Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    และแล้วโม่งทหารก็เผยตัวออกมาจนได้ ไม่รับแน่นอนสำหรับรัฐธรรมนูญแบบนี้

    คอลัมน์ ดุลยภาพดุลยพินิจ

    โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร



    พลันเมื่อ ครม.รับหลักการของร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2550 ก่อนจะส่งให้กฤษฎีกาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาเป็นกฎหมาย

    นักวิชาการกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักการเมือง สื่อมวลชนภายในประเทศ และองค์กรสิทธิมนุษยชนของต่างประเทศ ต่างออกมาต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นเสียงเดียวกัน และขอให้ ครม.ถอนเรื่องนี้จากการพิจารณาของกฤษฎีกาโดยทันที เหตุใดกระแสไม่รับร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงจึงชัดเจนเช่นนี้ และความพยายามที่จะให้มี กม.ฉบับนี้ ส่งสัญญาณเตือนภัยอะไรกับสังคมไทย

    เมื่อได้เห็นเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นี้ก็จะเข้าใจว่าทำไมเสียงไม่รับจึงดังกระหึ่ม

    ในร่าง พ.ร.บ.นี้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) โดยตำแหน่งมีอำนาจครอบคลุมกว้างขวางในหลายเรื่อง ซึ่งรวมทั้งอำนาจประกาศเกี่ยวกับกฎในการห้ามต่างๆ เช่น ห้ามการชุมนุม โฆษณา ห้ามออกจากบ้าน รวมทั้งการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ การค้นยึดหรืออายัดเอกสารโดยไม่ต้องมีหมาย และการปราบปราม ถ้าเป็นการกระทำที่เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ในส่วนที่เกี่ยวกับการโฆษณา ผู้รู้วิเคราะห์ว่า หมายถึงสื่อทุกประเภท รวมทั้งวิทยุ โทรทัศน์ ใบปลิว แผ่นพับ อินเตอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ

    เนื้อหาสำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ การกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งอ้างว่าทำไปเพื่อความมั่นคงดังกล่าว จะไม่มีใครฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรืออาญา และจะปลอดจากการดำเนินการทางวินัยด้วยอย่างสิ้นเชิง

    แม้ว่าเราจะเห็นใจฝ่ายความมั่นคงที่บอกว่ามีความจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพื่อป้องกันภัยจากการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงในขณะนี้ มีเนื้อหาที่เป็นจุดอันตรายหลายจุดโดยจะขอรวบรวมที่มีการวิเคราะห์โดยผู้รู้มาดังนี้

    ประการที่ 1 ร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ได้จัดตั้งองค์กรใหม่ แต่เป็นการให้อำนาจ ผบ.ทบ.หรือกองทัพนั่นเอง

    ประการที่ 2 ให้อำนาจ ผอ.รมน. หรือ ผบ.ทบ. รวมทั้งเจ้าหน้าที่มากเกินความจำเป็น แถมยังไม่มีองค์กรอื่นใดจะตรวจสอบการใช้อำนาจนี้ได้ หากเปรียบเทียบกับกฎหมายโฮมแลนด์ ซิเคียวริตี้ แอคท์ ของสหรัฐอเมริกาซึ่งก็ถูกวิจารณ์มาก ยังให้อำนาจศาลตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือ ไม่มีการจำกัดบทบาทของศาลเลย แถมยังใช้แต่กับผู้ที่ไม่ใช่คนอเมริกันเท่านั้น คือ เป็นการป้องกันภัยเกี่ยวกับความมั่นคงที่กระทำโดยชาวต่างชาติเป็นหลัก แต่ในกรณีของไทยนี้ลิดรอนบทบาทของศาลอย่างสิ้นเชิง

    ประการที่ 3 ที่สืบเนื่องกัน คือ ดูเหมือนว่า กอ.รมน.ต้องการทำสงครามกับคนไทยด้วยกันเอง โดยตามร่าง พ.ร.บ.นี้ผู้ถูกกล่าวหาจะไม่มีทางปกป้องตนเองได้เลยแม้แต่โดยกระบวนการทางศาล แม้ว่าจะไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ แต่ก็คงจะเป็นกระบวนการยาวนานกว่าจะชนะความทั้งๆ ที่ความเสียหายจะเกิดขึ้นแล้ว

    ประการที่ 4 คำจำกัดความของภัยต่อความมั่นคงกว้างขวางมาก ซึ่งรวมทั้งการโฆษณายุยง ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง อีกทั้งความหมายของ "การปราบปราม" ที่ไม่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไรบ้าง

    ประการที่ 5 กฎหมายฉบับนี้ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจเลย คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน. หรือ ผบ.ทบ. เห็นว่ามีภัยคุกคาม จะใช้กฎหมายได้ทันที โดยไม่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งตรงจุดนี้ ต่างกับภาวะปัจจุบันซึ่ง การประกาศภาวะฉุกเฉินต้องผ่านมติ ครม. ซึ่งอาจจะมีการท้วงติงว่าไม่จำเป็นก็จะประกาศไม่ได้ และหากครม.เห็นชอบให้ประกาศก็จะต้องมีการพิจารณาทบทวนสถานการณ์ความจำเป็นทุก 3 เดือน หากมีการท้วงติงว่าหมดภาวะความจำเป็นแล้ว ก็จะต้องยกเลิกไป แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ให้อำนาจ ผบ.ทบ.เหนือครม.ที่จะสั่งการในภาวะฉุกเฉินได้ทันที เท่ากับเป็นการรวบอำนาจตามกฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินมาไว้กับ ผบ.ทบ. ในตำแหน่ง ผอ.รมน. หมายความว่ากฎหมายฉบับนี้ถ้าผ่าน สนช. จะให้อำนาจ ผบ.ทบ.สูงสุด เสมือนอยู่ในภาวะเผด็จการทหารเลยทีเดียว ครม. รัฐสภา หรือศาลหมดความหมายอย่างสิ้นเชิง

