Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ต่างชาติ เขาพูดถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในแง่ดีอีกแล้ว

    โดย David Hughes
    แปลและเรียบเรียง Mrs Due
    ที่มา นิตยสาร Aviation Week & Space Technology 04/23/2007, page 58
    1 พฤษภาคม 2550

    ระบบบังคับการบินแบบใหม่ สามารถจับการเคลื่อนไหวของอากาศยาน และนำไปเทียบเคียงกับตารางการบินได้โดยอัตโนมัติ

    ด้วยหอบังคับการบินที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ในโลก และด้วยระบบควบคุมการจราจรทางอากาศแบบอัตโนมัติที่จัดว่าทันสมัยที่สุด อันประกอบด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัยรุ่นล่าสุด ทำให้ท่าอากาศยานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ มีความพร้อมในการรองรับการจราจรทางอากาศของทวีปเอเชีย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในห้วงทศวรรษที่กำลังจะมาถึง

    แม้ว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งมีค่าก่อสร้าง 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะเป็นปัญหาทางการเมืองของไทย มาตั้งแต่ภายหลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่เป็นผู้สร้างสนามบินแห่งนี้ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และเแม้ว่าปัญหารันเวย์ร้าวที่สามารถซ่อมแซมได้ และปัญหาอื่นๆ จะถูกหยิบยกมาสู่สายตาสาธารณชน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่ต้องการจะพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่ารัฐบาลชุดที่แล้วได้สร้างปัญหาไว้ แต่สนามบินแห่งนี้ก็ยังสามารถขยายรันเวย์ออกไปได้อีกมากมายในอนาคต และมีศักยภาพที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคได้เลยทีเดียว

    หอบังคับการบิน และระบบเรดาร์ควบคุมของสนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ ได้ถูกติดตั้งโดยบริษัทธาลส์ (Thales) ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบริษัทผู้ติดตั้งระบบบังคับการบิน ให้สนามบินชั้นนำในออสเตรเลีย และจีน โดยใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด และมีหน่วยงานของบริษัทธาลส์แห่งออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตซอฟแวร์ให้กับระบบ

    ระบบปฏิบัติการของบริษัทธาลส์ ชื่อ ทีโคส (Tecos) เป็นระบบปฏิบัติการที่หอบังคับการบินใช้ในการจัดการข้อมูลการบิน ระบบนี้เชื่อต่อกับระบบนำทางและควบคุมการเคลื่อนไหวบนพื้นผิวแบบซับซ้อน ซึ่งมีชื่อว่าระบบสตรีม (Streams) และทั้งระบบทีโคส และสตรีม ยังเชื่อมต่อกับระบบ ยูโรแคท เอ็กซ์ (Eurocat X) ซึ่งเป็นระบบที่อยู่ในส่วนควบคุมการเข้ารันเวย์ ซึ่งนายสเตฟาเน่ พอล วิศวกรระบบของบริษัทธาลส์ กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทธาลส์ ได้วางโปรแกรมโดยนำระบบ ยูโรแคท-สตรีม-ทีโคส มาปฏิบัติงานร่วมกัน

    การประสานงานของระบบที่ซับซ้อนเช่นนี้เอง ที่ทำให้ส่วนควบคุมการเข้าสู่สนามบินของอากาศยาน กับหอบังคับการบินสุวรรณภูมิ สามารถจัดการจราจรทางอากาศ โดยไม่ต้องวิทยุหรือโทรศัพท์หากัน

    เมื่ออากาศยานเริ่มออกจากประตูเทียบ ข้อมูลจะถูกส่งไปสู่ และส่งระหว่างส่วนควบคุมต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกันโดยอัตโนมัติ ส่วนแสดงผลของระบบสตรีม ที่ควบคุมพื้นผิวของท่าอากาศยาน (รวมพื้นที่ส่วนรันเวย์ แท็กซี่เวย์ และประตูเทียบ) แสดงผลให้ผู้ควบคุมบนหอบังคับการบินได้เห็นว่าอากาศยานกำลังเคลื่อนออกจากประตูเทียบและส่วนแสดงผลของระบบควบคุมการเข้ารันเวย์จะแสดงผลว่ากำลังมีอากาศยานเดินทางสู่รันเวย์ และจะบินขึ้นภายใน 5-20 นาที

    นายพอล อธิบายว่า หากมีความจำเป็น ผู้ควบคุมบนหอบังคับการก็ยังสามารถสื่อสารระหว่างกัน และกับส่วนควบคุมการเข้าออกสนามบิน เมื่อมีสถานการณ์ที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ระบบอัตโนมัติจะจัดการได้ แต่ในสถานการณ์ปกติ การใช้ระบบดิจิตอลเชื่อมต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบังคับการบินมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าการใช้อุปกรณ์ที่ใช้อยู่เดิมเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ระบบทีโคสจะทำให้ไม่ต้องใช้แถบกระดาษอีกต่อไป เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเที่ยวบินทั้งหมดจะถูกแสดงบนจอคอมพิวเตอร์

    ในอดีตที่ผ่านมา บริษัทธาลส์ได้เคยขายระบบ ยูโรแคท เอ็กซ์ ทั้งหมด 260 ชุด ให้กับ 55 ประเทศทั่วโลก ระบบแบบประสานแบบใหม่ที่ใช้กับประเทศไทยนี้จะเป็นการโฆษณาให้ลูกค้าเก่าทั้งหมดมีความสนใจจะอัพเกรดโปรแกรมตัวเก่าที่ใช้อยู่ นายพอลกล่าวว่า ประเทศออสเตรเลียได้เริ่มใช้ระบบยูโรแคทของบริษัทธาลส์ เป็นฐานให้กับระบบบังคับการบินออสเตรเลีย ซึ่งมีมูลค่า 290 ล้านเหรียญสหรัฐ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ต่อมาระบบยูโรแคท เอ็กซ์ ที่ติดตั้งไปทั่วโลกนั้นก็เป็นผลงานของหน่วยงานของบริษัทธาลส์แห่งออสเตรเลีย ที่มีสำนักงานอยู่ที่เมลเบิร์น (อ้างอิงจาก AW&ST June 13, 2005, p. 180)

    สนามบินสุวรรณภูมิยังใช้อุปกรณ์ เอสแบนด์ เรดาร์ (S-band radar) ของบริษัทธาลส์ ชื่อว่า ธาลส์สตาร์ 2000 (Thales STAR 2000) ซึ่งมีรัศมี 60-90 ไมล์ และระบบ อาร์เอสเอ็ม 970 เอส โมโนเพาส์ (RSM 970S monopulse) ซึ่งเป็นระบบเรดาร์ติดตามทุติยภูมิ (secondary surveillance radar) ซึ่งมีรัศมี 250 ไมล์ทะเล

    บรรณาธิการนิตยสาร Aviation Week & Space Technology ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบังคับการบินอื่นๆ ในการเยี่ยมชมสนามบินซึ่งจัดโดยแอร์โรไทย (Aerothai) บรรณาธิการของเราได้สังเกตการแสดงผลของระบบสังเกตการณ์ของหอบังคับการ จอแสดงผลแสดงภาพอากาศยานถอยออกจากประตูเทียบ และเคลื่อนสู่รันเวย์ ในขณะที่อากาศยานอื่นๆ ก็กำลังลงจอด ขึ้นบิน หรือเข้าสู่แท็กซี่เวย์เพื่อเข้าบริเวณประตูเทียบ รถยนต์ รถตู้ และรถบรรทุกของส่วนยานยนต์ ที่ถูกติดตั้งอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ก็ปรากฎภาพบนจอแสดงผล วันที่เราไปสังเกตการณ์นี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทัศนวิสัยชัดเจน แต่ในกรณีที่ทัศนวิสัยไม่ดี ระบบควบคุมการเคลื่อนไหวบนพื้นผิวจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ควบคุมสามารถสังเกตการณ์การจราจรทั้งหมดภายในสนามบิน และเห็นแม้กระทั่งอากาศยานที่กำลังเข้าใกล้รันเวย์เพื่อลงจอด

    สนามบินสุวรรณภูมิมีรันเวย์ขนาดกว้าง 60 เมตร อยู่ 2 รันเวย์ รันเวย์แรกยาว 4,000 เมตร (13,120 ฟุต) และอีกรันเวย์หนึ่งยาว 3,700 เมตร โดยมีแท็กซี่เวย์คู่ขนานไปด้วยเพื่อรองรับการขึ้นและลงของอากาศยานพร้อมๆ กัน ณ เวลาปัจจุบันสามารถรองรับเที่ยวบินได้ 76 เที่ยวบินต่อ 1 ชั่วโมง และสนามบินสุวรรณภูมิยังมีแผนการที่จะเพิ่มรันเวย์อีก 2 รันเวย์ ในการก่อสร้างสนามบินเฟสถัดไป

    บริษัทเทอร์มาเรดาร์ซิสเต็ม (Terma Radar Systems) ของเดนมาร์ก เป็นผู้ติดตั้งเรดาร์จับการเคลื่อนไหวบนพื้นผิวให้กับสนามบินสุวรรณภูมิ บริษัทเซนสิส คอร์ป (Sensis Corp.) แห่งนิวยอร์ค เป็นผู้ติดตั้งระบบติดตามตำแหน่งของอากาศยานแบบมัลไทแลทเตอเรชั่น (multilateration)

    ระบบมัลไทแลทเตอเรชั่นใช้ตัวทรานสปอนเดอร์ (transponder) ในการรับสัญญาณจากเสาอากาศหลายๆ จุดในสนามบิน (เป็นการติดตั้งแบบราคาไม่แพง และการดูแลรักษาก็ไม่แพงเช่นกัน เนื่องจากไม่มีจานหมุนเหมือนเรดาร์) ระบบจะวัดค่าเวลาที่แตกต่างของการมาถึงสนามบินของอากาศยาน และจะสามารถระบุตำแหน่งของอากาศยานภายในระยะ 5 เมตรจากสนามบิน ต่อจากนั้นจะวัดตำแหน่งของอากาศยานด้วยอัตรา 2 ครั้งต่อ 1 วินาที ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วกว่าการใช้จานเรดาร์แบบหมุนเป็นอย่างมาก

    นายมาร์ค วิกจิอาโน ประธานบริษัทเซนสิส เชื่อมั่นว่าระบบติดตามพื้นผิวเช่นมัลไทแลทเตอเรชั่น จะสามารถช่วยให้สนามบินจัดการจราจรที่หนาแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างปลอดภัย และเทคโนโลยีนี้ยังสามารถช่วยให้ผู้ให้บริการการนำร่องทางอากาศสามารถปรับไปใช้ระบบติดตามแบบออโตเมติก ดีเพนเดนท์ (Automatic Dependent Surveillance-Broadcast – ADS-B ) ได้ในอนาคต

    ประเทศออสเตรเลียเป็นตัวอย่างของประเทศหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่กำลังเปลี่ยนมาใช้ระบบติดตามแบบ เอดีเอส-บี ทั่วประเทศ และระบบนี้กำลังได้รับการสาธิตในประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้การนำของผู้อำนวยการใหญ่การบินพลเรือน โดยความช่วยเหลือของแอร์เซอร์วิส แห่งประเทศออสเตรเลีย และ องค์กร SITA ส่วนสนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี ที่นิวเดลี ก็ใช้ระบบมัลไทแลทเตอเรชั่น ร่วมกับระบบติดตามพื้นผิวของบริษัทเซนสิส ซึ่งบริษัทเซนสิสกำลังแข่งขันกับบริษัทธาลส์ ในการเป็นผู้ติดตั้งระบบติดตามพื้นผิว และได้กำลังติดตั้งระบบดังกล่าวในอินเดีย ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งรวมทั้งสนามบินบริสเบน เมลเบอร์น และซิดนีย์

    ในขณะเดียวกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้บังคับการบินสามารถมองเห็นพื้นผิวสนามบินได้ 360 องศา จากหอที่สูงเป็นพิเศษถึง 132.2 เมตร แอโรไทยกล่าวว่านี่เป็นหอบังคับการบินที่สูงที่สุดในโลก และกำลังเถียงกับหอบังคับการบินแห่งสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ที่อ้างว่าหอของตัวสูงกว่า ด้วยความสูงถึง 132.5 เมตร นี่ยังไม่รวมหอบังคับการบินสำหรับเครื่องบินทะเลที่ท่าเรือแวนคูเวอร์ ประเทศแคนนาดา ซึ่งมีความสูงถึง 141 เมตร แต่หอแห่งนี้ไม่ใช่หอแบบ free-standing structure อย่างหอของสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้นอาจจะไม่นำมาจัดอันดับร่วมกันได้ ขึ้นอยู่กับผู้ตัดสินว่าเป็นใคร

    อย่างไรก็ตาม การจะมาแข่งกันเกี่ยวกับเรื่องความสูงของหอนั้น ย่อมไม่สำคัญเท่ากับการที่สนามบินสุวรรณภูมิได้ทำให้ผู้บังคับการบินได้เห็นวิวจากรันเวย์ ทางลาด และประตูเทียบ แบบที่ยากยิ่งที่ผู้บังคับการบินของสนามบินอื่นจะได้เห็น และก็มีพื้นที่ให้ดูอย่างกว้างขวางเสียด้วย เนื่องจากสนามบินแห่งนี้มีพื้นที่ถึง 32.4 ตารางกิโลเมตร (12.5 ตารางไมล์) เมื่อเทียบกับพื้นที่เพียง 13.3 ตารางกิโลเมตร ของสนามบินฮีทโธร์ว แห่งลอนดอน ซึ่งเป็นสนามบินขนาดย่อมกว่ามาก ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นฐานลำเลียงให้กับกองทัพอากาศอังกฤษ เมื่อตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 รันเวย์คู่ขนานของสนามบินฮีทโธร์ว มีระยะห่างกันเพียง 1,400 เมตร เท่านั้น เทียบกับระยะห่างระหว่างรันเวย์มากกว่า 2,000 เมตร ของสนามบินสุวรรณภูมิ

    การเยี่ยมชมหอบังคับการบินของสนามบินสุวรรณภูมิครั้งนี้ จัดโดยแอโรไทย ให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมคอนเฟอเรสส์การจัดการจราจรทางอากาศจำนวน 300 คน การประชุมครั้งนี้เน้นถึงความจำเป็นในการเพิ่มความร่วมมือระหว่างหน่วยงานพลเรือน และกองทัพ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการจราจรทางอากาศทั่วโลก เครื่องบินส่วนใหญ่ที่ใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นเครื่องบินพลเรือน สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 45 ล้านคนต่อปี และมีแผนจะขยายเป็นสองเท่าในปี ค.ศ. 2015

    เทอร์มินอลแรกของสนามบินสุวรรณภูมิ มีพื้นที่ถึง 563,000 ตารางเมตร มีประตูเทียบ 51 ประตู ซึ่งนับว่าเป็นเทอร์มินอลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว และเทอร์มินอลที่สอง กับอาคารอื่นๆ ที่กำลังวางแผนสร้างในอนาคต จะทำให้สนามบินแห่งนี้ขยายขนาด จากรองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปี เป็นถึง 100 ล้านคนต่อปี โดยมีคาร์โกที่รองรับได้ถึง 6.4 ล้านเมตริกตันต่อปี

    เมอร์ฟี/ยานห์ อินคอร์เปอร์เรชั่น ซึ่งมีสำนักงานที่ชิคาโก้ เป็นผู้ออกแบบและตกแต่งภายในสนามบินแห่งนี้ ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงรูปปั้นและภาพวาดอันมีเอกลักษณ์ของไทยโบราณ

    จากคุณ : pea_nort - [ 2 พ.ค. 50 18:21:05 A:203.114.110.134 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom