มองดูชื่อนักการเมืองที่มีอยู่ในทำเนียบสาระบบพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน
น่าจะแบ่งออกได้เป็น 3 ฝ่ายใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มไทยรักไทยเดิม
2. กลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม+ใหม่ (ปชป.,ชาติไทย,มหาชน,ประชาราช,รักชาติ)
3. พรรคเล็กต่างๆ รวมถึงกลุ่มการเมืองที่แยกมาจากไทยรักไทยเดิม (มัชฌิมา,รวมใจไทย,สมานฉันท์,...)
กลุ่มที่สามนี้เองโดยเฉพาะกลุ่มที่แยกตัวออกมาจากพรรคไทยรักไทยเดิม
เริ่มมีอดีตสส.ที่ดีดตัวตีจากพรรคในช่วงแพแตกก่อนพรรคจะถูกยุบ
อดีตสส.บางส่วนเริ่มไม่มั่นใจ ว่าถ้ายังอยู่ที่เดิมกับลูกพี่หัวหน้าก๊วน
เพียงแค่ดีกรีของตนเองและบารมีของหัวหน้าก๊วนตนเองคงไม่ถึงพอ
ที่จะเป็นแรงผลักหรือสนับสนุนให้ได้รับเลือกหรือไว้วางใจให้เข้ามาเป็นผู้แทน
จึงต้องรีบทำการตัดสินใจ ผละจากขอนไม้ แยกตัวตีจากอีกครั้ง
มาทำการขึ้นแพใหม่ โดยมีนายสมัครรับอาสาเป็นผู้ถ่อ
ซึ่งการดีดตัวออกมาครั้งนี้ ก็ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะสังกัดขั้วไหน
ระหว่าง กลุ่มที่ 1 และ 2 โดยมีเงื่อนไขประกอบดังนี้
เลือกกลุ่มที่ 1 ยังเชื่อมั่นในเสียงประชาชน และคิดว่าชาวบ้านยังศรัทธาและสนับสนุนกลุ่มไทยรักไทยเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เลือกกลุ่มที่ 2 เพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถใช้อำนาจทุกวิธีทางสร้างความได้เปรียบช่วยให้ชนะได้รับเลือกตั้งเข้ามา
เวลานี้คงไม่ใช่การสรรหาผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ยอด ความสามารถเยี่ยม
มาทำการเปรียบเทียบกับอดีตนายกทักษิณ เสนอตนเองเป็นคู่แข่ง
เป็นตัวเลือกใหม่ให้แก่ประชาชน ว่าดีกว่า หรืออย่างน้อยที่สุดคือมีความสามารถเทียบเท่า
ณ ปัจจุบัน กลายเป็นเกมที่ตัวเลือกถูกกำหนดจากฝ่ายที่มีอำนาจเท่านั้น
ว่าจะเลือกตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่า (อำมาตย์) โดยชูธงนำโดยนายอภิสิทธิ์
หรือจะเลือกกลุ่มอำนาจใหม่ (ทุนนิยม) ที่มีนายสมัครมาอาสานำทัพ
การแข่งขันกันที่นโยบายที่นำเสนอ คงไม่ใช่ประเด็นหลักในการเลือกตั้ง
นโยบายหาเสียงพรรคต่างๆ ได้ชี้ให้เห็นว่าใช้นโยบายประชานิยมเป็นต้นแบบทั้งสิ้น
แค่ทำการcopyเปลี่ยนคำ เหมือนลอกวิทยานิพนธ์ให้เนียนขึ้น
คงไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือผิดแผกแตกต่างจากเดิมมากนัก
ดั่งจะเห็นได้จากสปอตโฆษณาวาระประชาชนเป็นต้น
ที่ใช้หลักการ adopt มา adapt ให้เป็นของตนเอง
ใจความสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตามนโยบายต่างหากที่สำคัญ
ที่จะทำให้พรรคได้รับเลือก ปูทางให้เข้ามานั่งในสภา
เป็นศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ต้องสร้างให้ประชาชนเห็นและมั่นใจว่า
สามารถทำได้จริง และทำตามที่ได้ให้พันธะสัญญาตามที่ได้หาเสียงหรือไม่
ไม่ใช่พวก NATO เล่นการเมืองแต่ปาก พอนั่งในสภาก็ลืมเลือนกันไป
แล้วอะไรล่ะที่เป็นเครื่องการันตีว่าพรรคไหนพูดจริงทำจริง?
ยุคนี้ชาวบ้านเค้าฉลาด รู้ทัน ประสบการณ์ที่มีมาในอดีต เค้าจำเป็นบทเรียน
ผลงานไม่มี ความดีไม่ปรากฎ โป้ปดมดเท็จ เข็ดแล้วประชาธิปัตย์
พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร
มีต้นทุนความเชื่อมั่นการทำตามคำมั่นสัญญาที่ได้เสนอเป็นนโยบาย
และแปรเปลี่ยนเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
สามารถครองใจชาวบ้าน พูดจริง ทำจริง และส่วนใหญ่จะทำได้สำเร็จ
จากผลงานที่ได้รับความชื่นชอบ ก็แปรเปลี่ยนเป็นสัญญาใจ
ส่งผลนั้นกลับคืนกลายเป็นศรัทธาต่อพรรคการเมือง
เป็นความจงรักภักดี (Brand Royalty) ต่อพรรคไทยรักไทยไปโดยปริยาย
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นเพียงขั้วให้นักการเมืองเลือก
ข้างให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินชี้กำหนดชะตาบ้านเมือง
ว่าจะไปในทิศทางไหน ระหว่าง
ก้าวไปข้างหน้ากับฝ่ายประชาธิปไตยอำนาจใหม่ (ทุนนิยม)
ถอยไปข้างหลังกับฝ่ายเผด็จการอำนาจเก่า (อำมาตยาธิปไตย)
ส่วนตัวสอดแทรกที่ถือเป็นความแตกต่างและโดดเด่นมากกว่าทักษิณ
และเสนอตัวอาสาเสียสละเข้ามารับใช้ชาติบ้านเมืองคงไม่มีอีกแล้ว
เพราะผู้มีอำนาจบารมีได้ทำการเชือดไก่ให้ลิงดู
ทำการตัดไฟแต่ต้นลม ใช้ทุกวิถีทางในการโค่นทักษิณเป็นบทเรียนที่แสบสันต์
เพียงเพื่อทวงคืนและรักษาความมั่นคงในอำนาจ ความมั่งคั่งในทรัพย์สินของตนเองเท่านั้น
ดังนั้นเหลือแต่เพียง "ผู้กล้า"ที่จะเข้ามาอาสาสานต่อเจตนารมณ์ที่ดี
เป็นการสืบทอดแนวทางการปฏิบัติตามนโยบายที่ครองใจชน
เป็นสัญญาประชาคมที่กลายเป็นสัญญาใจ พันธะผูกพัน
หลอมใจเป็นหนึ่งเดียวนิรันดร์ ไทยรักไทยไม่มีวันตาย
ชายที่มีความตั้งใจดี เสนอตัวอาสาเข้ามาสืบทอดสานต่อเจตนารมณ์คนนั้นชื่อ
"สมัคร สุนทรเวช"
ผู้กล้าอาสาท้าชนอำนาจเผด็จการ ทวงคืนความยุติธรรมให้กลับคืนสังคมไทย
จากคุณ :
นักกวนเมือง
- [
29 ส.ค. 50 13:41:34
A:58.8.192.234 X:
]