Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรียกหา จริยธรรม ที่ดินเขายายเที่ยง

    ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงสัปดาห์นี้ เราพูดกันถึงจริยธรรมของรัฐมนตรี จนกระทั่งรัฐมนตรี 3 คน ไม่อาจทานกระแสสังคมได้ต้องประกาศลาออกตามกันไปในที่สุด ด้วยลีลาท่วงท่าที่แตกต่างกันไป
         
           คุณสิทธิชัย โภไคยอุดม ประกาศลาออกอย่างทันท่วงที
         
           คุณอรนุช โอสถานนท์ พลิกพลิ้วอยู่หนึ่งกระบวนท่าแล้วจึงลาออก
         
           แต่คุณอารีย์ วงศ์อารยะ โยกโย้ดิ้นรนประกาศว่าจะไม่ลาออก และอ้างว่าได้พูดคุยกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีแล้ว ได้รับคำยืนยันว่า ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
         
           “ผมยืนยันแล้วจะไม่ลาออก ก็จะไม่ลาออก เพราะทำถูกต้อง มีเจตนาที่บริสุทธิ์ และผมมาเป็นรัฐมนตรีก็เพราะถูกเชิญมา ถึงแม้ผมไม่อยากจะเป็น ดังนั้น จะทำงานให้กับประเทศชาติ ซึ่งมีเรื่องของกฎหมายที่ต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน”
         
           แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะมีหลักฐานมัดแน่นหนาว่า ท่านมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับบริษัทที่ท่านถือหุ้นอยู่ ก็เลยต้องลาออก เพราะจำนนต่อหลักฐาน
         
           ประเด็นต่อมาก็คือ ถ้าสิ่งที่นายอารีย์อ้างว่า พล.อ.สุรยุทธ์ บอกให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปก่อนที่จะจำนนต่อหลักฐานเป็นคำพูดของพล.อ.สุรยุทธ์จริง ก็ย่อมแสดงว่า พล.อ.สุรยุทธ์มีมุมมองในเรื่องจริยธรรมแตกต่างจากคนทั่วไป ก็เลยมีคำถามต่อไปถึงกรณีการถือครองที่ดินเขายายเที่ยงของท่าน
         
           อย่าลืมว่า กรณีที่รัฐมนตรีทั้ง 3 คน ถือครองหุ้นในบริษัทเกินกว่าร้อยละ 5 ไม่ได้โอนหุ้นไปให้นิติบุคคลจัดการแทน ได้รับการยกเว้นตามบทเฉพาะกาล ไม่ได้มีความผิดตามกฎหมาย เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ต่างกับกรณีของเขายายเที่ยงนอกจากเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมแล้วยังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
         
           แต่เรากลับปล่อยให้เรื่องเขายายเที่ยงเงียบหายไป ไม่มีใครเรียกร้องจริยธรรมและถามหาบรรทัดฐานจากพล.อ.สุรยุทธ์ในเรื่องนี้ ขณะที่กระแสสังคมกลับรุกเร้าจริยธรรมของรัฐมนตรีที่ถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5% แต่ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายอย่างหนักหน่วง
         
           จำได้ว่า ปลายปีที่แล้ว เมื่อเรื่องแดงขึ้น พล.อ.สุรยุทธ์ได้ ประกาศทันทีว่า ท่านพร้อมจะลาออกจากตำแหน่ง
         
           “เรื่องนี้ผมยินดีที่จะให้ตรวจสอบ และอย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่าถ้ามีปัญหาก็ไม่มีอะไรมากมาย เราก็พร้อมที่จะคืน เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากมาย ถ้าผิด ผมก็ยินดีที่จะไม่ใช้พื้นที่ ผมเรียนตรงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าจะให้ผิดถึงกับว่าเป็นความผิดทางด้านการเมือง ผมก็ยินดี เพราะผมไม่ได้มีอะไรยึดติดอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่าผมสมควรที่จะออกผมก็พร้อม ไม่มีอะไรขัดข้องเลย”
         
           แต่แล้วเรื่องก็เงียบหายไป พูดภาษาวัยรุ่นอย่างผมก็ต้องบอกว่า ท่านทำเป็นเนียนๆ ไป เพียงเพราะ ป.ป.ช.บอกว่า ไม่รับพิจารณากรณี เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งแต่ปี 2546 ส่วน พ.อ.หญิงท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ ได้พ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเกิน 2 ปี ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์กฎหมายของ ป.ป.ช.
         
           แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจในการพิจารณาข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบ เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่พิจารณาเฉพาะการกระทำผิดต่อตำแหน่ง ทุจริตต่อหน้าที่เท่านั้น
         
           เมื่อพิจารณาแล้วเห็นได้ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้บอกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ พ้นผิดต่อข้อกล่าวหาในการบุกรุกป่าสงวนหรือการได้ที่ดินมาโดยมิชอบ
         
           ดังนั้นเราจึงควรไปดูว่า แท้จริงแล้ว พล.อ.สรุยุทธ์ได้ที่ดินดังกล่าวมาอย่างไร
         
           จากการตรวจสอบ สรุปได้ ดังนี้
         
           1. ในสัญญาการซื้อขายเมื่อ 4 สิงหาคม 2538 นายเบ้า สินนอก ได้ขายให้นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ ในราคา 700,000 บาท โดยมีเอกสารคือ ภ.บ.ท.5 และใบเสร็จรับเงินปี 2533 ถึงปี 2538 ผู้ขายได้รับชำระราคาดังกล่าวแล้วจากผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2538
         
           2. วันที่ 31 มีนาคม 2540 นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่ พ.อ.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์ เป็นจำนวนเงินเพียง 50,000 บาท จากราคาที่ซื้อมาในราคา 700,000 บาท ก่อนที่ พ.อ.สุรฤทธิ์จะโอนที่ดินดังกล่าวให้ภรรยาของพล.อ.สุรยุทธ์ในเวลาต่อมา
         
           จากกรณีดังกล่าว มีข้อสังเกตว่า ทำไมนายนพดลถึงขายที่ดินให้พ.อ.สุรฤทธิ์ในราคาที่ขาดทุนมากขนาดนั้น ส่วนการโอนการถือครองที่ดินจากพ.อ.สุรฤทธิ์มาให้ภรรยาของพล.อ.สุรยุทธ์ แท้จริงแล้วเป็นการซื้อขายหรือการยกให้
         
           แม้กระทั่งพล.อ.สุรยุทธ์ก็ยังให้สัมภาษณ์สับสนกันในต่างกรรมต่างวาระ
         
           ในช่วงแรกที่ตกเป็นข่าว พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ซึ่งเสียภาษีติดต่อกันมาตั้งแต่ตนเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 โดยให้ค่าที่ดินแก่ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิ ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นพระชื่อ “เบ้า” โดยมีอยู่เพียง 20 ไร่
         
           และต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวได้เสียภาษีบำรุงพื้นที่อย่างถูกต้อง โดยภรรยาเป็นผู้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 พร้อมให้มีการตรวจสอบ เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าผิดก็พร้อมจะคืนให้รัฐ และถ้าเสียหายต่อการบริการราชการแผ่นดิน หากจะต้องให้รับผิดชอบก็พร้อมรับผิดชอบทางการเมือง
         
           ฟังแล้วดูเหมือนจะขัดแย้งกันอยู่ แต่ถ้าข้อเท็จจริงมีว่า การถือครองที่ดินผ่านมือของพ.อ.สุรฤทธิ์นั้น เป็นเพียงนอมินี คำพูดต่างวาระกันของพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
         
           แล้วมาดูว่า ตามกฎหมาย ภรรยาของพล.อ.สุรยุทธ์ สามารถถือครองที่ดินเขายายเที่ยงต่อจากนายเบ้าหรือไม่
         
           จากการตรวจสอบข้อกฎหมายใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พบว่ามาตรา 16 ทวิ วรรค 2 อนุญาตให้ บุคคลใดได้เข้าไปทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตดังกล่าวสามารถร้องขอ และอธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายเห็นว่า บุคคลนั้นยังมีความจำเป็นเพื่อการครองชีพ อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจอนุญาตให้บุคคลดังกล่าวทำประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินต่อไป
         
           แต่มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกำหนดไว้ว่า จะให้บุคคลอื่นนอกจากบุคคลในครอบครัวเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมิได้
         
           และหากผู้ขอเข้าทำประโยชน์ที่ดินตามมาตราดังกล่าว ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่อธิบดีกำหนด ให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตนั้น
         
           เมื่อเป็นเช่นนี้นายเบ้าหรือพระเบ้าจึงไม่อาจขายสิทธิการเช่าให้แก่ภรรยาของพล.อ.สุรยุทธ์ หรือ พ.อ.สุรฤทธิ์ ได้ เพราะขัดต่อ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติมาตรา 16 ทวิ วรรค 4 และ 5 ดังกล่าวแล้ว
         
           การเข้าไปครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าวของ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเป็นการเข้าไปครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
         
           และถือได้ว่ากรณีของพล.อ.สุรยุทธ์นั้น มีความผิดมากกว่าการถือครองหุ้นเกิน 5% ของ 3 รัฐมนตรีที่ได้รับการยกเว้นจากกฎหมายมากมายหลายเท่า แล้วทำไมไม่มีใครถามหาจริยธรรมจากพล.อ.สุรยุทธ์เลย

    จากคุณ : MR.THAI - [ 28 ก.ย. 50 07:53:18 A:58.10.167.68 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom