เมื่อวานตั้งกระทู้ไปแต่โดนลบ ความจริงผมไม่ค่อยจะติดใจอะไรมาก เนื่องจากไปสนใจ มาตรา 113 ของกฎหมายอาญามากกว่า
ก็เลยไปนั่งเปิดกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเข้าในเว็บไซท์ thaijustice.com ก็ได้ไปพบกับกระทู้หนึ่ง ซึ่งนักศึกษาเนติ ฯ ได้โพสถามไว้ ผมเห็นว่าน่าสนใจก็เลยนำมาเผยแพร่ เพื่อเป็นวิทยาทานและให้ผู้สนใจได้เข้ามาแสดงความเห็นกัน
เนื้อความมีดังนี้ครับ สำหรับผู้ที่เข้าไปแสดงความเห็นในนั้น
เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก กรณีนี้ พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าผู้ต้องหาทั้งเก้ากระทำความผิดในข้อหาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี
หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นว่ากระทำความผิดดังกล่าวแม้ไม่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นก็เป็นเหตุที่สามารถออกหมายจับได้ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๖๖(๑) พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาออกหมายจับ ระหว่างไต่สวน ศาลเรียกให้ผู้ต้องหาทั้งเก้ามาไกล่เกลี่ยที่ศาล เมื่อทำการไกล่เกลี่ยเสร็จแล้ว สามารถเจรจากันได้ พนักงานสอบสวนจึงขอถอนคำร้องขอให้ออกหมายจับ ศาลอนุญาต จึงได้ข้อสรุปว่าศาลยังมิได้ออกหมายจับบุคคลทั้งเก้า เมื่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งเก้ามิได้กระทำความผิดซึ่งหน้าอันจะเป็นเหตุให้ทำการจับกุมได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ ทั้งศาลมิได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งเก้า ดังนั้น ผู้ต้องหาทั้งเก้าจึงมิใช่ผู้ถูกจับ กรณีพนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขอฝากขังภายในกำหนด ๔๘ ชั่วโมง เพื่อให้ฝากขังมีกำหนด ๑๒ วัน โดยอาศัยบทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ ตรงๆเลยนั้น กระทำไม่ได้ เพราะการฝากขังตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ วรรคสาม วรรคสี่ วรรคห้า วรรคหก และวรรคเจ็ด นั้นกฎหมายใช้คำว่า "ผู้ถูกจับ" ซึ่งก็หมายความว่าผู้ที่จะถูกขังจะต้องเป็นผู้ถูกจับ ก็หมายความอย่างง่ายๆต่อไปว่า จะต้องเป็นการจับตามหมาย หรือเป็นการจับโดยความผิดซึ่งหน้า หรือกรณีจำเป็นเร่งด่วน หรือเป็นกรณีอื่นที่จับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘(๑) ถึง (๔)
ดังนั้น ผู้ต้องหาทั้งเก้าจึงมิใช่ผู้ถูกจับและยังมิได้มีการออกหมายจับ แต่เนื่องจากข้อหาเป็นความผิดซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี และมีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคหนึ่งแล้ว ผู้ต้องหาทั้งเก้าให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเหตุที่จะออกหมายขังได้ตาม ป.วิ.อ. ๗๑ ซึ่งให้นำมาตรา ๖๖ มาบังคับใช้โดยอนุโลม กรณีนี้พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งเก้าไปศาลเพื่อขออกหมายขังโดยทันที แต่ถ้าขณะนั้นเป็นเวลาที่ศาลปิดหรือใกล้จะปิดทำการ พนักงานสอบสวนก็จะสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งเก้าไปศาลในโอกาสแรกที่เปิดทำการ หากผู้ต้องหาทั้งเก้าไม่ปฏิบัติตามก็สามารถจับกุมได้ทันทีโดยไม่ต้องมีหมายจับโดยถือว่าเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคห้า ซึ่งก็จะสามารถนำบทบัญญัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ มาใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอฝากขังได้โดยอนุโลมเช่นกันแม้ผู้ต้องหาทั้งเก้ายังมิใช่ผู้ถูกจับก็ตาม เมื่อผู้ต้องทั้งเก้าซึ่งมิใช่ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับมาอยู่ที่ศาลอาญาในขณะที่ศาลยังเปิดทำการอยู่ ทั้งได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคหนึ่งแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้งเก้าให้การปฏิเสธ ก็เท่ากับว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งเก้าไปศาลได้ทันที แต่เมื่อผู้ต้องหาทั้งเก้ามาอยู่ที่ศาลในเวลาทำการแล้ว พนักงานสอบสวนจึงยื่นคำร้องขอฝากขังตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคห้า ประกอบมาตรา ๘๗ ทันที ซึ่งศาลอนุญาตให้ฝากขังมีกำหนด ๑๒ วัน โดยพนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรท ๘๙ เพื่อขอรับตัวผู้ต้องหาทั้งเก้ากลับไปควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลด้วย ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ขังที่สถานีตำรวจนครบาลได้ ๒ วัน เมื่อนำตัวผู้ต้องหาทั้งเก้ามาคืนศาลแล้ว ผุ้ต้องหาทั้งเก้าก้จะถูกส่งไปขังที่เรือนจำต่อไปอีก ๑๐ วัน จนครบกำหนดฝากขัง ๑๒ วัน ก่อนครบกำหนด พนักงานสอบสวนก็ขอฝากขังต่อไปได้อีกจนครบ ๘๔ วัน เป็นอันว่ากระบวนการทั้งหมดก็ชอบด้วยกฎหมายตามที่กล่าวมา และการนี้ "ไม่ใช่การจับกุม" แต่ต้องเรียกว่า "การมาศาลในโอกาสแรก" เพราะข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าไม่มีการจับกุมและไม่มีการออกหมายจับ แต่โดยความเห็นส่วนตัว เห็นว่า กรณีนี้ ตำรวจใช้เทคนิคทางกฎหมาย โดยขอให้ศาลอาญาทำการไกล่เกลี่ยระหว่างไต่สวนคำร้องขอออกหมายจับก่อน ซึ่งศาลอาญาดำเนินการไกล่เกลี่ยให้ตามนโยบายกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เสร็จแล้วพนักงานสอบสวนก็ถอนคำร้องขอให้ออกหมายจับและแจ้งข้อหล่าวหาทันที จากนั้นก็ยื่นคำร้องขอฝากขังทันทีอีกเช่นกัน กรณีจึงเป็นการอาศัย ป.วิ.อ. ที่แก้ใหม่ (ฉบับที่ ๒๒) มาใช้ดำเนินการในครั้งนี้
จากคุณ : อิอิ - [27 ก.ค.50 10:12]
(ยังมีต่อ)
จากคุณ :
ขนมต้ม
- [
27 ก.ค. 50 17:32:48
A:61.90.243.25 X:
]