ความคิดเห็นที่ 29
ตัวอย่างที่ 2 ของการสนับสนุนสนธิ และเครือผู้จัดการก็คือ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซื้อโฆษณาสื่อเครือผู้จัดการ เฉพาะรายการโทรทัศน์ 2 รายการ คือ เมืองไทยรายสัปดาห์ กับ พบคนพบธรรม ซึ่งออกอากาศทางช่อง 9 ทั้ง 2 รายการ ตั้งแต่ปี 2544-2548 ธนาคารกรุงไทยใช้เงินซื้อสื่อในเครือผู้จัดการมากถึง 276 ล้านบาท ปีละ 77.04 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยเดือนละ 6.42 ล้านบาท ยังไม่นับถึงพื้นที่โฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน รวมไปถึงเว็บไซต์ manager.co.th ที่ลงกันอย่างถี่ยิบ ตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่กำหนดให้เดอะแมนเนเอจร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด ชำระหนี้ด้วยการใช้หน้าหนังสือพิมพ์แทนเงินสุด ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษของลูกหนี้ที่ไม่ธรรมดา อย่างสนธิ และเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัด ที่วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีความ สนิทสนมแนบแน่น และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดกับสนธิ เอื้อเฟื้อจัดให้ชนิดที่ลูกหนี้รายอื่นได้แต่มอง แต่ไม่มีความสามารถจะทำตามได้
ความเป็น ลูกหนี้รายพิเศษ ที่ได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ พิเศษ แบบนี้เป็นเหตุที่ทำให้ สนธิกับวิโรจน์มีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นลึกซึ้งยิ่งนัก จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อวันที่วิโรจน์ไม่ได้รับการต่ออายุให้นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทยจำกัดวาระที่ 2 คนที่เจ็บแค้นยิ่งกว่าวิโรจน์เสียอีกก็คือ สนธิ ลิ้มทองกุล นับแต่นั้นมา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คือขึ้นบัญชีแค้นรอชำระของสนธิเพิ่มขึ้นอีก 1 ชื่อ ด้วยเหตุที่สนธิแน่ใจว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร คือคีย์แมนคนสำคัญในการขวางทาง การนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยวาระที่ 2 ของวิโรจน์ ซึ่งนั่นหมายความความพิเศษที่สนธิ เคยได้รับ ย่อมไม่มีความแน่นอนอีกต่อไป ทั้งในฐานะลูกหนี้และในฐานะคู่ค้า ในฐานะลูกหนี้ที่ไม่ต้องชดใช้หนี้ด้วยเงินสด แต่สามารถชดใช้ด้วยกระดาษหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งตีราคากันไว้ที่หน้าละ 286,600 บาท เดือนละ 12 หน้า สำหรับผู้จัดการรายวัน ก็คิดเป็นเงิน 3,432,000 บาท หากคิดเป็นปีก็เท่ากับ 41,184,000 บาท 10 ปีผ่านไปก็เท่ากับ 410,184,000 บาท หากใช้วิธีการกันแบบนี้ไม่นานนัก หนี้จำนวนมหาศาลของผู้จัดการ ก็จะหมดลงได้ยังพอเห็นแสงเทียนที่ปลายอุโมงค์ นี่ยังไม่นับสื่ออื่นๆ อีก เช่น ผู้จัดการรายสัปดาห์ ผู้จัดการรายเดือน และเว็บไซต์ที่ก็มีเงื่อนไขการชดใช้หนี้ด้วยหน้ากระดาษเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากจะมีใครสักคนที่เสกกระดาษเป็นเงินได้จริงๆ คนคนนั้นย่อมชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยเงื่อนไขพิเศษนี้เองที่ทำให้สนธิ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนวิโรจน์ นวลแข และโกรธแค้นผู้ว่าแบงค์ชาติ โกรธแค้นนายกรัฐมนตรีที่ไม่สนับสนุนคนที่สนธิสนับสนุน การหวนคืนสู่วงการธุรกิจสื่อในประเทศของสนธิในรอบนี้ สนธิในฐานะผู้ประกอบการที่มี หนี้เน่า จำนวนมากที่สุดในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และลูกหนี้รายอื่นๆ ด้วยแต้ต่อ ที่เรียกว่าการแฮร์คัทหนี้ หรือการลดหนี้ที่ตัวเองก่อไว้มากกว่า 6 พันล้านบาท ด้วยหนี้จำนวน 6 พันล้านบาท ที่สนธิได้รับประโยชน์ไปนี้ เป็นเงินที่รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาชดใช้แทน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ร่วมก่อหนี้ และไม่ได้รับประโยชน์จากเงิน 6 พันล้านบาท ทั้งขาที่ก่อหนี้ และขาที่ชดใช้หนี้ แม้แต่สลึงเดียว การแฮร์คัทหนี้ หรือลดหนี้ในครั้งนั้น เป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่าสนธิ ได้รับปฏิบัติจากธนาคารเจ้าหนี้ซึ่งเป็นธนาคารรัฐบาล ในมาตรฐานที่พิเศษกว่าลูกหนี้ทุกราย และ
ธนาคารรัฐบาลที่เป็นผู้นำในการแฮร์คัทหนี้ จำนวนนี้ให้แก่สนธิ ก็ไม่ใช่ธนาคารไหนเลย ก็คือธนาคารกรุงไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับของวิโรจน์ นวลแข นั่นเอง การได้รับแต้มต่อจำนวนนี้ทำให้สนธิ มีพลังใจอย่างยิ่งที่ทำให้เขากลับคืนสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการยืนยันถึงความเป็นคนพิเศษของเขาที่ยังหาประโยชน์ได้ในประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถหาได้จากสนามธุรกิจใดๆ ในโลกนี้ นอกจากนี้ผู้คนบริวารแวดล้อมของเขาในอดีต ยังได้ดิบได้ดีไปกุมอำนาจสำคัญด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลไว้เกือบหมด จึงเป็นแต้มต่ออีกชั้นหนึ่งที่ได้เปรียบทุกๆ คน บนเวทีการแข่งขันรอบใหม่นี้ การกลับมารอบใหม่ครั้งนี้ สนธิพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจโทรทัศน์เป็นสำคัญ เขาวางยุทธศาสตร์ให้สื่อสิ่งพิมพ์เป็นสื่อเพื่อการชดใช้หนี้และสื่อโทรทัศน์เป็นสื่อเพื่อการหารายได้เนื่องจากเวลาโฆษณาบนสถานีโทรทัศน์ มีราคาสูงกว่าราคาหน้ากระดาษมาก เห็นได้จากการที่ธนาคารกรุงไทยซื้อเวลาโฆษณารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ด้วยงบประมาณปีละ 38,520,000 บาท หากทอนออกมาเป็น 52 สัปดาห์ก็เท่ากับว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์ มีรายได้จากธนาคารกรุงไทยเพียงรายเดียวมากถึง 740,769 บาท ต่อการจัดรายการ 1 ครั้ง ทั้งๆ ที่มีเวลาจัดรายการเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงรายได้จากผู้สนับสนุนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ รายอื่นๆ อีกมีเวลาเพียง 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขายังทำรายได้ ได้มากมายขนาดนี้ หากเขาเป็นเจ้าของสถานีเสียเอง จะมีรายได้มากมายขนาดไหน แต่เมื่อยังไม่เป็นเจ้าของสถานี ก็ขอให้ตัวเองได้มีโอกาสออก จอ ไว้ก่อน เพื่อรักษาเรตติ้งของตัวเอง จนถึงวันที่พร้อมตั้งสถานีโทรทัศน์ของตัวเอง ก็น่าจะเป็นผลประโยชน์สูงสุดสำหรับสนธิ ในสถานการณ์ยามนี้ หากมองย้นกลับไปในวันที่ยังมีรายการเมืองไทยรายวัน ซึ่งจัดกันสัปดาห์ละ 5 วัน แล้วก็ยิ่งจะเห็นถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ที่ออกจากกระเป๋ารัฐวิสาหกิจอย่างธนาคารกรุงไทย และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่มีน้ำใจให้กับสนธิ ในยามนั้น หลั่งไหลเข้าไปในกระเป๋าของสนธิ ว่ามากน้อยเพียงใด คิดกันงายๆ ก็ต้องคูณ 5 เข้าไปของรายได้ที่ได้จากเมืองไทยรายสัปดาห์ การปรับผังรายการของช่อง 9 และเปลี่ยนจากเมืองไทยรายวัน เป็นเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นการหย่อนเมล็ดพันธ์ความแค้นไว้ในใจของสนธิ โดยที่คนใน อ.ส.ม.ท. ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เพราะเป็นการทำตามหน้าที่และทำเพื่อเรตติ้ง เพื่อที่จะปรับแต่งตัวเองสำหรับการเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่สำหรับสนธิ เขาเก็บคิดเรื่อยมาว่าเป็นการกลั่นแกล้งและตัดรายได้ แต่ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครเห็น จนถึงวันที่เมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดจากผังรายการของช่อง 9 เพราะความไม่เหมาะสมของเนื้อหาหมดหนทางทำมาหารายได้ในช่อง 9 อีกต่อไป
จากคุณ :
candleman
- [
27 ส.ค. 50 18:58:36
A:125.24.149.198 X:
]
|
|
|