แกนนำม็อบ..เกมเปลี่ยนชีวิต จักรภพ เพ็ญแข
โดย สุเมศ ทองพันธ์ (สัมภาษณ์พิเศษ)
"..ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณ ซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุด ในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน.."
วันวาน...
"จักรภพ เพ็ญแข" คือนักวิชาการแว่นหนา ที่นั่งวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง สถานการณ์โลก บนหน้าจอโทรทัศน์
หลังจบมัธยมที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาสอบเข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก่อนไปต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอพกิ้นส์ สหรัฐอเมริกา และต่อปริญญาเอกจนจบคอร์สเวิร์คทั้งหมด
แต่ไม่ทำวิทยานิพนท์ ถือว่าจบปริญญาเอก แต่ยังไม่เป็นดุษฎีบัณฑิต จึงไม่เรียกตัวเองว่าเป็นดอกเตอร์
เคยทำงานให้บริษัท ซีพี จากนั้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ทูต กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และเริ่มรับงานด้านสื่อมวลชนควบคู่ไปด้วย แต่ตอนหลังหันมาทำงานสื่อแบบเต็มตัว ทั้งผู้ดำเนินรายการ วิทยากร และเขียนบทความในนิตยสารต่างๆ
กระทั่งเข้าสู่วงการเมืองในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แบบ "ส้มหล่น"
เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนลงสมัคร ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือก
วันนี้...
"จักรภพ เพ็ญแข" ผันตัวเองแบบ 180 องศา ไปเป็นหนึ่งในแกนนำ "ม็อบพีทีวี" ขึ้นไฮด์ปาร์กบนเวทีสนามหลวงแบบเต็มตัว
วันนี้เขาถูกมองว่ารับใช้ "ระบอบทักษิณ" อย่างไม่ลืมหูลืมตา ขณะที่สังคมและคนรอบข้างมองว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตครั้งนี้ "สุ่มเสี่ยงต่ออนาคต"
"มติชน" สนทนากับ "จักรภพ" ที่สถานีโทรทัศน์พีทีวี ชั้น 6 อิมพีเรียล ลาดพร้าว ผู้ชายที่มีมุมมองชีวิตว่า "ชีวิตเหมือนแม่น้ำ แต่เราต้องเลือกสายน้ำเอง สิ่งที่ปฏิเสธ คือไม่ยอมให้ใครมาเลือกเส้นทางให้.."
เปลี่ยนวิถีชีวิตมากน้อยแค่ไหนจากนักวิชาการมาสู่นักการเมืองแบบเต็มตัว
ตอนนั้นผมต้องถอดความรู้สึกเดิมทิ้งไปหลายอย่าง คือจะต้องถอดความคิดที่ว่าผู้ใหญ่ไทยจะต้องหวังดีกับประเทศไทยเสมอไป บางคนเป็นผู้ใหญ่ได้เพราะสะสมความเขี้ยวมาเยอะ เลยขึ้นมาอยู่เหนือคนอื่น พออยู่ตรงนั้นปั๊บ...ก็จะมากันคนอื่น เอาเฉพาะคนที่ร่วมวงตัวเองได้ คนที่เล่นเกมเดียวกับตัวเองได้ ส่วนคนที่ใช้วิธีใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ก็จะกันเขา โดยเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาจับผิด
ช่วงที่ผ่านมาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็เลยต้องปรับใหม่ว่าผู้ใหญ่บางคนก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ซะทีเดียว แต่ขณะเดียวกันผู้ใหญ่คนบางที่เราคิดว่ามีแต่ชั้นเชิงทางการเมือง ไม่มีอะไรอื่นเลย โดยเฉพาะเรามาจากวงวิชาการ เราก็อดประเมินคนอย่างวิชาการไม่ได้ แต่ปรากฏว่าเราเข้าใจผิด เพราะเมืองไทยวิชาการเป็นแค่ส่วนนิดเดียว แต่ส่วนใหญ่คือความเข้าใจในจิตวิญญาณคนไทย
พอมาอยู่ที่นี่ (พีทีวี) เกือบจะเหมือนว่าได้มาเรียนวิชาใหม่ด้วย นี่มันคือสิ่งที่เข้ามาแทนที่หลายอย่าง จะดีหรือเสียไม่รู้ล่ะ เพราะเวลาจะเป็นตัวตัดสิน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเมืองไทยขึ้นมาหน่อย เมื่อก่อนก็เป็นวิชาการ เป็นสื่อมวลชนแบบหนึ่ง ทำธุรกิจทีวี ก็ไม่ได้เรียนรู้แบบสื่อมวลชนหรือคนทำข่าว แต่เป็นเพียงผู้ประกอบอาชีพด้านสื่อเท่านั้นเอง ก็เลยโตช้าหน่อย
ตอนจะเข้าสู่แวดวงการเมืองตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นงานระยะสั้น เพราะเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณ 1 ก็เป็นงานที่เท่ดีที่มีโอกาสเป็นโฆษกรัฐบาล อยากจะลองดูว่าสิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับบ้านเมือง พอมามองจากวงในมันเป็นจริงหรือเปล่า งานโฆษกก็ต้องเข้าไปร่วมประชุม ครม. ตามหลังนายกฯไปในพื้นที่ต่างๆ ก็เกิดการเรียนรู้ แต่เรายังไม่ใช่ผู้เล่น แต่อยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ตอนเป็นรองเลขาธิการนายกฯในรัฐบาลทักษิณ 2 ก็เช่นเดียวกัน
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่ได้รับเลือกตั้งจากการลงสมัคร ส.ส. 2 ครั้ง ซึ่งตรงนี้ผมว่าเป็นบทบาทที่ขาดหายไป คือผมไม่ได้ใช้ชีวิตนักการเมืองอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็เหมือนกับการย้อนกลับไปเรียนรู้ในสิ่งที่เราข้ามมา
การเมืองที่มองจากคนวงในกับการเมืองที่มองจากข้างนอกต่างกันตรงไหน
โลกผม...ไม่ใช่โลกอุดมคติอะไร เพียงแต่มันอยู่ห่างจากความเป็นจริงทางการเมือง เดิมทีคนที่ห่อหุ้มตัวเองด้วยวิชาการ มันเสี่ยงต่อการมีวิชาการเป็นเกราะป้องกันตัว เช่นความเป็นอาจารย์ ความเป็นนักวิชาการ ต้องแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับสิ่งที่สังคมคาดหวัง เก่ง-ไม่เก่งก็ต้องทำเป็นเก่ง บางทีนักวิชาการบางประเภทความจริงก็รู้ แต่ไม่เข้าใจ เหมือนเราบอกว่าเรารู้ปัญหาประชาชนว่าต้องการอะไร แต่พอไม่อยู่ในกระบวนการมันไม่เข้าใจความรู้สึก
เมื่อเข้าไปในกระบวนการ เหมือนผมย้อนกลับเข้าไปใช้หนี้กรรมบางอย่าง คือเราอยู่ในสังคมแบบไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนมานาน เลยย้อนกลับไปเจอตรงนั้น เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ลุยน้ำเหมือนคนอื่น แต่เป็นการกระโดดข้ามไปที่โขดหิน แล้วก็กระโดดข้ามไปอีกก้อน...อีกก้อน แล้วก็ขึ้นฝั่งได้ ก็ประกาศว่าเราขึ้นฝั่งแล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่ลุยน้ำมา เดี๋ยวขึ้นบก เดี๋ยวลุยน้ำ แล้วขึ้นฝั่งมาพร้อมกับเรา ความเข้าใจสังคมไทยจะไม่เท่ากัน ตรงนี้คือสิ่งที่ผมได้ตอนที่เข้ามาสู่ชีวิตในการเมือง
ถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นนักการเมืองแล้ว แต่เก่ง-ไม่เก่ง ดี-ไม่ดี คนอื่นจะตัดสิน แต่ผมคิดว่าผมเป็นนักการเมืองที่ชอบเป็นสื่อ เพราะฉะนั้น ก็ต้องหาพื้นที่ที่จะเล่นบทบาทสื่อได้ โดยไม่ไปละเมิดจรรยาบรรณของสื่อที่แท้จริง
ไม่เสียดายภาพพจน์นักวิชาการหรือ ที่เข้ามาเกลือกกลั้วกับการเมืองและนักการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มป่วน?
ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็คิดอย่างนั้น แต่มันอยู่ที่ปรัชญาชีวิตของแต่ละคน ผมคิดว่าชีวิตมีชาติเดียว มันมาจากปรัชญาพื้นฐาน ดังนั้น อะไรที่อยากจะลองทำ ก็ทำเสียในชาตินี้ ถ้ามานั่งจ้องหน้าแล้วถามว่าไม่เสียดายเหรอ ผมก็จะบอกว่า ผมอยากจะลองมาเดินถนนสายนี้ เพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าชีวิตผมจะต้องมีคนชื่นชอบตลอดไป คือชีวิตไม่ได้อยู่ให้คนชอบอย่างเดียว แต่อยู่เพื่อเราจะได้ค้นพบความจริงในแบบของเรา
แต่บางคนไปเกาะเกี่ยวอยู่กับความชอบของคน ให้คนสรรเสริญตลอดเวลาจนไม่เข้าไปเสี่ยงทำอะไรเลย ไม่ลองเดินไปทางซ้ายเพื่อให้คนทางขวาเขาด่า มันก็จะไม่รู้จักตัวเอง เพราะฉะนั้น...ไม่เสียใจ เพียงแต่เสียดายในโอกาสที่ได้เสียไปบ้าง ซึ่งจุดเปลี่ยนตรงนี้มันมาจากเหตุการณ์ก่อนและหลังวันที่ 19 กันยายน ซึ่งบ้านเมืองแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน
ตอนนั้นพี่น้อง เพื่อนฝูงก็คาดหวังว่าเราจะต้องกระโดดหนีจากจุดนั้น เมื่อเกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างรัฐบาลทักษิณกับพันธมิตรฯ ทุกคนคิดว่าคนชื่อ จักรภพจะต้องโดดหนีแล้วหาทางอยู่ห่างจากทั้ง 2 ขั้ว แล้วกลับเข้าวงการ
แต่สิ่งที่ผมทำตอนนี้ มันไม่ใช่ซาดิสม์นะ ...มันบอกไม่ถูก...มันสนุกยังไงก็ไม่รู้ ผมว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดตั้งแต่มีการรัฐประหาร การเคลื่อนไหวในนามพีทีวีมันบอกไม่ถูกจริงๆ อาจจะต้องอีกสักปีหนึ่ง ถึงจะย้อนกลับมาเข้าใจตัวเองว่าทำไมสารในตัวมันหลั่งอย่างนี้ เป็นช่วงที่ผมนอนหลับที่สุด กินข้าวได้มากที่สุด และมีความสุข งานอื่นก็ทิ้งไปหมดแล้วมาอยู่ที่พีทีวี แล้วมันก็ท้าทายตรงที่ว่ามีคนไม่เห็นด้วยเยอะเลย และเป็นการทดแทนในสิ่งที่ผ่านมา เพราะชีวิตผมเด็กแล้วแก่เลย
สาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจให้เลือกข้าง
ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณ ซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุด ในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ผมไม่ได้มีภาพลวงตา ผมคิดว่าคุณทักษิณเป็นคนธรรมดา มีข้อดี ข้อเสีย ตรงนั้นคือจุดที่ตัดสินใจ คือผมอยากจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าเราเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้จริงหรือเปล่าในแบบที่เราคิดว่าถูกต้อง ซึ่งถ้าเราถูกต้องก็แปลว่าประชาชนสนใจเดินตามเรามา ถ้าคนส่วนใหญ่มากับเรามันก็จะแปลว่าเราถูก ประชาธิปไตยมันก็แค่นี้
เพียงแต่ข้อบกพร่องบางอย่างในฝั่งรัฐบาลทักษิณ ก็เป็นสิ่งที่ต้องนำมาแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะไม่เช่นนั้น ตัววิธีการมันจะไปทำลายวัตถุประสงค์ รัฐบาลทักษิณเสี่ยงต่อการที่วิธีการจะไปทำลายวัตถุประสงค์ ผมเห็นด้วยกับวัตถุประสงค์ แต่ผมก็อยากจะปรับวิธีการบางอย่างสำหรับอนาคต
วิธีการแบบไหนของรัฐบาลทักษิณที่คิดว่าทำให้สังคมไทยรับไม่ได้ ?
คือการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยโดยไม่หาบันไดลงให้ใครเลย อันนี้ทำไม่ได้...ผิด เพราะมันทำให้ทุกคนกลายเป็นศัตรูโดยไม่จำเป็น ที่ผ่านมาเราสร้างศัตรูที่ไม่จำเป็นไว้เยอะมาก เพียงเพราะเราคิดว่าเราถูก ในสังคมไทย คนถูก-คนผิดสุดท้ายก็อยู่ด้วยกัน
สังคมไทยเป็นสังคมอยู่ด้วยกัน มีความเชื่อส่วนตัวแล้วยังมีเป้าหมายส่วนรวมในการอยู่ด้วยกัน ซึ่งตรงนี้สร้างขึ้นมาจนเป็นระบบไทยที่ทำให้รวมกันเป็นกลุ่ม ตรงนี้ละเลยไปหน่อย แล้วทำให้เกิดกระแสต่อต้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนที่ชื่นชอบรัฐบาลทักษิณก็ยังมีเยอะ แต่คนที่ไม่ชื่นชอบในวิธีการของคณะรัฐประหารและรัฐบาลปัจจุบันและไม่ได้เทใจให้คุณทักษิณก็มากพอสมควร ตรงนี้เกิดขึ้นจากการที่คุณทักษิณได้ทำไว้ในตอนนั้น ถ้าย้อนกลับไปได้คุณทักษิณต้องไปแก้ตรงนั้น คือต้องมีทางออกให้คน
จากคุณ :
OscaMee
- [
24 เม.ย. 50 02:50:49
A:124.120.114.51 X:
]