    ประการที่ 6 การที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่า กฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็น เพื่อไม่ให้สถานการณ์การก่อการร้าย เช่นที่ภาคใต้บานปลาย ข้ออ้างนี้ยังรับฟังไม่ได้ เพราะว่าขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจครอบคลุมที่จะจัดการปัญหาได้อยู่แล้ว คือ มีทั้งอำนาจตามปกติ ตามประมวล กม.อาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งได้มีการแก้ไขไป เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้อหาความผิดในเรื่องการก่อการร้ายด้วยแล้ว สำหรับในสถานการณ์ไม่ปกติ ได้แก่การมีภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ รัฐบาลก็ประกาศกฏอัยการศึกได้ ผบ.ทบ.ก็ประกาศได้ แต่ต้องปรึกษาหารือกับนายกรัฐมนตรี หรือผู้บัญชาการทหารในบางพื้นที่ที่มีปัญหา จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมีกฎหมายฉบับใหม่แต่อย่างใด

    เมื่อไม่มีความจำเป็นเหตุใดจึงมีความพยายามจะผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว คำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีเป้าประสงค์ที่จะสถาปนาอำนาจของกองทัพ (โดย ผบ.ทบ.) ให้อยู่เหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.นี้ ผบ.ทบ.ไม่จำเป็นต้องปรึกษาหารือนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอื่นใดในเรื่องความมั่นคง เท่ากับว่ารัฐบาล พรรคการเมือง ข้าราชการ และสังคมประชา รวมทั้งกิจกรรมทางการเมืองทั้งหลายหลังจากนี้จะต้องอยู่ในกำกับของฝ่ายกองทัพอย่างสิ้นเชิง

    อนึ่ง ฝ่ายความมั่นคงพยายามผ่านร่าง พ.ร.บ.ในทำนองนี้มาก่อนแล้วในอดีตรวมทั้งในสมัยของรัฐบาลทักษิณแต่ตกไป

    เป็นไปได้ไหมว่าการพยายามผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงเป็นการเตรียมการเพิ่มอำนาจให้กับ ผบ.ทบ. และหากไม่ทำในขณะนี้ คมช.ก็จะพลาดโอกาสไปเสีย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมีข้อสรุปว่าความพยายามในครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ซึ่งคณะรัฐประหาร คือ คมช.ได้แต่งตั้งรัฐบาลปัจจุบัน และ สนช. หรือรัฐสภาขึ้นมา การที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงในขณะนี้จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด

    แต่ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงฉบับนี้ คือ สัญญาณเตือนภัยของการเมืองไทย

    หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสังคมไทยจะกลับไปสู่ภาวะเผด็จการทหารอย่างแน่นอน ทหารจะกลับมาเป็นใหญ่ งบฯการทหารจะขยายมากขึ้น (ขณะนี้ก็เพิ่มขึ้นมาเกือบ 1/4 เทียบกับปีที่แล้ว งบฯเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ก็มีการขอเพิ่มขึ้น แถมยังมีงบลับอีก) สื่อต่างๆ จะไม่เป็นปกติสุข นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับ คมช.จะไม่เป็นสุข นักเคลื่อนไหวสังคม ขบวนการประชาธิปไตยทั้งหลาย นักวิชาการ จะไม่เป็นสุข การคอร์รัปชั่นแบบเดิมๆ ที่โยงกับงบลับ งบฯการทหาร งบฯเพื่อความมั่นคง จะบานปลาย ขณะที่สังคมอาจไม่มีโอกาสรับรู้อะไรมาก เพราะว่าสื่อจะถูกคุกคามโดยปริยาย

    แต่สังคมไทยคงจะยอมรับสภาวการณ์ดังกล่าวได้ยาก เพราะได้ผ่านร้อนผ่านหนาวจนหลักการสิทธิและเสรีภาพของสื่อและหลักการสิทธิมนุษยชนในระบอบประชาธิปไตยลงหลักปักฐานตามสมควรแล้วร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้หากผ่านเป็นกฎหมายในท้ายที่สุดจะเป็นชนวนให้เกิดการต่อต้าน นำไปสู่การปราบปรามที่รุนแรงและวิกฤตการเมือง นำความระส่ำระสายมาสู่สังคมไทย และในท้ายที่สุดจะส่งผลเสียกับระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน

    ในเมื่อไซเรนสัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้นแล้ว หากรัฐบาลดึงดันที่จะส่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ในเนื้อหาแบบนี้ให้ สนช.พิจารณา จึงใคร่ขอให้สมาชิก สนช.ซึ่งยังมีจิตสำนึกประชาธิปไตยพร้อมใจกันลาออกจาก สนช. เพื่อประท้วงร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

    ทั้งนี้ การอภิปรายไม่เห็นด้วยใน สนช.คงจะไม่เป็นผล เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ คือคนของ คมช.อยู่แล้ว ทำให้สงสัยด้วยว่าการเพิ่มจำนวนสมาชิก สนช. อีก 11 คน เมื่อเร็วๆ นี้จะโยงกับเรื่องการออกเสียงใน สนช.เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.นี้ด้วยหรือเปล่า

    จากคุณ : boy_in_italy - [ 11 ก.ค. 50 09:10:32 A:172.16.16.120 X:203.170.231.232 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom