ความคิดเห็นที่ 2
วิธีเดียวที่จะเปิดหน้ากากทั้งหมดออกมาได้ ก็คือ จะต้องยอมให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเอาตัวเองเป็นเป้าล่อ นี่คือยุทธศาสตร์ และโดยยุทธศาสตร์นี้จะนำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในแต่ละสถานการณ์เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายหลักคือยุทธศาสตร์ที่กำหนดเอาไว้ ทำไมท่านนายกทักษิณต้องกำหนดยุทธศาสตร์เปิดหน้ากากโม่งดำผู้อยู่เบื้องหลังการทำลายชาติขึ้นมาด้วย เหตุผลที่ผมวิเคราะห์ก็คือ ด้วยวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นจึงจะทำให้ประชาชนชาวไทยทั้งชาติได้เห็นภาพต่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสังคม อมาตยาธิปไตย ของไทย เพราะโดยยุทธศาสตร์นี้จะไม่ได้เพียงแสดงภาพบุคคลแต่เป็นการแสดงให้เห็นโครงสร้างของระบอบอมาตยาธิปไตยกันเลยทีเดียว พูดตรงๆ ก็คือ โมงดำอาจจะไม่ได้มีแค่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านสี่เสา แต่อาจจะมีใครอื่นอีก ซึ่งก็คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง แต่ก็น่าจะเป็นที่คาดเดากันได้ และในปัจจุบันภาพก็ได้ถูกฉายออกมาให้เห็นกันบ้างแล้วไม่มากก็น้อยด้วยยุทธศาสตร์นี้
ทำไมผมถึงเชื่อมั่นอย่างนี้เพราะผมเชื่อว่า ท่านนายกทักษิณเป็นคนทำงานเร็ว, ตัดสินใจเร็ว, และท่านชอบเล่นในเกมส์ที่ตนเองเป็นผู้กำกับไม่ใช่ให้ผู้อื่นกำกับให้ สังเกตไม่ยากหรอกครับท่านนายกทักษิณเป็นผู้แรกที่นำการประชุมระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาใช้กับการประชุมคณะรัฐมนตรี, ท่านเป็นผู้แรกที่นำการประมูลระบบ อี-อ๊อกชั่น มาใช้ในการประมูลการจ้างงาน, ท่านเป็นคนแรกที่นำเอาขบวนรถไฟมาเป็นขบวนรถไฟหาเสียงไปทั่วภาคอิสาน, จนทำให้พรรคอื่นๆ ออกมาต่อว่ากันเป็นแถว, สิ่งเหล่านี้มีใครคิดได้มาก่อนบ้าง ท่านนายกทักษิณใช้เวลาตระเวนหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง ในการตรวจสอบถึงความนิยมและผลตอบรับจากยุทธศาสตร์ทักษิโณมิกส์ ที่ท่านได้กระทำเอาไว้ตลอด 5 ปีที่ผ่าน และท่านก็ทำโพล มาโดยตลอด สิ่งเหล่านี้เป็นฐานแห่งการตัดสินใจว่าท่านจะวางยุทธศาสตร์เพื่อเปิดหน้ากากโม่งดำอย่างไร และเมื่อท่านเห็นแล้วว่าประชาชนเอาด้วยกับท่านแน่ (อ้างอิงจากการปราศรัยหาเสียงทั่วภาคเหนือ, อิสาน และกรุงเทพฯ ที่ได้รับการตอบรับอย่างกึกก้องมากมาย) ท่านนายกทักษิณจึงกำหนดยุทธศาสตร์เปิดหน้ากากโม่งดำนี้ขึ้น โดยยอมให้มีการรัฐประหารขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา
เพื่อให้ยุทธศาสตร์นี้ได้ดำเนินไปสู่ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นเป้าหมาย และเมื่อเป้าหมายคือโฉมหน้าของระบอบอมาตยาธิปไตย ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ประชาชนที่ท่านนายกทักษิณประเมินเอาไว้แล้วว่าเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ท่านได้วางรากฐานเอาไว้ให้แล้วตลอด 5 ปี จะกลับมาเรียกร้องให้ท่านเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาและบริหารประเทศต่อไปซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการบริหารที่มีความมั่นคงมากเสียกว่ามีเสียง ส.ส. ในสภา 377 เสียงด้วยซ้ำ เพราะมีเสียงของประชาชนทั่วทั้งประเทศที่ได้เห็นถึงภาพของระบอบ อมาตยาธิปไตย และปฏิเสธสิ่งนี้ จะมาเป็นเครื่องรองรับและประกันความมั่นคงให้กับรัฐบาลที่ท่านจะบริหารต่อไปในอนาคต.....และเมื่อถึงเวลานั้น ยุทธศาสตร์การนำพาประเทศไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการผลิต การส่งออก และการเงิน ของภูมิภาคในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามแผน Road Map หรือ Mind Map ที่ได้กำหนดเอาไว้ ก็จะถูกนำมาใช้อย่างไม่มีสิ่งใดติดขัด
ซึ่งผมวิเคราะห์ว่า นี่คือ ยุทธศาสตร์ที่ท่านนายกทักษิณวางเอาไว้เพื่อพัฒนาประเทศไทย และ คมช. ได้พ่ายแพ้ต่อยุทธศาสตร์นี้แล้วโดยสิ้นเชิง ส่วนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่น การซื้อทีมฟุตบอลแมนฯ ซิตี้, การส่งสัญญาณข้ามประเทศในลักษณะของ วิดีโอ, การให้สัมภาษณ์หนังสือ, การเดินทางไปเยี่ยมในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการรับเป็นที่จะเป็นอาจารย์พิเศษ หรือรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ, ปรากฏการณ์ม๊อบ นปก., ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ยุทธวิธีในการรบแต่ละสนามรบเท่านั้นครับ ดังนั้นในบางยุทธวิธีก็อาจจะมองดูเหมือนเพลี่ยงพล้ำ, บางยุทธวิธีมองดูเหมือนเป็นต่อ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรทุกยุทธวิธีก็จะนำมาเพื่อนำให้สงครามครั้งนี้เข้าไปสู่จุดเป้าหมายสุดท้าย คือยุทธศาสตร์ ที่ท่านนายกทักษิณได้วางเอาไว้.........และในทีสุดประเทศไทยก็จะต้องมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ครับ
ปูนนก
จากคุณ :
ปูนนก
- [
2 ส.ค. 50 16:28:59
A:124.120.229.210 X:
]
|
|
|