ความคิดเห็นที่ 67
คุณนิด #58-#60
การ"ซื้อของถูกกว่าราคาตลาด" จะยังไม่ถือเป็น"รายได้พึงประเมิน"ในช่วงขั้นตอนการซื้อ นี้..
เป็น"ข้อวินิจฉัย"ของสรรพากรฯ ที่ใช้มาโดยตลอด ตั้งแต่อดีต.. ไม่ใช่ว่าเพิ่ งจะนำมาใช้ในการซื้อหุ้นแอมเพิลริช ในครั้งนี้..
ลองอ่านที่นี่ดู..
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q1/2007jan18p5.htm
เงินได้ตามประมวลรัษฎากรจะมีความหมายสอดรับกับความหมายของการเปลี่ยนมือของทรัพย์สิน (Flow of Wealth) ซึ่งจะเห็นได้ว่ากรณีที่จะเกิดเป็นเงินได้พึงประเมินกรณีการได้รับทรัพย์สินตามประมวลรัษฎากรนั้น จะต้องมีลักษณะเป็นการได้ทรัพย์สินมา โดยไม่เสียค่าตอบแทน หรืออาจกล่าวง่ายๆ ก็คือได้รับทรัพย์สินมาฟรี สำหรับกรณีที่บุคคลคนหนึ่งได้รับทรัพย์สินมาโดยเสียค่าตอบแทน หรือกล่าวได้ว่าได้มาจากการซื้อเช่นนี้ ไม่ถือว่าเกิดเงินได้พึงประเมินจากการได้รับทรัพย์สิน
ในอดีตที่ผ่านมากรมสรรพากรได้มีแนวคำวินิจฉัยสำหรับกรณีการซื้อทรัพย์สินมาในราคาถูกกว่าราคาตลาดมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกรณีการซื้อทรัพย์สินประเภทใดๆ เพราะการได้ทรัพย์สินมาจากการซื้อไม่ถือว่าเป็นกรณีการได้รับเงินได้พึงประเมิน ไม่ว่าจะเป็นเงินได้พึงประเมินในทางทฤษฎีหรือในทางกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่กรมสรรพากรถือปฏิบัติมาโดยตลอดตั้งแต่อดีต มิใช่เพิ่งจะตอบข้อหารือในปัจจุบันเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังตัวอย่างเช่น
(ก) บุคคลทั่วไปซื้อหุ้นของบริษัทจากบุคคลอื่นในราคา 1 บาท ทั้งๆ ที่ราคาตลาด ณ วันที่ซื้อเป็น 20 บาท เช่นนี้ก็ไม่เกิดเงินได้พึงประเมินในขณะที่ซื้อ
(ข) บุคคลทั่วไปซื้อรถยนต์ได้ในราคา 800,000 บาท ทั้งที่ราคาตลาด 1,000,000 บาท เช่นนี้ก็ไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินในขณะที่ซื้อ
(ค) บุคคลทั่วไปซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าในช่วงเวลาที่ห้างผู้ขายจัดรายการลดราคาให้ 50-70% หรือในกรณีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งถือบัตรสมาชิกของห้างสรรพสินค้าซึ่งจะได้รับส่วนลดเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่วไป เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าส่วนลดที่ห้างสรรพสินค้าให้แก่บุคคลนั้นๆ เป็นเงินได้พึงประเมินของผู้ซื้อ
อย่างไรก็ดี ประเด็นการซื้อทรัพย์สินในราคาถูกกว่าราคาตลาดแม้จะกล่าวได้โดยหลักการว่า ผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น ยังไม่ได้รับเงินได้พึงประเมิน แต่ก็ได้มีข้อยกเว้นในบางประการ กล่าวคือหากเป็นกรณีที่เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 จะถือว่าผู้ซื้อได้รับเงินได้พึงประเมินจากการซื้อ
กล่าวคือสำหรับกรณีบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำหุ้นไปแจก หรือขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ให้กับพนักงาน ลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษา หรือบุคคลผู้รับทำงานให้ในลักษณะทำนองเดียวกัน จะถือว่าบุคคลนั้นได้รับเงินได้พึงประเมิน อันเนื่องมาจากในปี พ.ศ.2538 กรมสรรพากรได้ประสบปัญหาในการจัดเก็บภาษีจากกรณีที่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ใช้วิธีการจ่ายเงินค่าจ้างหรือค่าตอบแทน รวมทั้งการจ่ายเงินโบนัสให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนแล้วขายให้บุคคลดังกล่าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อมิให้ผู้รับต้องเสียภาษีจากการซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
กรมสรรพากรจึงได้ทำการหารือคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรในประเด็นดังกล่าวว่า กรณีบริษัทได้นำหุ้นเพิ่มทุน ไปจำหน่ายให้กรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง จะถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับเงินได้พึงประเมินหรือไม่ ทั้งนี้ ปรากฏตามเอกสารรายงานการประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ครั้งที่ 33/2538 วันที่ 10 ม.ค.2538 ณ ห้อง 301 อาคาร 1 กระทรวงการคลัง
เมื่อพิจารณาจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 ประกอบเอกสารรายงานการประชุม ของคณะกรรมการแล้ว สามารถสรุปได้ว่า กรณีที่จะเป็นเงินได้พึงประเมินจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 นั้น จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า
1.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างได้ขายหุ้นให้กรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดตามข้อตกลงพิเศษระหว่างนายจ้างกับกรรมการ พนักงาน ลูกจ้าง
2.หุ้นที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขายให้ตาม 1 นั้นจะต้องเป็นหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทนายจ้าง ซึ่งต่อมาภายหลังจากนั้น กรมสรรพากรได้ตอบข้อหารือให้หมายความรวมไปถึง การขายหุ้นของบริษัทในเครือของนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างด้วย <== **กรณี กฟผ.**
เนื่องจากการเกิดเงินได้พึงประเมินจากการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดในกรณีนี้ ถือเป็นข้อยกเว้นของหลักทั่วไป โดยหลักการของกฎหมายภาษีอากรซึ่งเป็นกฎหมายมหาชนประเภทหนึ่งที่เป็นการใช้อำนาจรัฐที่กระทำต่อประชาชน จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดในทางที่ไม่เป็นโทษแก่ผู้ต้องเสียภาษีด้วย หากจะตีความให้หมายความรวมไปตลอดถึงหุ้นทุกชนิด ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลถือไว้ ก็อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่ต้องเสียภาษีอากรได้
ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่าการเกิดเงินได้พึงประเมินสำหรับกรณีการได้รับทรัพย์สินตามความหมายของประมวลรัษฎากร เว้นแต่จะเป็นกรณีที่เข้าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 ที่จะต้องมีการตีความโดยเคร่งครัดแล้ว จึงหมายถึงกรณีการได้รับทรัพย์สินมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนหรือกรณีการได้ฟรีเท่านั้น ไม่อาจจะแปลความหมายให้หมายความรวมไปถึง กรณีของการซื้อทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทใดๆ มาในราคาต่ำกว่าราคาตลาดได้ และหากจะถือเอาว่าการซื้อทรัพย์สินได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ให้ถือเอาส่วนต่างเป็นเงินได้พึงประเมินแล้ว
ในทางปฏิบัติจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจซื้อขายสินค้าทั่วไปอย่างแน่นอน เพราะผู้ซื้อแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ตาม ต่างก็ต้องการซื้อสินค้าให้ได้ราคาถูกที่สุดอยู่แล้ว รวมทั้งจะส่งผลกระทบต่อความหมายของ "เงินได้" ในทางทฤษฎีเป็นอย่างมาก และอาจจะต้องไปบัญญัติทฤษฎีการเกิดเงินได้ขึ้นใหม่ ว่าให้หมายความรวมไปถึงส่วนลด หรือส่วนต่างที่ผู้มีเงินได้สามารถซื้อทรัพย์สินมาในราคาต่ำกว่าราคาตลาดด้วย .
จากคุณ :
เพดาน ช่างฝัน
- [
23 ส.ค. 50 13:58:59
A:58.8.141.106 X:
]
|
|
|