ความคิดเห็นที่ 3
เดิมก่อนช่วงการปฏิวัติประชาธิปไตยที่ทหารเป็นรัฐบาลครองเมือง ประชาชนมีความเป็นอยู่ แบ่งเป็นสองส่วน 1 คือส่วนที่อยู่ ในเมืองหลวง 2 คือส่วนที่อยู่ ตามภูมิภาค หรือพวกรากหญ้า ประเทศไทย ตอนนั้นสื่อต่างๆ ยังมีไม่ทั่วถึง อย่างเก่งก็มีแค่สถานีวิทยุที่เป็นกระบอกเสียง ของทหารไม่กี่แห่ง ที่มีหน้าที่ ออกอากาศ มอมเมาประชาชน สร้างจินตนาการความหวังว่าผู้นำ และผู้บริหาร มีความดี ความงาม ความชอบธรรมสารพัด ประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดก็ก้มหน้าก้มตาหากินส่งส่วยภาษีไป ลูกหลานก็ต้องใช้แรงงาน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เพราะธรรมชาติของเผด็จการจะไม่ยอมให้ประชาชนมีความคิดหัวก้าวหน้าเด็ดขาด พอมาอยู่กรุงเทพ ก็ไม่สามารถปรับตัวได้เพราะสังคมมันต่างกันสุดขั้ว คนต่างจังหวัดที่จิตใจดีงาม และไม่สงสัยในสื่อของรัฐที่มอมเมาความดีความงามของคนเมืองกรุง แต่พอมาจริงๆ กับคนเมืองกรุง และพวกผู้นำที่บอกว่าประเทศมีแต่ความดีความเจริญมีน้ำใสใจคอที่ดีมีเมตตา กลับเจอแต่ความเอารัดเอาเปรียบ ศักดินาเจ้านาย กับบ่าวไพร่ ชัดเจน สำหรับในเมืองกรุง ประชาชนหัวก้าวหน้า และนิสิตนักศึกษา หัวสมัยใหม่ รวมถึงสื่อสารมวลชน โดนครอบงำความคิด ให้เป็นแบบเบ็ดเสร็จ โดยรัฐบาลทหารให้มีการเรียนการสอน การนำเสนอ โดยเอาพวกผู้นำเป็นศูนย์กลาง ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ หากสื่อวิจารณ์ก็สั่งปิดสื่อ นักศึกษาวิจารณ์ การเมือง หรือนักวิชาการวิจารณ์การเมืองก็ถูกอุ้มหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งเป็นการกดขี่ในรูปแบบเผด็จการทหาร เมื่อกดขี่โหดร้ายของเผด็จการที่กดหัวประชาชนถูกบ่มเพาะสุกงอม จึงมีการปฏิวัติเรียกร้องประชาธิปไตย จะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ การเรียกร้องประชาธิปไตยล้มล้างเผด็จการ ของประชาชน นิสิตนักศึกษา แต่การจะได้มาก็เป็นการบ่มเพาะอุดมการณ์ร่วมกันของประชาชนอย่างยาวนาน ซึ่งไม่ใช่การร้องขอ นั่นก็คือความร้ายกาจ และนิสัยของรัฐบาลเผด็จการทหารในอดีต แต่อนิจจา ปัจจุบันนี้ กลับตาลปัด นักศึกษา นักวิชาการ ประชาชน กลับยอมรับในการถูกครอบงำ โดยเผด็จการ คมช อย่างไม่รู้สึกอะไร เลย นั่นเป็นเพราะว่า ความร้ายกาจของระบอบเผด็จการได้เลือนหายไปจากความทรงจำของคนยุคนี้แล้ว คนที่อยู่ต่อยุคที่ยังเห็นความร้ายกาจอยู่ รวมถึงคนต่อสู้ประชาธิปไตย สมัยก่อน อย่าง ธีรยุท บุญมี ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และขยาด ที่สำคัญ อุดมการณ์คนสมัยนี้ไม่มีแล้ว ต่างถูกครองงำด้วยความสุขสบาย ตามสมัย ทุนนิยมบริโภคเฟื่องฟู นักเพลงเพื่อชีวิต ทุกวันนี้ บางคนไม่มีจุดยืนหรืออุดมการณ์อะไรเลย เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความโก้เก๋ แปลกแหวกแนว แบบเถื่อนๆ พอมีกระแส หากเห็นว่าจะได้คะแนนนิยมก็วิ่งไปหากระแส ผมคิดว่านักเพลงเพื่อชีวิตที่เป็นนักประชาธิปไตยจริงๆ ที่หลงไปขึ้นเวที นายสนธิลิ้ม ทุกวันนี้ คงครวญครางว่า ไม่น่าเลยตู เพราะสุดท้าย กลับนำมาซึ่งการปฏิวัติของทหาร ที่ตนเองเคยขับไล่อยู่ในอดีต ประเทศใดก็ตามที่มีการปฏิวัติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยทหารที่ใช้กำลังและอาวุธ ในสายตาประชาคมโลก นั้น มันก็คือประเทศ คอมมิวนิสต์ดีๆ นี่เอง จะอ้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็แล้ว แต่ ผู้นำก็ต้องถูกเรียกว่าเผด็จการ ผู้ร่วมรัฐประหารก็คือผู้ปกครอง รัฐบาลก็คือหุ่นเชิด นี่แหละคือ เผด็จการ
จากคุณ :
makorn
- [
28 มิ.ย. 50 12:41:52
A:125.24.160.221 X:
]
|
|
|