Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    อาจารย์มธ.ระบุแค่ตั้งคณะตุลาการก็ผิดแล้ว

    ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
    คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    บทนำ

             Lord Denning กล่าวว่า ‘คำพิพากษาของศาลเป็นของสาธารณะ' ซึ่งหมายความว่า เมื่อผู้พิพากษาได้วินิจฉัยข้อพิพาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว สาธารณชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ ผู้เขียนจึงขอใช้สิทธิวิจารณ์คำตัดสินคดียุบพรรคการเมืองด้วยประเด็นวิเคราะห์ แยกออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

    1. ประเด็นของตัวองค์กร

                   1.1 ความชอบธรรมขององค์กร

             ตุลาการรัฐธรรมนูญนี้มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ในเมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรมแล้ว คำถามมีว่าทำไมตุลาการทั้ง 9 ท่านจึงไม่ยอมใช้มโนธรรมสำนึกส่วนตนหรือความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะไม่นั่งร่วมพิจารณาคดีนี้ ซึ่งทางเลือกนี้ก็เคยมีผู้พิพากษาต่างประเทศของหลายประเทศยอมลาออก เช่น ผู้พิพากษาของประเทศโรดีเซีย ปากีสถาน ฟิจิ (Resignation of Office) โดยอาจอ้างเหตุผลได้หลายประการ เช่น

    ประการที่หนึ่ง อาจอ้างหลักที่ว่า หากองค์กรใดก็ตามถูกยุบ องค์กรใหม่ที่ถูกตั้งแทนขึ้นมานั้นจะต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับองค์กรเดิมที่ถูกล้มล้างไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเขตอำนาจ อำนาจหน้าที่ ฯลฯ  หลักการนี้ได้รับการยืนยันจากศาลสูงของประเทศไซปรัส จะเห็นได้ว่า แม้ศาลของต่างประเทศก็รู้จักหลักข้อนี้ แต่ทำไมตุลาการรัฐธรรมนูญจึงไม่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณา

    ประการที่สอง ตุลาการทั้ง 9 ท่านน่าจะรู้เท่าทันถึงความไม่สุจริตมาตั้งแต่ต้นของ คปค. ที่ออกคำสั่งยุบศาลรัฐธรรมนูญ แต่คงไว้เฉพาะศาลยุติธรรมและศาลปกครอง คำถามมีว่าทำไมคณะรัฐประหารจึงยกเลิกเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีสถานะเป็น ‘องค์กรตุลาการ' ทำในนามพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ดุจเดียวกับศาลยุติธรรมและศาลปกครอง อีกทั้งยังมีคำสั่งยุบเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญและกำหนดให้คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญโอนมาอยู่กับตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งหนึ่งในคดีที่สำคัญก็คือคดียุบพรรค คำถามมีว่า ทั้งๆ ที่คณะรัฐประหารมีอำนาจที่จะยุบพรรคได้อยู่แล้วทำไม่ทำ แต่กลับมายืมมือตุลาการเพื่อหลอกให้ประชาชนเห็นว่า คดียุบพรรคการเมืองได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้ว เป็นการลดกระแสแรงต้านทานของประชาชน

    อีกทั้งภายหลัง คปค.ยังได้ออกประกาศฉบับที่ 27 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งย้อนหลัง 5 ปีนั้น บ่งบอกให้เห็นว่ามุ่งหมายจะใช้กับพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง อันแสดงให้เห็นถึงความไม่สุจริตแล้ว ตุลาการรัฐธรรมนูญ ควรถอนตัวหรือให้เหตุผลว่า ตนเองไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้

    ประการที่สาม ตุลาการอาจอ้างทฤษฎี  ‘ปัญหาการเมือง' (political question) แม้ว่าทฤษฎีนี้จะเป็นที่ยอมรับกันในระบบคอมอนลอว์ก็ตาม แต่ระบบกฎหมายไทยในปัจจุบันก็ได้รับอิทธิพลจากกฎหมายอังกฤษเป็นจำนวนมาก ทฤษฎี ‘ปัญหาการเมือง' หมายความว่า ตุลาการจะไม่วินิจฉัยคดีประเด็นปัญหาที่เป็นข้อพิพาททางการเมือง

    การที่ตุลาการรัฐธรรมนูญยังคงนั่งพิจารณาคดีนี้ต่อไปเท่ากับยอมตนเป็น ‘เครื่องมือ' ของคณะรัฐประหารแล้ว ซึ่งประเด็นเรื่องการแต่งตั้งตุลาการเฉพาะกิจนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติก็ได้แสดงข้อวิตกกังวลในเรื่องของที่มาของผู้พิพากษาของประเทศซีเรียแล้ว ดังนั้น ในอนาคต ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดนี้อาจถูกตั้งคำถามจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้

                1.2 ความเคลือบแคลงต่อหลักความเป็นอิสระและความเป็นกลาง

             แม้ตุลาการรัฐธรรมนูญจะออกมายืนยันถึงความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการวินิจฉัยคดีก็ตาม แต่ความเป็นอิสระและความเป็นกลางนั้นมิได้มาจากคำพูดของตัวท่านเองอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาปัจจัยและสภาพแวดล้อมอื่นประกอบด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือที่มา ในเมื่อคณะรัฐประหารเป็นผู้แต่งตั้งตุลาการชุดนี้ ย่อมไม่พ้นข้อครหาไปได้ อีกทั้งก่อนวันตัดสินประธาน คมช. ได้เดินทางไปพบประธานศาลปกครองสูงสุดและรองประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่อาจห้ามให้ประชาชนตั้งแง่สงสัยถึงความเป็นอิสระได้

    2. ประเด็นของกฎหมายที่ใช้ประกอบการตัดสิน
            ในเมื่อผ่านประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล (Jurisdiction) มาแล้ว ตุลาการรัฐธรรมนูญก็ยังพอมีหนทางที่จะรักษาหลักนิติธรรมไว้ได้ โดยจะพิจารณาดังต่อไปนี้

              2.1 หลักห้ามลงโทษย้อนหลังใช้กับโทษอาญาเท่านั้นใช่หรือไม่

            หลักห้ามลงโทษทางอาญาย้อนหลังกับผู้กระทำความผิดนั้นเป็นหลักสากลที่นานาอารยประเทศรับรอง แต่หลักกฎหมายนี้ นักกฎหมายไทยส่วนใหญ่เข้าใจหรือตีความว่า ใช้เฉพาะกับโทษทางอาญา  5 สถานเท่านั้น คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน เท่านั้น แต่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มิใช่หนึ่งในโทษทางอาญา 5 สถานเพราะฉะนั้นจึงกระทำได้

    แท้จริงแล้ว หลักนี้ใช้กับมาตรการที่มีลักษณะเป็นเชิงลงโทษอย่างร้ายแรงอีกด้วย (punitive measures)  ศาล European Court of Human Rights ได้วินิจฉัยในคดี Case of Welch v. The United Kingdom 1995, Application no. 17440/90)  ตัดสินเมื่อวันที่  9 กุมภาพันธ์ 1995 การตรากฎหมายให้มี ‘คำสั่งยึดทรัพย์' (confiscation order) ย้อนหลังได้นั้น ถือว่ามีความร้ายแรงเท่ากับการลงโทษทางอาญาแล้ว ผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ขัดต่อหลักที่ว่า "โทษที่จะลงโทษผู้กระทำผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในขณะที่ความผิดได้กระทำขึ้น" เหตุผลดังกล่าวก็ได้สอดคล้องจากผู้พิพากษาอังกฤษด้วย โดยเห็นว่า คำสั่งยึดทรัพย์นั้น มีผลร้ายเทียบเท่าหรือก่อให้เกิดโทษทางอาญาเหมือนกัน แม้แต่ผู้พิพากษาศาลอุธรณ์คือ เซอร์  Thomas Bingham  ก็กล่าวว่า ‘คำสั่งยึดทรัพย์'  ถือว่าเป็นบทลงโทษทางอาญา (penal provision) ในความหมายอย่างกว้างแล้ว

