่นาย ข. ไม่ได้โต้แย้ง อาจเพราะไม่อยู่ ณ.ที่นั้น และไม่ทราบว่ามีการแอบอ้างเกิดขึ้น ผู้ชมโดยส่วนมาก ไม่มีความรู้เกี่ยวกับประทศอาร์เจนติน่า ความรู้ที่จะใช้ประกอบการวิเคราะห์ทิศทางการบริหารประเทศของประเทศหนึ่ง ใช้มากกว่าความรู้ระดับมัธยม ที่ให้ความรู้พื้นฐานว่าประเทศใดมีทรัพยากรเท่าใด อาณาเขตเท่าใด เป็นต้น ต้องเป็นความรู้ระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขารัฐศาสตร์ ความสัมทพันธ์ระหว่างประเทศ ในระดับปริญญาตรีสาขาดังกล่าว อาจจะยังไม่พอที่จะวิเคราะห์ แต่เป็นจุดเริ่มต้น รัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ จุดกำเนิด ผู้นำ สนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง แม้ไม่ทุกประเทศ แต่จุดมุงหมายของการศึกษาคือ การรู้พื้นฐานของประเทศอื่น เพื่อวิเคราะห์การทิศทางในการตัดสินใจการบริหารประเทศ และนโยบายทางการทูต ของเขา เพื่อทางเราจะได้เตรียมรับมือกับการตัดสินใจ หรือมองเห็นแนวโน้มการตัดสินใจของเขาได้ ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นของสายนี้ หรือในหลักสูตรปริญญาตรีทีมีคุณภาพ จะให้ความรู้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การค้นคว้าทั้งข้อมูลที่สนับสนุน และ หักล้าง การแจกแจงข้อมูล ความน่าเชื่อถือ จากที่มาข้อมูล นิตยสารเพื่อความบันเทิงโดยทั่วไปจะมีความเชื่อถือน้อยกว่าสิ่งพิมพ์วิเคราะห์ และให้ข้อมูลเฉพาะทาง เช่น IEEE (อ่านว่า ไอทริปเปิ้ลอี), วารสารการแพทย์, Havard Business Review, Jane's, Standard and Poor, Value line, Moody เป็นต้น จากที่น้าว่ามาข้างต้นนี้ ถึงวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล อาร์เจนติน่าของนิติภูมิไม่มีการวิเคราะห์ อ้างอิงที่มาที่น่าเชื่อถือเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำพูดของคนๆเดียว ยังมีข้อมูลอีกมากเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสหกิจที่นิติภูมิไม่ได้เอ่ยถึง CD อาร์เจนติน่าของนิติภูมิจึงมีค่าความน่าเชื่อถือเท่ากับบทความในนิตยสารบันเทิงที่ไม่สามารถนำมาอ้างอิงในรายงาน หรือในการวิเคราะห์ได้ ถ้าจะถามว่าเรื่องอาร์เจนติน่าของนิติภูมินี้ จริงหรือไม่ ถึงแม้การนำเสนอจะบกพร่องก็ตาม ในจุดนี้ สำหรับน้าแล้ว ถ้าความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นต่ำ และไม่มีอิทธิพลให้เชื่อถือได้ว่าเป็นจริง แต่จะรับฟังไว้และค้นคว้าเพิ่มเติม น้าขอแนะนำให้ค้นคว้าข้อมูลความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาร์เจนติน่าในปัจจุบันมาศึกษา เชื่อว่าคงมีหลายความเห็นให้ลิ้งในการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว อาจารย์ของหลานทำผิดจรรยาบรรณของครู ด้วยการปล่อยให้นักเรียนที่มีทั้งวุฒิภาวะและวัยวุฒิน้อยสัมผัสสื่อที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ โดยปราศจากการแนะนำ สั่งสอนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นกลาง แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 50 02:21:35 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 50 02:07:42 จากคุณ : เฮ้อจัง - [ 24 เม.ย. 50 02:06:01 A:58.8.52.229 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่าเค้าทำเนื้อเรื่องได้ดีทีเดียวครับ สมแล้วที่จบดอกเตอร์ เชี่ยวชาญเรื่อง propaganda จากโซเวียต จากคุณ : wanchale - [ 24 เม.ย. 50 03:09:52 A:58.8.191.100 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 อาร์เจนฯก็คืออาร์เจนฯ .. ไทยก็คือไทย ปัจจัยหลายๆอย่างมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากคุณ : sound of water - [ 24 เม.ย. 50 04:15:05 A:203.146.63.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 น้องเอ่ยไม่ต้องอยากรู้จักคนเลวหรอกมันไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนเลวไม่มอบ สิ่งดีๆให้แก่ชีวิตน้องหรอก เพียงแต่น้องต้องมองให้ออกว่าคนเลวมีพฤติกรรม เป้นยังไง สังคมของมนุษย์เขายอมรับเพียงไร ดูคนเลวที่คนไทยหัวสูงช่วยกัน ขับไล่ออกนอกประเทศซิ ว่า คนไทยมันโง่หรือบ้ากันแน่ ดูเอานะน้อง http://qatar-conferences.org/democracy2007/program.php จากคุณ : ปลาน้ำร้อน - [ 24 เม.ย. 50 07:10:57 A:203.188.45.84 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ยุดที่ประเทศไทยเทขาย นั้นคือ ปรส. ยุคสมัยใครเป็นรัฐบาล ดูจะอยู่ในโอวาท ของ ไอเอ็มเอฟ จากคุณ : สวัสดิเกียรติ - [ 24 เม.ย. 50 07:23:46 A:125.25.196.212 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 อีกหนึ่งหลักฐาน เรื่องนิติภูมิ สรุปโดยย่อ ปูมหลัง มีเรื่อง ที่มาของเรื่อง ร.ต.อ. ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ข่าวจาก นายเส็งเคร็ง ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ ชื่อเดิม “บุญช่วย (หมู)” นามสกุล “อยู่พร้อม” ขี้โม้ประจำจังหวัดจันทบุรี พูดเรื่องเศร้า เล่าเรื่องเท็จ สร้างภาพเก่ง ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับมาน เพราะความที่มานโม้ว่า หนังสือพิมพ์ที่มานทำอยู่ขาดมานไม่ได้ และข้าราชการทุกหน่วยงาน ที่เป็นใหญ่เป็นโตนี้ ต้องมาขอร้องให้มานช่วยเหลือทั้งนั้น มานจะสั่งอะไรก็ได้ มีคุณยาย ท่านหนึ่งอายุอานามก็ประมาณใกล้เจ็ดสิบปี ถูก ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ ต้องเรียกว่าโกง แล้วหาเรื่องท่านโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วก็ไปชักชวนกุ๊ยคนหนึ่ง กรุ๊ยผู้นี้ปัจจุบันเป็น นักการเมืองท้องถิ่นมีอันดับ ชีวิต ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ และกรุ๊ยผู้นี้คล้ายคลึงกันมาก กรุ๊ยผู้นี้จบแค่ ป. 4 คุณยายเข็นให้มานเรียนจนจบ ม. 6 เรียนลัด ที่โรงเรียนศรีราชา ส่วนนิติภูมินั้นจบ ดร. จอมปลอมไม่ต้องคิดอย่างอื่นให้เสียหัว แค่จะแอ๊กเป็น ดร. ก็ต้อง หลอกลวงคนทั้งโลก มีวิธีการ สร้างเรื่องเลวร้ายใส่ผู้อื่น แล้วเอาดีใส่ตัว นายเส็งเคร็งผู้รู้เรื่อง ของ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ และกรุ๊ยคนนี้ทนดูไม่ได้ ถามคุณยายว่า ทนได้ยังไง คุณยายบอกว่าช่างมาน เสียเงินแล้วอย่าไปเสียหัว เสียหัวไปกับพวกมาน ทำให้ สุขภาพจิตเราเองเสีย ไม่คุ้ม เพราะพวกมานเป็นผู้ด้อยโอกาส ไม่รู้ว่าพวกมานโง่หรือฉลาด มีโอกาสแล้วใช้ไม่เป็น นายเส็งเคร็งรู้และได้เห็นเหตุการณ์ เกี่ยวกับนายกรุ๊ยผู้นี้ อยากได้ อะไร คุณยายไม่เคยขัด คิดว่าเป็นน้อง ส่วน ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ ก็ขอสมัครเป็น ลูกบุญธรรมคุณยาย แต่คุณยายให้ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ เรียกว่าป้า .ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ ต้องใช้คำว่าหลอกลวงและโกงเงินคุณยายไป ยี่สิบกว่าล้าน มีลูกบุญธรรมคุณยายอีกคนเห็นท่าไม่ดี แต่พูดไม่ได้ ก็กันและเอาของคืนมาได้ ห้าล้านกว่า คุณยายบอกว่าของเสียไปแล้ว ได้คืนมาเอาไปให้คนเช่าแล้วเอารายได้ ไปถวายให้ท่านเจ้าคุณวัดสุทัศน์ ไปทำประโยชน์ ช่วยเด็กที่ขาดการศึกษา คุณยาย บอกว่าสมบัติยาย อยู่กับยายไม่เกิดประโยชน์ สุดท้าย ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ เนาวรัตน์ ขอให้คุณยายออกทุน ขายเสื้อผ้าที่ห้างเดอะมอลล์ คุณยายบอกว่าไม่ใช่อาชีพ ของที่จะทำ ทำไมไม่ทำ แล้วนิติภูมิ เนาวรัตน์ มานก็ขอเงินซื้อลิขสิทธิ์ นิยาย ของโสภาค สุวรรณ เรื่องสิคิริยา นิติภูมิคงลืมไปว่ามานเคยบอกคุณยายว่า ช่อง 7 ซื้อลิขสิทธิ์ไป นิติภูมิบอกว่าช่อง 7 ไม่มีปัญญาทำ คุณยายตอบไปว่า กรูยิ่งไม่มีปัญญา นิติภูมิไม่พอใจ มองดูจะต้มคุณยายไม่ได้อีกแล้ว คุณยายไม่ได้สงสัย วันที่ 25 ตุลาคม 2546 คุณยายเข้าไปดูรายการของที่ซื้อมาเข้าบริษัท เพราะ นิติภูมิบอกว่า เลนส์กล้องหาย และของที่ซื้อมาไว้ใช้ส่วนตัว เช่นเครื่องตัดต่อ ซึ่งนิติภูมิเป็นผู้สั่งซื้อมาจะเอาไว้ใช้เอง แล้วก็ไม่มีเงินให้เขา จะเป็นเรื่องเป็นราว คุณยายตัดปัญหา เลยต้องเป็นผู้จ่าย เครื่องตัดต่อตรงนี้คุณยายบอกว่าจะซื้อไว้ตัดต่อข่าวและอื่นๆ เพราะคุณยายเป็นเจ้าของเคเบิ้ลที่ ชลบุรี ,แหลมฉบัง และบ่อวิน สามแห่ง แต่นิติภูมิขอยืม คุณยายท่านไว้ใช้ก่อน คุณยายก็ให้ยืม ต่อมาคุณยายเรียกของคืน นิติภูมิไม่ยอมคืน การที่ยืมของเขาโดยมีหลักฐานการจ่ายเงินเป็นชื่อคุณยาย นิติภูมิ คุยว่าเป็นอาจารย์สอน กฎหมาย แล้วอย่างนี้ เขาเรียกกันว่าอะไร นิติภูมิใช้กฎหมายโดยมิชอบ ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ สถานีจรเข้น้อย ใครอยากรู้ไปขอดูที่สถานี นิติภูมิไปร้องขอความเป็นธรรม ถูกสั่งสอบ คุณยายเพิ่ม คุณยายต้องเซฟตัว รายละเอียดมีมาก คุณยายท่านเก็บใส่คอมพิวเตอร์ของ ท่านไว้ นายเส็งเคร็งแอบไปรู้มาจากข้อความของท่านมาเล่าให้ทุกคนฟัง เป็นบางตอน เพราะทนเห็นคุณยายโดนถูกรังแกมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เห็นว่าเป็นแค่คนแก่ธรรมดา คนนึง เลยรังแกเอา รังแกเอา รายละเอียดยังมีอีกมาก ตอนที่ตรวจดูบัญชี คุณยายท้วง คนทำบัญชีว่า รายการมีซ้ำ แล้วคุณยายเป็นผู้ขีด และของที่ไปซื้อกับนิติภูมิอีกมากมาย ยังไม่ลงบัญชีเลย บัญชีบอกว่า วันที่ 27 จะไปตรวจ พอเด็กไปตรวจ นิติภูมิ ด่าเด็กว่า พวกมืงมาทำไม จะมาจับผิดกรูเหรอ ด่าเด็กคนที่ชื่อปุ้ยซะยับเยิน เด็กกลับถึงบ้านร้องไห้ บอกพ่อแม่ พ่อแม่เขาโทรมาเล่าให้ฟัง วันต่อมาเรียกเด็กมาถาม เด็กบอกว่ากลัวมาน คุณยายไม่ต้องเอาเรื่องเขาหรอก หนูกลัวช่างมานเถอะ เขาด่าคุณยาย ไปเอาเรื่อง ของคุณยายก็แล้วกัน เด็กเล่าให้ฟังว่าด่ายังไง คุณยายร้อง"เฮอะ" โทรมาหายาย ได้ยินว่า "ป้าครับ ผมนิติภูมิ" ยายพูดว่า "เออ" นิติภูมิถามว่า "ยายจะทำละครใช่ไหม" ยายตอบไปว่า "ใช่เรื่องมาเฟียราม ไม่ใช่สิคิริยา" ด้วยความโมโหเพราะรู้ว่ายาย ไม่เห็นด้วย นิติภูมิพูดต่อ"กรูมีรายได้ของกรูเดือนละสองล้านกว่า จะมีคน มาเล่นงานมรึง แล้วมรึงกับกรูต้องเจอกันแน่" ยายได้ยินเท่านี้เอง ยายบอกว่า "ตอนนี้มีมรึงมีกูสนุก" นิติภูมิ ยังบอกอีกว่าจะกัดยายไม่ปล่อย คุณยายระวังตัวก็แล้วกัน ยายจะต้มลูกฟักให้ไอ่หมูมานกัด ตามที่ปุ้ยเล่ามานั้น ยายรู้แล้ว เคยเห็นอาการของ นิติภูมิ ตามที่ปุ้ยเล่า ถ้ายังงั้นมานต้อง ดับโทรศัพท์ด่า เคยเห็นบ่อย อาการอย่างนี้ของ มาน หลายครั้งที่พูดจาแปลก ทำเป็นคนยิ่งใหญ่ และสำคัญ มานดับโทรศัพท์ พูดเอง แล้วก็เออเอง ให้ตัวมานสำคัญ ทุกเรื่องโยนหาเลขา เล่าย้อนหลัง เมื่อตอนเช้า 15 กันยา 46 นายเส็งเคร็งเคยห็นคุณยายแจงเหตุผล ทุกเรื่องให้นิติภูมิฟัง ทั้งหมด แล้วสำทับว่า ไอ้หมูชีวิตของเอร็งนี้แม่พาเอร็งไป ไหว้หลวงปู่สดชีวิตเอร็งดีขึ้นไหม เอร็งบอกว่าเอร็งเคารพกรูเหมือนแม่ กรูก็จะด่ามืงเหมือนลูก แล้วแต่เอร็งจะคิด ว่าด่าเอร็งก็ได้สอนเอร็งก็ได้ คำพูดที่แม่พูดนี้ถ้าเอร็งไม่จำใส่หัวกะบาล เอร็งจงเก็บไส่ห่อไว้ซะ มีประโยชน์ทั้งนั้น ยามใดผิดพลาดในชีวิตจงแกะห่อมาดูว่าที่แม่พูดนี้ จริงหรือเปล่า ไอ้หมูรับคำด่า "ได้ สอนได้ครับ" ๑. โอกาสมีแล้วจงใช้ให้เป็น สันดาลลที่เลวร้ายทั้งหลายจงเลิกซะ ๒. เกิดเป็นคนอย่ากะล่อนให้มานมากนักคิดถึงลูกสาวเอร็งมั่ง โดนคนอื่นเขาทำ แล้วจะรู้สึก ๓. เกิดเป็นคน ต้องรู้จักบุญคุณคนเป็นสิ่งสำคัญ แม่ของเอร็งตายเพราะเอร็ง เอร็งต้องรู้อยู่แก่ใจ ๔. เลิกตะกายกามได้แล้ว ถ้าสี่สิ่งนี้เอร็งไม่เลิก ชีวิตเอร็งจะอับเฉา เล่นเอานักแสดงอย่างมานน้ำตาไหล ต่อมา 30 กันยา 2546 นิติภูมิ บอกคุณยายว่า บ้านที่เคยให้คุณป้าออกเงินคืน คุณโมรา ด. ไปครั้งหนึ่งแล้วนั้น บ้านสามหลังนี้จะโอนเข้าบริษัท บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องจ่ายเขาแล้ว เป็นเงิน 2,214,000.00 แล้วนิติภูมิ บอกคุณยาย ให้คุณเล็กเลขาคู่ใจ หรือเลขาร่วมแก๊ง ของนิติภูมิ เอาไปทำสัญญาเป็นของบริษัท บาลานซ์ฟิล์ม จำกัดโดยเบิกจากบัญชี ออมทรัพย์ของคุณยาย ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาทองหล่อ บัญชีเลขที่ 734-2—1342x-x (อยากรู้เลขที่บัญชีเต็มๆ เมลมาที่ superjengcoltd@hotmail.com) แล้วนิติภูมิบอกคุณยายว่า ให้คุณเล็กไปทำสัญญา คุณยายก็จ่ายเงินให้ตามจำนวนดังกล่าว คุณยายได้ทวงสัญญา จากเล็กเลขาคู่ใจของนิติภูมิ เล็กบอกว่าบริษัทขายบ้านยังไม่ได้ให้มา นายเส็งเคร็งไป ติดตามดูว่าโฉนดสามแปลงนี้เป็นของใคร ไปดูที่กรมที่ดิน ปรากฎว่าเป็นของ บริษัท ซิลเวอร์ เฮเว่น จึงได้ไปขอหลักฐานเขามา ได้หลักฐานมาตามที่เห็นนี้ โฉนดที่บ้านสามแปลง คือโฉนดเลขที่ 18564, 18565, 18566. ยังเป็นชื่อของบริษัทซิลเวอร์อยู่ คุณเล็ก ชื่อว่า รัตติกาล รุ้งตาล เงินเกินสองล้าน ทางธนาคารให้ทำบันทึก รัติติกาล รุ้งตาลจึง จำเป็นต้องเซ็น ดูได้ตามหลักฐาน คุณยายมารู้ภายหลังว่า นิติภูมิแอบโอนบ้านสามหลังนี้ พร้อมที่ดินใส่เป็นชื่อของนิติภูมิแต่ผู้เดียว ใครอยากรู้ ให้ตามไปดูซิว่าจริงไหมว่า โฉนดดังกล่าวข้างต้นเป็นชื่อใคร นายเส็งเคร็งได้หลักฐานมาแค่นี้ และรู้มาว่า นิติภูมิ กัดคุณยายไม่ปล่อย คุณยาย เลยให้ทนายไปแจ้งความที่ สถานี ทองหล่อ จากคุณ : Sengkreng Vatana - [ 20 มิ.ย. 47 04:20:51] แค่ก๊อปมาให้อ่านนะ จากคุณ : toolost - [ 24 เม.ย. 50 08:40:59 A:222.123.154.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 มันเองก็ยอมรับว่าคอลัมน์ของมันนั้น ใช้จินตนาการในบางครั้ง แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 50 08:47:17 จากคุณ : บานทะโรค - [ 24 เม.ย. 50 08:42:07 A:125.27.242.40 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นไม๊หนู ที่นี่มีหลากหลายความคิดเห็น มาไม่เสียเที่ยวหรอก พวก พี่ๆอาๆ ใจดีทุกคน จากคุณ : แมงง๊องแง๊ง (woraphan) - [ 24 เม.ย. 50 09:23:42 A:203.146.5.69 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 น้องครับ  อย่าให้คนอ้างว่ามีความรู้ มาชักจูงเราได้ พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่ให้เชื่อ บิดามารดา ไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์ ไม่ให้เชื่อแม้กระทั้งพระพุทธเจ้าเอง ให้เชื่อเมื่อได้พินิจพิจารณา วิเคราะห์ความเป็นเหตุเป็นผล ค่อยเชื่อ หลายคนอ้างว่าเก่ง อ้างว่าดี เบื้องหลังใครจะไปรู้ อยากได้เทปอัดเสียง นิติภูมโดนแฉ หลังไมค์มาครับ จากคุณ : ชื่อตั้งยาก01 - [ 24 เม.ย. 50 10:17:27 A:10.1.1.16 X:203.155.165.26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 บทวิเคราะห์กรณีการล่มสลายของประเทศอาร์เจนตินาและความหวาดวิตกต่อการล่มสลายของประเทศไทย เนื่องจากในสภาวการณ์ปัจจุบันมีคนไทยเราจำนวนมากเกิดความหวาดวิตกต่อนโยบายเชิงประชานิยมและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไทยรักไทยว่า จะนำไปสู่การล่มสลายของประเทศดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศอาร์เจนตินา บทความชิ้นนี้จึงเขียนขึ้นมาโดยมีความมุ่งหวังที่จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบด้านปัจจัยและกระบวนการเชิงระบบอันเป็นเหตุในการล่มสลายทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอาร์เจนตินา และวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยจะวิเคราะห์และชี้แจงในเชิงวิชาการทางเศรษฐศาสตร์เป็นหลักและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการกล่าว พาดพิงบุคคลทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ผู้เขียนหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะได้รับคำคอบเกียวกับเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและนโยบายเชิงประชานิยมซึ่งเป็นหัวข้อที่กำลังอยู่ในความสงสัยของหลายๆท่านได้ เริ่มต้นผมจะขอเล่าปูมพื้นหลัง (background) ของประเทศอาร์เจนตินาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบก่อน ซึ่งข้อมูลหลัก จะอ้างอิงจาก CIA World Factbook ซึ่งได้ update ข้อมูลล่าสุดของ website เมื่อ 10 มกราคม 2006 นี้ ประเทศสาธารณรัฐอาร์เจนตินานั้นตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีขนาดพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน 2,736,690 ตารางกิโลเมตรซึ่งถือว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาครองจากประเทศบราซิล มีจำนวนประชากร 39,537,943 คน โดยร้อยละ ตึ มีเชื้อสายสเปนและอิตาลี อีกส่วนหนึ่งเป็นลูกผสมระหว่างฝรั่งผิวขาวกับชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงที่รียกว่า “เมสติโซ” โดยประชากรร้อยละ 92 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค มีภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ มีเมืองหลวงชื่อว่า “Buenos Aires” ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุข และ เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ทางด้านเศรษฐกิจ ประเทศอาร์เจนตินามีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic Product หรือ GDP) อยู่ที่ 537.2 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี /2005 โดยสัดส่วนรายได้ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ร้อยละ 53.7 มาจากภาคบริการ (service sector) ร้อยละ 35.8 มาจากภาคอุตสาหกรรม และร้อยละ 10.5 มาจากภาคเกษตรกรรม ซึ่งโดยภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจการส่งออกแล้ว รายได้หลักที่ทำรายได้ เข้าประเทศอาร์เจนตินามากที่สุดคือสินค้าเกษตรหรือสินค้าเกษตรแปรรูป (Export oriented agricultural sector) และประเทศนี้มีชื่อเสียงที่คนไทยเรามักรู้จักกันคือในเรื่องของ “ฟุตบอล” นักวิชาการหลายท่านในประเทศไทยวิเคราะห์กันว่า ความล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินานั้น มีความสืบเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือหนึ่ง เป็นผลพวงจากนโยบายประชานิยมของอดีตประธานาธิบดีเปรอง (สามีของ EVITA PERON ที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์) สอง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) จนรัฐวิสาหกิจทุกอย่างในประเทศกลายเป็นของต่างชาติไปในที่สุด และ สาม การคอรัปชั่นอย่างรุนแรงของรัฐบาลอาร์เจนตินาในสมัยต่อๆมา ซึ่งมองโดยผิวเผินแล้วอาจดูคล้ายสภาวการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน ทำให้มีหลายคนหวาดวิตกว่า หากปล่อยไว้ต่อไปประเทศไทยของเราจะถึงกาลอวสานทางเศรษฐกิจเหมือนกับประเทศอาร์เจนตินาหรือไม่ จึงได้มีการออกมาเดินขบวนประท้วงกันมากมายประเด็นของสาเหตุการล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินานั้น ความจริงแล้วมีความสลับซับซ้อนกว่านั้นมาก ซึ่งผมจะขอแจกแจงรายละเอียดถึงสาเหตุการล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาไว้เป็นข้อๆ ดังนี้ จากคุณ : cis-49 - [ 24 เม.ย. 50 11:39:12 A:58.181.184.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 1. การที่คณะผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาลอาร์เจนตินากระทำการเกินกว่าหลักการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือกระทำการเกินกว่าคำว่า“Privatization” มาก นั่นก็คือ ในระยะแรกเมื่อรัฐบาลอาร์เจนตินาทำการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ตลาดทุนหรือตลาดหลักทรัพย์นั้น “หุ้น” ส่วนใหญ่ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ยังคงเป็นของผู้ถือหุ้นชาวอาร์เจนตินาอยู่ โดยเฉพาะนักการเมืองและบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง แต่ความเลวร้ายที่สุดที่ทำให้ประเทศอาร์เจนตินาต้องสูญเสียกิจการรัฐวิสาหกิจทั้งหมดให้กับชาวต่างชาตินั้นก็คือ การที่นักการเมืองเหล่านั้นขายหุ้นที่ตนเองถือครองกิจการรัฐวิสาหกิจของประเทศเหล่านั้นให้กับชาวต่างชาติเสียหมดโดยหวังเพียงผลประโยชน์ส่วนตนเพียงแค่กำไรอันเกิดจากส่วนต่างของราคาค่าหุ้น ในตลาดที่สูงขึ้นจากราคาหุ้นที่เปิดจองครั้งแรก หรือ margin จากส่วนต่างของราคาหุ้นที่สูงขึ้นส่วนนี้ ดังนั้น กิจการรัฐวิสาหกิจทั้งหลายใน ประเทศอาร์เจนตินาจึงตกไปเห็นของชาวต่างชาติ เมื่อตกไปเป็นของชาวต่างชาติแล้ว เจ้าของหรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่เป็นชาวต่างชาติก็ขึ้นราคาค่าบริการสาธารณูปโภคต่างๆอย่างน่าตกใจเพื่อทำรายได้ให้กับกลุ่มพันธมิตรธุรกิจของพวกตัวเองและนอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวรายได้ จากชาวอาร์เจนตินาเข้าสู่ประเทศของตัวเองได้อีกทางหนึ่งเนื่องจากรายได้จากผลกำไรหรือผลประกอบการจากรัฐวิสาหกิจของอาร์เจนตินาที่พวกเขา ซื้อมาเหล่านั้นเมื่อถูกส่งกลับไปยังบริษัทแม่ในประเทศของตัวเองก็เท่ากับเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศของตัวเองผ่านทาง GNP (Gross National Product) อีก และเนื่องจากไม่ใช่วิสาหกิจของประเทศตนเอง พวกนักธุรกิจต่างชาติที่ซื้อรัฐวิสาหกิจของอาร์เจนตินาไปพวกนี้จึงไม่ต้องมีความเกรงใจใดๆต่อประชาชนในประเทศอาร์เจนตินาและแสวงหาผลกำไรจากวิสาหกิจเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ชาวอาร์เจนตินาต้องรับผล กระทบจากการจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆในราคาสูงลิบ ซึ่งก็จะส่งผลให้รายจ่ายของครัวเรือนของชาวอาร์เจนตินาเพิ่มสูงมากขึ้น เมื่อรวมครัวเรือนทั้งระบบของประเทศอาร์เจนตินาเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับว่ายอดรายจ่ายรวมของชาวอาร์เจนตินาทั้งระบบสูงขึ้น และเงินเหล่านี้ก็มิได้ถูกหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาแต่อย่างใด แต่กลับต้องถูกส่งกลับไปยังประเทศแม่ของนักธุรกิจชาวต่างชาติที่มาซื้อรัฐวิสาหกิจของอาร์เจนตินาเพื่อการแสวงหาผลกำไร ผ่านไปทางผลกำไรหรือผลการประกอบการที่นักธุรกิจต่างชาติหรือบริษัทต่างชาติส่งกลับไปยังบริษัทแม่ในประเทศของตนและที่ผิดไปมากกว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือ Privatization อีกอย่างหนึ่งก็คือรัฐบาลอาร์เจนตินาขายแม้กระทั่งถนนที่เป็นทางหลวงของประเทศ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายแม้กระทั่งค่าผ่านทางในการใช้ถนนทางหลวงเป็นทอดๆในราคาแพง 2. การที่ที่ดินทำกินในประเทศอาร์เจนตินาถูกถือครองโดยชาวต่างชาติไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ จากการที่รัฐบาลอาร์เจนตินาเปิดช่องโหว่ทางกฏหมายให้ต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดินได้อย่างไม่จำกัด และแสวงหาผลประโยชน์จากการขายที่ดินของประเทศให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งในกรณีนี้ถือได้ว่าเป็นการขายชาติอย่างแท้จริง และผลจากการกระทำดังกล่าวนี้ ทำให้ประชาชนชาวอาร์เจนตินาที่แท้จริงขาดโอกาสในการใช้ที่ดินทำกิน และทำให้รายได้หรือผลประโยชน์อันเกิดจากที่ดินทำกินเหล่านั้นตกเป็นของชาวต่างชาติทั้งๆที่เป็นผืนแผ่นดินของชาวอาร์เจนตินาเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลอาร์เจนตินากระทำเกินกว่าขอบเขตของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือ Privatization ไปมาก จากคุณ : cis-49 - [ 24 เม.ย. 50 11:40:58 A:58.181.184.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 3. ความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลอาร์เจนตินาในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศของนักการเมืองที่โกงกินเหล่านั้น ไม่เคยมีผลงานที่จะช่วยสร้างศักยภาพหลักในการแข่งขัน (Competitive Competency) ของประเทศ ไม่มีการส่งเสริมพัฒนาสินค้าหรือบริการที่เป็นแกนหลักในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศหรือสิ่งที่เป็นแก่นในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (Core Competitiveness) ทางเศรษฐกิจของประเทศ และบริหารประเทศแบบ “ไม่มียุทธศาสตร์” ทำให้ประเทศอาร์เจนตินาต้องประสบกับความพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจ และสิ่งที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาและสร้างรายได้ให้กับประเทศอาร์เจนตินามากที่สุดก็คือ สินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูปทางการเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักที่ทำรายได้เข้าประเทศอาร์เจนตินามากที่สุดเหมือนดังที่กล่าวในตอนต้นแล้วว่าสินค้าเกษตรหรือสินค้าเกษตรแปรรูป (Export oriented agricultural sector) เป็นแกนหลักที่สำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งผู้ปริหารประเทศได้ละเลยในการพัฒนายุทธศาสตร์ตรงนี้มาโดยตลอด เมื่อศักยภาพการแข่งขันมางการตลาดของสินค้าอาร์เจนตินาเสื่อมลง แบรนด์ที่มีชื่อว่าอาร์เจนตินาเสื่อมลง ส่วนแบ่งในตลาดโลก (market share) ก็ลดลง ประเทศคู่แข่งในประเภทตลาดสินค้าและบริการ (segment) เดียวกันก็ขายสินค้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น ขณะที่อาร์เจนตินาขายได้ลดลง สุดท้ายรายได้ของประเทศอาร์เจนตินาก็ลดลง 4. การที่รัฐบาลอาร์เจนตินากู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากถึงหลายระลอกทำให้ประเทศมีหนี้ต่างประเทศที่สูงมาก ประกอบกับเงินกู้นอกประเทศนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อันที่จะเป็นความสามรถในการใช้คืนหนี้สินของประเทศได้ในอนาคต หรือพูดง่ายๆคือกู้มาใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย พอเมื่อถึงระยะเวลาที่ครบกำหนดในการชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ย ก็ไม่มีเงินไปจ่าย จนหลายครั้งๆเข้าสิ่งที่จะเสียตามมาก็คือ “เครดิต” ของประเทศ จนท้ายที่สุดเวลาไปกู้เพิ่มอีก ก็ไม่มีใครให้กู้ 5. การที่รัฐบาลอาร์เจนตินาไม่สามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศพุ่งสูงขึ้นไปถึงร้อยละ 900 ถึงร้อยละ 1,000 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก และนั่นก็หมายความว่า “กำลังซื้อ (Purchase Power)” ของชาวอาร์เจนตินานั้น ลดลง ถึง 1,000 เท่า เมื่อกำลังซื้อลดต่ำลงขนาดนั้น ก็ทำให้ประชาชนชาวอาร์เจนตินาเดือดร้อนโดยทั่วถึงกัน 6. นโยบายประชานิยมที่รัฐบาลอาร์เจนตินาใช้ในการบริหารประเทศนั้น เป็นนโยบายประชานิยมแบบผิดวิธี คือเป็นการแจกจ่ายข้าวของเงินทองไปแบบฟรีๆ โดยที่สิ่งที่แจกจ่ายไปนั้นไม่สามารถก่อให้เกิดการลงทุนหรือไม่ก่อให้เกิดรายได้และไม่ได้ก่อให้เกิดความสามารถในการใช้คืนหนี้สินในอนาคต หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือมีแต่ “ใช้แล้วหมดไป (consumable)” จึงทำให้ประเทศมีแต่เสียกับเสีย เมื่อพิจารณารวมทั้งหกปัจจัยดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ (End Result) คือประเทศอาร์เจนตินาทั้งระบบนั้น มีรายได้ลดต่ำลงมาก บวกกับภาระหนี้สินและภาระดอกเบี้ยรวมถึงรายจ่ายรวมทั้งระบบของประเทศ ทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งๆที่ความสามารถในการชำระใช้คืนหนี้ลดลง กำลังซื้อของประชาชนต่ำลง โดยสุทธิ (NET) แล้วก็นำไปสู่ความล้มละลายทางเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินา จากคุณ : cis-49 - [ 24 เม.ย. 50 11:42:00 A:58.181.184.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทีนี้เราลองมาย้อนมองประเทศไทยของเราบ้าง เพื่อจะได้ช่วยกันสอดส่องดูแลชาติของเราไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับที่อาร์เจนตินาประสบอีก หากถามว่าขณะนี้เราเหมือนอาร์เจนตินาไหม ผมขอบอกว่า ไม่เหมือนครับ และ หากมองอย่างลึกซึ้งแล้วมันมีความต่างกันอยู่มากทีเดียว ซึ่งผมจะขอเล่าให้ฟังดังนี้ 1. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในประเทศไทยที่กระทำอยู่นั้น ยังคงอยู่ในกรอบและหลักการของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ(Privatization)อยู่ ซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ยังอยู่ในกรอบและหลักการนี้ก็มีข้อดีคือ องค์กรรัฐวิสาหกิจจะสามารถระดมทุนมาพัฒนาการประกอบการได้มากขึ้น ทำให้มีศักยภาพในการประกอบการสูงขึ้น มีระบบการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานและเป็นสากลมากขึ้น ตรวจสอบได้และโปร่งใสยิ่งขึ้น มีการให้บริการที่น่าประทับใจมากขึ้น มีขั้นตอนการดำเนินการต่างๆที่สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นและจากการที่ต้องแข่งขันและต้องทำให้ผลประกอบการออกมาดีนั้นก็จะทำให้ได้รับอานิสงส์ส่วนดีจากการแข่งขันนี้ให้องค์กรต้องพยายามถีบตัวให้มีความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่ากินเงินเดือนแล้วทำงานเช้าชามเย็นชาม ใช้สาธารณูปโภคที่หน่วยงานของตัวเองผลิตฟรีไปวันๆ รับค่าส่วยใต้โต๊ะ เงินกินเปล่า กินหัวคิวงานประมูลไปวันๆ โดยไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขององค์กรซึ่งหากเป็นเช่นนี้ไปนานๆองค์กรวิสาหกิจนั้นก็จะมีแต่ถดถอย และหากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ตลาดทุนทำให้ประเทศล่มจมและเป็นการขายชาตินั้น 80 กว่าประเทศทั่วโลกเขาคงไม่ทำกัน เพียงแต่ว่าเราคนไทยต้องช่วยกันสอดส่องดูแลให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้กรอบและหลักการที่ถูกต้อง และไม่ให้มีการกระทำการที่เกินกว่า Privatization ของรัฐบาลผู้บริหารประเทศเหมือนกับที่อาร์เจนตินาทำ ที่สำคัญที่สุดคือต้องควบคุมสัดส่วนการถือครองหุ้นรัฐวิสาหกิจโดยชาวต่างชาติไม่ให้มากเกินกว่า 51% อันจะทำให้พวกชาวต่างชาติมีสิทธิ์เข้ามาทำการบริหารและตักตวงผลประโยชน์ไปได้โดยเราต้องช่วยกันสอดส่องดูแลให้รัฐวิสาหกิจไทยบริหารโดยกล่มคณะผู้บริหารที่เป็นคนไทยที่มีความสามารถและบริหารภายใต้กรอบของธรรมาภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ และที่สำคัญผู้ถือหุ้นใหญ่ของรัฐวิสาหกิจนั้นต้องเป็นคนไทย ยิ่งถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้จะเป็นการดีที่สุด และเราต้องคอยระแวดระวังไม่ให้นักการเมืองของเราขายชาติ โดยการเทขายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่ตนเองถือครองอยู่ให้กับชาวต่างชาติโดยเด็ดขาด ไม่ว่าคนในคณะรัฐมนตรีและพวกพ้องจะโกงสัดส่วนการถือหู้นของตนเองและพรรคพวกมาได้โดยการไปจดทะเบียนตั้งบริษัทตัวแทนหรือ “Nominee” ในประเทศที่มีความหย่อนยานทางกฏหมายธุรกิจแล้วนำ Nominee เหล่านั้นมาซื้อหุ้นรัฐวิสาหกิจในสัดส่วนที่กันไว้เป็นของบริษัทต่างชาติซึ่งเรียกว่าเป็นการ Take Over รัฐวิสาหกิจในประเทศไทยที่ทำการแปรรูปอย่างแยบยลหรือจะได้หุ้นมาด้วยเทคนิควิธีอันแยบยลใดก็ตาม หุ้นเหล่านั้นจะต้องไม่ถูกขายไปให้กับชาวต่างประเทศจนทำให้ต่างชาติมีสิทธิ์ในการเข้ามาบริหารรัฐวิสาหกิจของชาติได้ โดยสรุปผมยังคิดว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายและมีข้อดีอยู่มากพอสมควร อย่างเช่น ป.ต.ท.(PTT) การบินไทย (THAI) หรือ บริษัทท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) นั้นเมื่อทำการแปรรูปเข้าสู่ตลาดทุนก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาหลายๆอย่างไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากแต่เราต้องคอยช่วยกันสอดส่องดูแล สัดส่วนการถือครองหุ้นรัฐวิสาหกิจโดยชาวต่างชาติ การบริหารรัฐวิสาหกิจโดยคนไทย และไม่ให้ผู้บริหารประเทศ กระทำในสิ่งที่เกินกว่า คำว่า “Privatization” หรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามกรอบและหลักการ 2. ที่ดินทำกินส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังคงเป็นของคนไทย และคนไทยเรายังสามารถแสวงหาผลประโยชน์ แสวงหารายได้จากที่ดินของประเทศไทยของเรา ได้อย่างเต็มที่อยู่ และทุกวันนี้รายได้หรือผลประโยชน์อันเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยก็ยังคงเป็นของคนไทย เป็นผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือ GDP (Gross Domestic Product)ของประเทศไทยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีนักการเมืองที่ฉ้อฉลบางคนจะยักยอกที่ดินของรัฐบางแห่งไปเป็นสมบัติส่วนตัวบ้างก็ตาม ซึ่งในจุดนี้ เราทุกคนต้องช่วยกันควบคุมสอดส่องดูแลไม่ให้ผู้บริหารประเทศของเรากระทำการขายชาติโดยการแก้กฏหมายที่อาจเปิดช่องเอื้ออำนวยให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ในสัดส่วนที่มากจนเกินความพอดี 3. หากวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เป็นแกนหลักสำคัญในการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทย (core segment) อันได้แก่ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว ผลิตผลทางการเกษตร ผลิตผลเกษตรแปรรูป ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าหรือบริการที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยมากที่สุดใน 10 อันดับแรกนั้น ส่วนมากแทบทั้งหมดยังคงเป็นของคนไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย บริหารโดยคนไทย ไม่ได้ถูกขายให้กับต่างชาติไปแต่อย่างใด ดังนั้นรายได้จากผลการประกอบการ ในกิจการเหล่านั้นจึงยังคงเป็นของคนไทยและได้สร้าง GDP ให้กับpประเทศไทยอยู่ จากคุณ : cis-49 - [ 24 เม.ย. 50 11:42:53 A:58.181.184.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 4. หากติดตามข่าวจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยปัจจุบันยังทำผลงานหลายอย่างที่เป็นโครงการที่สามารถเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ของประเทศได้อย่างมียุทธศาสตร์ คือ 4.1 การวางรากฐานด้าน infrastructure ของประเทศและการวางระบบ logistic เพื่อรองรับการลงทุนจากทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศและเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยลงทุนผ่านทาง Megaproject ต่างๆ เช่นสนามบินสุวรรณภูมิ โดยโครงการต่างๆเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นการลงทุนจากต่างชาติก็ตามแต่ก็เป็นลักษณะการร่วมทุน (Joint Venture) ซึ่งยังคงบริหารโครงการโดยคนไทยและไม่ได้ตกเป็นสมบัติของต่างชาติแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากกรณีตัวอย่างที่ผ่านมาแล้วคือ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน 4.2 รัฐบาลมีการทำ Road Show อย่างสม่ำเสมอเพื่อหาตลาดใหม่ๆและขยายตลาดในต่างประเทศผ่าน “ผู้แทนการค้าไทย” 4.3 โครงการยุทธศาสตร์ร่วมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างกลุ่ม ธุรกิจในอุตสาหกรรมหรือบริการที่อยู่ใน segment เดียวกันมีความเกี่ยวเนื่องกัน เข้ามาร่วมมือกันในเชิง logistic และการตลาดร่วมกันในรูปแบบที่เรียกว่า “cluster” เช่น cluster อุตสาหกรรมยานยนต์ cluster อุตสาหกรรมอิเลกทรอนิคส์ เป็นต้น ซึ่งประเทศเกาหลีใต้เคยทำสำเร็จมาแล้ว อีกทั้งยังจะทำให้อำนาจการต่อรองเชิงธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมมีมากขึ้นอีกด้วย สุดท้ายแล้วผลรวมคือศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกหรือ Competitive Competency ที่แข็งแกร่งขึ้น 4.4 การปรับปรุงระบบการบริหารราชการที่ล่าช้าและไม่ยืดหยุ่น ให้มีการบริการที่มีความรวดเร็วและทันสมัยมากขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาขั้นตอนการดำเนินการต่างๆที่เคยเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจเอกชน 4.5 การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource) ผ่านโครงการ 1 ตำบล 1 ทุน และ ทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาต่างๆ 4.6 การพัฒนาด้านความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge Provider) โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลอาร์เจนตินา ไม่ได้ทำในสิ่งที่จะเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ให้กับประเทศเหล่านี้ควบคู่กันไป 5. หนี้ต่างประเทศของประเทศไทยลดลง หนี้ IMF ถูกใช้หมดไป และทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศไทยเราเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้โครงการหลายอย่างของรัฐบาลไทยในปัจจุบันจะเป็นการดึงเอาเงินในอนาคตมาใช้หรือพูดง่ายๆคือเหมือนเป็นการ “รูดบัตรเครดิต” นั้น ในขณะเดียวกันโครงการต่างๆที่ลงทุนไปก็เป็นลักษณะการลงทุนอันอาจหวังผลได้ในอนาคตที่จะทำให้มีศักยภาพหรือความสามารถในการใช้คืนหนี้สินในอนาคตควบคู่กันไปด้วย ไม่ได้เป็นโครงการให้เปล่าที่มีแต่หมดไปเหมือนกับอาร์เจนตินา ซึ่งในจุดนี้มีเงื่อนไขคือ รัฐบาลต้องไม่ใช้เงินลักษณะนี้ไปในรูปแบบที่ไม่ด่อให้เกิดรายได้ในอนาคตหรือไม่ได้เป็นการลงทุน และคณะผู้บริหารต้อง “มีกึ๋น” หรือมีความสามารถในการสร้างรายได้เข้าประเทศหรือ “หาเงินเป็น” อย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้ว การใช้เงินในอนาคตแบบนี้อาจ “ช๊อต” ได้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ก็มีกฏทางธุรกิจอยู่ว่า “No Risk No Return” 6. ที่ผ่านมาการธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังของไทยสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในเกณท์ที่ไม่อันตรายมาได้โดยตลอด โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยในปี 2549 นั้นอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 3.5 ถึง 5 เท่านั้น ซึ่งต่างกับร้อยละ 1,000 ในสมัยที่ประเทศอาร์เจนตินา “ล้มละลาย” ได้ 7. สุดท้ายขอกล่าวถึงนโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทยว่า มีความแตกต่างกับนโยบายประชานิยมของอาร์เจนตินา กล่าวคือ นโยบายประชานิยมของอาร์เจนตินาเป็นลักษณะการแจกให้เปล่าเหมือนกับเงินมิยาซาว่าของไทยในสมัยหนึ่งโดยขาดหลักการพื้นฐานทางยุทธศาสตร์รองรับและไม่มีนโยบายรองรับที่จะทำให้เม็ดเงินเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต เงินจากนโยบายประชานิยมในอาร์เจนตินาจึงถูกใช้หมดไปในที่สุดโดยไม่ก่อให้เกิดดอกผลจากเงินเหล่านั้นงอกเงยขึ้นมาเลย ส่วนนโยบายเชิงประชานิยมในไทยปัจจุบันนั้น ร่างมาจากหลักการพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาความยากจนคือการเข้าไปแก้ไขวงจรแห่งความยากจน (Poverty cycle) ซึ่งก็คือ การที่หน่วยครัวเรือนในชุมชน (Family Unit) ยากจนนั้นเกิดจากปัจจัยสามประการดังนี้ หนึ่งขาดรายได้ รายได้ต่ำ รายได้ไม่เพียงพอ สองมีภาระรายจ่ายมาก โดยเฉพาะรายจ่ายหลักคือหนี้สินของครัวเรือน ภาระเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรหลาน และภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้สูงอายุในครอบครัวซึ่งเจ็บป่วยบ่อย หรือเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง (Burden from children and elderly) และสามคือขาดแคลนโอกาสในการทำกิน โอกาสในการก่อร่างสร้างตัว และโอกาสต่างๆทางสังคม ดังนั้นหลักนโยบายเชิงประชานิยมที่รัฐบาลปัจจุบันใช้อยู่นั้น จึงมุ่งแก้ไขที่สามจุดนี้ผ่านทางโครงการต่างๆดังนี้คือ 7.1กลุ่มนโยบายเพื่อการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน คือนโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณท์ (OTOP) เพื่อสนับสนุนให้เงินจากกองทุนหมู่บ้านถูกนำไปใช้ในการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่ได้ถูกนำไปจับจ่ายใช้สอยที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยรวมแล้วคือต้องการที่จะทำให้ชุมชนมีเงินทุนในการประกอบกิจการและช่วยเพิ่มศักยภาพทางการตลาดของสินค้าที่ชุมชนผลิตได้ 7.2 กลุ่มนโยบายเพื่อลดรายจ่ายของครัวเรือนในชุมชน คือโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร และโครงการที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายหลักของครัวเรือน (household burden) คือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาโดยผูกกับความสามารถในการใช้คืนในอนาคต 7.3 กลุ่มนโยบายเพื่อการขยายโอกาสของประชาชน อันได้แก่ ธนาคารประชาชน สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งจะเห็นได้ว่านโยบายเชิงประชานิยมที่มีการใช้อยู่ในประเทศไทยขณะนี้นั้น มีความแตกต่างจากนโยบายประชานิยมของอาร์เจนตินาอย่างมาก จึงขอนำเสนอบทวิเคราะห์นี้มาเพื่อให้ท่านได้เข้าใจถึงความเหมือนและความต่างของสภาวะการณ์ของประเทศอาร์เจนตินายุคล่มสลายเปรียบเทียบกับสภาวการณ์ ของประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อนำบทเรียนจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินามาเป็นสิ่งเตือนใจในการช่วยกันสอดส่องดูแลผู้บริหารประเทศของเราไม่ให้กระทำการนอกลู่นอกทาง นอกกรอบพื้นฐานของหลักการและไม่ให้มีพฤติกรรมขายชาติ อันอาจนำพาไปสู่ความล่มสลายของประเทศดังที่ชาวอาร์เจนตินาต้องหลั่งน้ำตากันมาทั้งประเทศแล้ว ที่มาข้อมูล กระทู้เก่าห้องราชดำเนินครับ อ่านแล้วลองวิเคราะห์เปรียบเทียบดูนะครับ จากคุณ : cis-49 - [ 24 เม.ย. 50 11:44:37 A:58.181.184.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เวลาผ่านไป คนอ่านเติบโตขึ้น มีความคิดอ่านมากขึ้น ก็จะทราบเองว่า หลายๆคน เอาเรื่องแรงๆ ความเห็นสุดโต่งมาเพื่อทำให้ตนเด่นขึ้นมาจากคนอื่น และใช้หนทางนี้ ไต่เต้าไปสู่อำนาจทางการเมืองครับ จากคุณ : ป้อม (Bgate) - [ 24 เม.ย. 50 15:25:48 A:124.120.80.242 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่เห็นมีชาติไหนมาเทียบเชิญนายหมูให้ไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจเหมือนอย่างคุณทักษิณเลยหว่า จากคุณ : sound of water - [ 25 เม.ย. 50 04:33:12 A:203.146.63.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 พี่เลิกอ่านแล้วค่ะน้อง ไอ้ที่เค้าเขียนลงไทยรัฐนะ อ่านนิยายยังจรรโลงใจกว่า   ชอบบอกว่าได้ร้บเชิญพิเศษ เป็นบุคคลสำคัญ โธ่ ... จิงแล้วเค้าก็แค่เชิญนักข่าวทั่วไปแหละ จากคุณ : โอเคนะ - [ 26 เม.ย. 50 19:42:47 A:124.121.109.94 X: ]