http://www.thairath.com/online.php?section=newsthairathonline&content=10615
อดีต ส.ส.ร.ย้ำครม.รักษาการมีสภาพเหมือนรบ. เถื่อน [26 มิ.ย. 49 - 12:25]
วันนี้ (26 มิ.ย.) นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อ้างว่า บ้านเมืองในขณะนี้ไม่มีสุญญากาศ เพียงแต่รอให้มีการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมเท่านั้น ก็จะเรียบร้อยว่า กรณีที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง ยังไม่มีรัฐสภาและยังไม่มีคณะรัฐมนตรี จนเวลาล่วงเลยเกินกำหนดที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้วนั่นแหละ ที่เรียกกันว่า สุญญากาศ หรือหากจะมองอีกด้านหนึ่งเหมือนประเทศถูกจับเป็นตัวประกัน โดยผู้มีอำนาจที่ใช้การเลือกตั้งเป็นอาวุธจี้ประชาชน
นายคณิน กล่าวว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 116 และมาตรา 159 ระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องจัดการเลือกตั้งและเปิดประชุมรัฐสภาสมัยแรกภายใน 90 วัน นับแต่วันยุบสภา ขณะเดียวกันตามมาตรา 215 คณะรัฐมนตรีรักษาการสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกิน 120 วัน นับแต่วันยุบสภา แต่ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เวลาได้ล่วงเลยมาแล้วเกินกว่า 120 วัน และยังไม่มีทีท่าว่าเมื่อใดจะมีการเลือกตั้ง หรือเปิดประชุมรัฐสภาสมัยแรก หรือคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่
คณะรัฐมนตรีรักษาการในปัจจุบันมีสภาพเหมือนรัฐบาลเถื่อน ซึ่งจะคงสภาพเถื่อนไปเช่นนี้ตลอดไป จนไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด ยิ่งมาเจอปัญหาสถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการตลอดไป ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2549 เข้าอีก สภาพเถื่อนของคณะรัฐมนตรีรักษาการชุดนี้ยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในขณะที่ กกต.(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ซึ่งเป็นองค์กรเบื้องต้นที่จะก่อให้เกิดรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ก็ดูเหมือนจะสิ้นสภาพไปแล้ว ไม่ว่าจะโดยนิตินัย พฤตินัย หรือแม้แต่องค์ประกอบขององค์กรที่ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งความน่าเชื่อถือ นอกจากนั้น วุฒิสภาเก่าซึ่งครบอายุไปแล้ว ก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่จะไปยื่นถอดถอน กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชี้ว่าไม่มีอำนาจ จะไปทำอย่างอื่นก็น่าสงสัยว่าทำได้หรือไม่ ขณะที่ ส.ว.ใหม่ยังเข้ารับหน้าที่ไม่ได้ และยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเข้ารับหน้าที่ได้ เพราะขนาดรัฐสภายังไม่มี แล้ววุฒิสภาจะมีได้อย่างไร อดีต ส.ส.ร. กล่าว
นายคณิน กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประเทศไทยต้องถือว่าไม่มีทั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี แต่ปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ทราบว่าเมื่อใดจะมีรัฐสภาและมีคณะรัฐมนตรีได้ ทั้งนี้ จะยึดเอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องชี้ขาดให้มีรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี เหตุการณ์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดว่าจะมีรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีได้ การเลือกตั้งที่ศาลสั่งว่า ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่สามารถนำมาอ้างเป็นความชอบธรรมที่จะมีรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญได้
อดีต ส.ส.ร.กล่าวว่า ถึงเวลานี้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ และ กกต. หรือแม้แต่ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ต้องยอมรับความจริงว่า อำนาจอธิปไตยทางรัฐสภา และอำนาจอธิปไตยทางคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 นั้น ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วันครบ 120 วัน นับแต่วันยุบสภา ดังนั้น อำนาจอธิปไตยของชาติจึงเหลือแค่หนึ่งในสามเท่านั้น คือ อำนาจตุลาการ
แหม ที่แท้เราก็หมดอธิปไตยไปก่อนหน้า คมช มันจะออกมายึดอำนาจซะอีกนะเนี่ย
เพิ่มเติม
ทักษิณ เถื่อนยกกำลังสอง รักษาการนานเกินเจตนารมณ์รธน.
ข่าวเชิงวิเคราะห์โดยทีมข่าวการเมือง
ทักษิณ เถื่อนยกกำลังสอง
ลาพักปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีกำหนด
รักษาการนานเกินเจตนารมณ์รธน.
อนึ่ง ในระหว่างที่ตกอยู่ในสภาพเสมือนเป็นรัฐบาลเถื่อนอยู่นี้ รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณได้โยกย้ายข้าราชการรวมแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง และอนุมติโครงการมีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท (อ่านล้อมกรอบ โครงการเถื่อน-ข้าราชการเถื่อน : ผลงานอัปยศของรัฐบาลเถื่อน)
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมานานเกินกว่าเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแล้ว เนื่องจากนับแต่วันยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. มาจนถึงวันนี้ก็เกิน 120 วันแล้ว โดยที่รับธรรมนูญบัญญัติให้กรณียุบสภาผู้แทนราษฎร จะต้องมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในระยะเวลาตามขั้นตอนต่าง ๆ รวมกันแล้วไม่เกิน 120 วัน หรือเผื่อไว้ในกรณีพิเศษอีก 15 วัน ก็ไม่เกิน 135 วัน พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะพ้นสภาพรักษาการนายกรัฐมนตรีโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว
ไม่เพียงแต่เงื่อนระยะเวลาเกิน 120 หรือ 135 หรือ 145 วันนี้เท่านั้นที่ทำให้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณมีสภาพเสมือน รัฐบาลเถื่อน ก่อนหน้านี้การที่พ.ต.ท.ทักษิณลาพักจากการปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีกำหนด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อกำหนดให้ทำได้บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2549 ก็ยังเป็นปมประเด็นปัญหาที่นักกฎหมายและนักวิชาการจำนวนมากเห็นว่าการณ์ครั้งนั้นทำให้พ.ต.ท.ทักษิณหมดสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว การกลับมาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจึงเท่ากับเป็น รัฐบาลเถื่อน มาแล้วเช่นกัน
การประกาศลาพักไม่มีกำหนดครั้งนั้นที่ระบุไว้ในมติคณะรัฐมนตรีว่า ...จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ยังเป็นข้อคาใจของนักกฎหมายที่เฝ้าจับตาการเมืองอยู่
นี่เป็นปมประเด็นสำคัญซึ่งเคยมีข่าวว่าทำให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี อึดอัดใจมาก เนื่องจากต้องรับผิดชอบต่อการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มาลบล้างมติคณะรัฐมนตรีนัดวันที่ 5 เม.ย. ในวันที่พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาทำงานใหม่อีกครั้ง เนื่องจากมีข้อโต้แย้งว่าคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีจะมีศักดิ์เหนือกว่าและไปลบล้างมติคณะรัฐมนตรีไม่ได้
จะเห็นได้ว่าปมเงื่อนความเป็น รัฐบาลเถื่อน ปมแรก ลาพักโดยไม่มีกำหนด ยังไม่ทันได้แก้ พ.ต.ท.ทักษิณก็มาสร้างปมเงื่อนความเป็น รัฐบาลเถื่อน ปมที่ 2 อยู่รักษาการเกินระยะเวลาตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ให้แน่นเข้าไปอีก เสมือนขณะนี้เป็น รัฐบาลเถื่อนยกกำลัง 2 อย่างไรอย่างนั้น
โครงการเถื่อน-ข้าราชการเถื่อน
ผลงานอัปยศของรัฐบาลเถื่อน
นับจากวันที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรประกาศลาพักจากการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีโดยไม่มีกำหนดจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2549 ซึ่งเสมือนกับเป็นการประกาศเจตนารมณ์ลาออก แม้จะมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีออกมารองรับเรื่องการกลับมาทำหน้าที่ใหม่ แต่ก็มิได้ลบล้างมติคณะรัฐมนตรีเดิมที่ได้แสดงเจตนารมณ์ไปแล้ว
หลังจากวันที่ 4 เม.ย. 2549 คณะรัฐมนตรีรักษาการได้ประชุมครม.ไปแล้วรวม 16 ครั้ง โดยในจำนวนนี้ได้อนุมัติโครงการสำคัญที่มีวงเงินสูงรวมกว่า 1 แสนล้านบาท
ไม่เฉพาะกรณีโครงการใหญ่ที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างมูลค่าสูง ครม.เถื่อนยกกำลังสองยังได้เลื่อนขั้นและแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงจำนวนมาก ถึง 55 ตำแหน่ง
กรณีที่น่าสนใจที่สุด 2 กรณี คือ
กรณีแรก การแต่งตั้ง นายรองพล เจริญพันธุ์ (ระดับ 11) จากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ จากที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ระดับ10) เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ระดับ 11) ที่จนล่าสุดแม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะอนุมัติย้อนหลังแล้ว แต่ก็ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา ทั้ง 2 รายยังมีสถานะเป็นรักษาการในตำแหน่งเท่านั้น
กรณีที่สอง การแต่งตั้งและเลื่อนขั้นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับ 10 และจากระดับ 9 ขึ้นเป็นระดับ 10 จำนวน 13 ตำแหน่งในการประชุมครม. 23 พฤษภาคม 2549 โดยเป็นการโยกย้ายผุ้ว่าราชการจังหวัดและรองปลัดกระทรวงฯในระนาบเดียวกัน 7 ตำแหน่ง และเลื่อนรองผู้ว่าราชการจังหวัดจากระดับ 9 ขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ตรวจราชการฯ ระดับ 10 จำนวน 6 คน
ปรากฏว่าแม้จะยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง แต่ก็มีคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยให้ข้าราชการเหล่านั้นเดินทางไปรักษาการในตำแหน่งอย่างเต็มตัวตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2549 มีการเลี้ยงฉลองตำแหน่งกันเอิกเกริกไปแล้ว
เถื่อนๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 50 16:29:10
แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 50 16:10:01