ความคิดเห็นที่ 87
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : คณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. และนักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "กรุงเทพธุรกิจ" โดยแสดงความเป็นห่วง 4 ปมใหญ่ๆ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าจะสร้างปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในอนาคตอันใกล้
ปมแรก คือบทบัญญัติหลายๆ มาตรามีสัญญาณที่สื่อให้เห็นว่า มีความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และพวกพ้อง ได้แก่
- การกำหนดระบบการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ และมี ส.ส.แบบสัดส่วนแยกตามภาค ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบันสามารถส่ง "นอมินี" ลงสมัคร ส.ส.ได้ทั้งในระบบแบ่งเขตและระบบสัดส่วน โดยเฉพาะในระบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ เขตละ 3 คน สามารถให้ผู้สมัครที่มีฐานเสียงเข้มแข็งในเขตนั้น "หิ้ว" ผู้สมัครที่เป็น "นอมินี" เข้าสภาได้โดยง่าย และเมื่อคนเหล่านั้นได้เป็น ส.ส.ก็สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้
- การกำหนดให้มี ส.ว. หรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 160 คน มาจากระบบสรรหา สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามต่อท่ออำนาจอย่างชัดเจน เนื่องจากคณะกรรมการสรรหา ส.ว. มาจากผู้พิพากษาศาลฎีกา , ตุลาการศาลปกครองสูงสุด , ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระอื่นอีก 4 องค์กร ซึ่งบางองค์กรได้รับแต่งตั้งจากผู้ที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน
- การกำหนดให้มีคณะบุคคลซึ่งเป็นประธานองค์กรหลักๆ ในบ้านเมือง สามารถประชุมเพื่อหาทางออกในยามที่ประเทศชาติประสบวิกฤติได้ ตามบทบัญญัติมาตรา 68 วรรค 2 เรื่องนี้ก็เป็นความพยายามที่จะกุมสภาพนายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง โดยอาจเป็นแนวคิดในเชิงความมั่นคง แต่คณะบุคคลดังกล่าวจะกลายเป็นองค์กรเหนือรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจเหนือผู้ที่ประชาชนเลือกตั้งมา
- การระบุในบทเฉพาะกาลให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในองค์กรอิสระปัจจุบัน สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้จนหมดวาระ ซึ่งองค์กรอิสระหลายองค์กรก็เป็นผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ปมที่สอง คือการผลักดันให้ฝ่ายตุลาการออกมาใช้อำนาจในระบบการเมืองและควบคุมองค์กรตรวจสอบต่างๆ มากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่ประเด็นที่เกี่ยวโยง ได้แก่
- กระบวนการสรรหา ส.ว. มีตัวแทนจากศาล 3 ใน 7 คนเป็นคณะกรรมการสรรหา และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการสรรหา ก็มาจากศาล
- องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาจากศาลถึง 5 คน คือเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา 3 คน และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิ 2 สาขาอีก 4 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 2 สาขานั้น ก็มาจากคณะกรรมการสรรหาซึ่งมีประธานศาล 2 ศาลรวมอยู่ด้วย
- คณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา , สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ล้วนมีตัวแทนจากฝ่ายตุลาการเข้าร่วมสรรหาทั้งสิ้น
- การกำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีเลือกตั้ง ส.ส. และให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น
การเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้ทำให้สถาบันศาลก้าวออกจากอาณาจักรของตน เข้าสู่อาณาจักรการเมือง อันจะส่งผลให้ศาลไม่ได้เป็นองค์กรอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น แต่จะกลายเป็นองค์กรจัดระเบียบฝ่ายการเมืองทั้งระบบ
หลายคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าตุลาการภิวัฒน์ แต่สำหรับผมเห็นว่าตุลาการภิวัฒน์ล้มเหลวไปตั้งแต่ก่อนวันที่ 19 กันยายนแล้ว เพราะถ้าตุลาการภิวัฒน์สำเร็จ การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนต้องไม่เกิด
ที่สำคัญการไปเขียนรัฐธรรมนูญให้บทบาทศาลมากๆ ย่อมทำให้ศาลสุ่มเสี่ยงต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองมากขึ้น และอาจกระทบกับความเที่ยงธรรมในการพิจารณาอรรถคดีซึ่งจำเป็นต้องมีอิสระ ปราศจากอคติและการครอบงำใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ทางการเมืองของประชาชนก็จะเหลือเล็กลง คือเหลือแค่ ส.ส.ระบบเขตเพียง 320 คน และการเมืองหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะถูกล้อมรอบไปด้วยอดีตข้าราชการ ซึ่งเข้ามาตามช่องทางของ ส.ส. , ส.ว. และองค์กรอิสระ ถือเป็นการทำลายกระบวนการประชาธิปไตย และสุดท้ายจะนำไปสู่ความขัดแย้งและต่อสู้กันอย่างรุนแรง โดยรัฐธรรมนูญก็มีโอกาสจะถูกฉีกทิ้งอีกครั้ง
ปมที่สาม วิธีการเขียนรัฐธรรมนูญค่อนข้างสับสน การจัดหมวดหมู่มีปัญหา และยังมีการบัญญัติคำใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งสร้างความสับสนและจะนำไปสู่การตีความกันวุ่นวายในอนาคต
ปมที่สี่ ปัญหาการเชื่อมโยงและเรียงร้อยประเด็นต่างๆ ในร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังทำได้ไม่ดีพอ และส่อเค้าว่าจะทำให้เกิดปัญหาการตีความตามมาในอนาคตเช่นกัน
ทั้ง 4 ปมที่ยกมานี้ ยังไม่รวมถึงปัญหาการเรียกร้องให้บัญญัติ "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งประเด็นนี้กลายเป็นการต่อสู้กันระหว่าง คมช. กับกลุ่มที่อยู่ตรงข้าม คมช.ไปโดยปริยาย โดยใช้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน และมีการลง "ประชามติ" เป็นฟางเส้นสุดท้าย
สำหรับทางออกของปัญหาในขณะนี้ มีอยู่ 2 แนวทาง คือ
1.ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยเฉพาะใน 4 ปมใหญ่ๆ ที่ไล่เรียงมา จากนั้นในชั้นการแปรญัตติของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ให้บัญญัติข้อความพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงไปด้วย เพื่อให้ฝ่ายต่อต้าน คมช.หมดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ หรือคว่ำประชามติ
2.ล็อบบี้ให้ ส.ส.ร.ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในชั้นการพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเงื่อนไขที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ผ่านการพิจารณา ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2549 โดยไม่ต้องรอไปถึงการลงประชามติ เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง จากนั้นให้ คมช.นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาประกาศใช้ และรีบคืนอำนาจสู่ประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยเยียวยาปัญหาและสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง
จากคุณ :
หอมรำเพย
- [
28 เม.ย. 50 09:08:32
A:58.9.190.178 X:
]
|
|
|