    ดังนั้น การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเข้าข่ายเป็นมาตรการเชิงลงโทษอย่างร้ายแรงแล้ว หากตีความว่า ผู้มีอำนาจอาจตรากฎหมายย้อนหลังเป็นโทษอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้ไม่เข้าข่ายโทษอาญา 5 สถานเป็นอันใช้ได้ ก็เท่ากับอำนาจออกกฎหมายของคณะรัฐประหารไม่มีขีดจำกัด ซึ่งหมายความว่าต่อไปภายภาคหน้า รัฐบาลอาจออกกฎหมายย้อนหลังถอนสัญชาติไทยของ คมช. ทำให้ คมช.มีสถานะเป็น ‘คนต่างด้าว' ยังผลให้สามารถต้องคำสั่ง ‘เนรเทศ' ได้อีก ผลก็คือ คมช. ต้องออกจากประเทศไทยและไม่สามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีกเพราะขาดคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง คำถามมีว่า เราจะยอมรับกติกาที่ว่า รัฐสามารถตรากฎหมายย้อนหลังได้ตราบเท่าที่ไม่ใช่โทษทางอาญา ไม่ว่าโทษที่ได้รับนั้นจะรุนแรงหรือไม่เป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลร้ายมากน้อยเพียงใดก็ตามใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบว่าใช่ ก็เป็นเรื่องที่ คมช.และ คตส.ต้องเตรียมตัวให้ดี มิให้เกิด ‘ดาบนี้คืนสนอง'

    นอกจากนี้แล้วรัฐธรรมนูญบางประเทศอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีข้อห้ามในการตรากฎหมายย้อนหลัง (ex post facto) ด้วย ก่อนจบประเด็นนี้ ผู้เขียนขอยกคำพูดของศาสตราจารย์ Lon Fuller ได้เขียนในตำรามีชื่อของท่านคือ ‘ศีลธรรมของกฎหมาย' (the Morality of Law) ว่า "การตรากฎหมายย้อนหลัง (เป็นโทษ) เป็นความอัปลักษณ์อย่างแท้จริง"



    2.2 สถานะประกาศของ คปค. ฉบับที่ 27: การเพิกถอนสิทธิการเมืองย้อนหลัง 5 ปี

    ตามหลักกฎหมายทั่วไปและกฎหมายสิทธิมนุษยชน คำว่า ‘กฎหมาย' นั้น มิได้พิจารณาแต่เพียง ‘รูปแบบ' ตามแบบพิธีเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาที่ ‘เนื้อหา' ด้วย แม้แต่คณะกรรมาธิการนักนิติศาสตร์ระหว่างประเทศ (International Commission of Jurists) ชี้ให้เห็นว่า คำว่า ‘the rule of law' นั้นมิได้มีความหมายเพียงแค่ ‘ความชอบด้วยกฎหมาย' (Legality) หรือ นักวิชาการบางท่านชี้ให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง ‘ปกครองด้วยกฎหมาย' (ruled by law) กับ ‘ปกครองโดยหลักนิติธรรม' (rule of law) อย่างแรกหมายถึงเป็นการปกครองโดยกฎหมายโดยไม่สนใจว่า กฎหมายนั้นจะชอบธรรมหรือเป็นธรรมหรือไม่ ขอให้ออกโดยผู้มีอำนาจเป็นอันใช้ได้ ขณะที่อย่างหลัง ให้ความสำคัญกับ ‘ที่มา' และ ‘เนื้อหาสาระ' ของกฎหมายด้วย คำถามมีอยู่ว่า สังคมไทยพอใจและพร้อมที่จะยอมรับกติกาแบบแรกใช่หรือไม่

    จากคุณ : P_Negotiate - [ 7 มิ.ย. 50 15:05:15 A:124.120.218.117 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom