PANTIP.COM : P5912904 อีกนานเท่าใด !?! ผู้นำทั้ง 3 เหล่าทัพจะสำเหนือกว่า "ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน" ไม่ใช่เฉพาะทหารไทยเท่านั้น [การเมือง]

ความคิดเห็นที่ 4

เห็นด้วยกับที่คุณเจ้าของกระทู้กล่าวมานะคะ

แต่เอื้องมีความคิดเห็นตรงนี้ว่า แม้จะมีทหารไทยส่วนใหญ่ ไม่พอใจ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการป่าเถื่อนของทั้ง 3 เหล่าทัพ อย่างที่คุณเจ้าของกระทู้กล่าวมา แต่ทว่า มันไม่มีความหมายเลยค่ะตราบใดที่ทหารไทยยังไม่มีจิตสำนึกว่าต้องรับใช้ประชาชนไม่ใช่อำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญ และตราบใดที่ทหารยังไม่เห็นประชาชนเป็นเจ้าของคอกม้า เราก็จะมีกองทัพที่ไม่ต่างจากทหารพม่าที่คอยยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนอยู่ร่ำไป

ท่านนายกฯทักษิณเมื่อตอนที่ท่านทำดำรงตำแหน่งนายกฯท่านได้สร้างคณูปการไว้อย่างมากมาย ให้กับสังคมไทยจนคนในชนบทได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เริ่มรู้จักการยืนด้วยลำแข้งของตนเอง ท่านนายกฯทักษิณได้จุดประกายให้ชาวรากหญ้ามีความรู้สึกว่าตนเองมีฐานะเป็น “พลเมือง” ของประเทศ มิใช่ “ราษฎร” อีกต่อไป…นี่คือสิ่งที่พวกศักดินา อมาตยาธิปไตยหวั่นเกรงยิ่งนัก ต้องเรียกว่าการเมืองไทยยุคทักษิณนั้นได้พัฒนาไปมาก แต่รัฐธรรมนูญฉบับทหารฉบับนี้กำลังจะทำให้การเมืองไทยยุค “บุฟเฟ่ต์ คาบิเนต” ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับการที่รัฐมนตรีทั้งหลายสามารถทุจริตได้โดยสะดวกเหมือนกับการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่รับประทานเท่าไรก็ได้ และ การให้มีรัฐสภาแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารกำลังจะกลับมาค่ะ

เมืองไทย ณ ตอนนี้ทหารไทยก็ไม่ต่างจากทหารพม่าประเทศเพื่อนบ้านเราเท่าใดนักค่ะ เรียกว่าเผด็จการทหารพม่าและไทยไม่มีความต่างกันเลยค่ะ แต่ทั้งคู่กลับความเหมือนกันยังกับฝาแฝด เพราะทั้งรัฐบาลทหารพม่าและไทย

1.ได้พรากอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน
2.ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน
3.ไม่เคารพกฏหมายสูงสุดของประเทศ
4.ริดรอนสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
5.ต้องการสืบทอดอำนาจของตนสืบไป รัฐบาลทหารพม่าของนายตาน ฉ่วยได้เคยยืนยันตลอดมาว่าจะอยู่ในอำนาจเป็นการชั่วคราวเพื่อวางรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนแต่ก็อยู่ในอำนาจมาแล้วถึง 17 ปีเต็ม คล้ายกับเผด็จการทหารของไทยที่บอกกล่าวกับประชาชนว่ารัฐประหาร 19 กันยาเกิดขึ้นเพราะพวกตนต้องการเข้ามาปฏิรูประบอบประชาธิปไตยซึ่งในทางปฏิบัติการปกครองของทหารมักไม่ยุติลงในเวลาอันสั้น ดังนั้น ทหารจึงแสวงหาการสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจของตน วิธีการสืบทอดอำนาจของทหารที่มักจะนำมาใช้บ่อยก็คือ

1.ตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นหลังจากยึดอำนาจแล้วเพื่อแสดงว่าทหารไม่ต้องการมีอำนาจ เช่น หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้แต่งตั้งให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ให้นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ให้นายพจน์ สารสินเป็นหัวหน้ารัฐบาล และหลังจากยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียรเป็นหัวหน้ารัฐบาล

วิธีการอีกอย่างที่ทำและมักทำต่อจากวิธีการแรกก็คือ

2. การให้มีรัฐสภาแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของทหาร วิธีการนี้ใช้ในกรณีที่ผู้นำทหารต้องการอยู่ในอำนาจเป็นระยะเวลานานในกรณีที่คณะทหารบีบให้นายควง อภัยวงศ์ลาออกใน พ.ศ. 2491 แล้วจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแทน คณะทหารต้องยอมให้มีสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งโดยให้สภาผู้แทนราษฎรอยู่ภายใต้อิทธิพลของทหารอยู่พอสมควร จอมพลถนอม กิตติขจร และพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ต้องยินยอมในเรื่องนี้ เช่น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้ว่าเป็นการปกครองเผด็จการเต็มรูป ยังต้องให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ในบางช่วงผู้นำทหารยอมตั้งพรรคการเมืองด้วย เช่น จอมพล ป.พิบูลสงครามตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ตั้งพรรคชาติสังคม และจอมพลถนอม กิตติขจรตั้งพรรคสหประชาไทยเพื่อสร้างความชอบธรรม

มาถึงปัจจุบันกรณี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้มีแนวคิดจะตั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดด้านความมั่นคง โดยโยกนายทหารไปรับตำแหน่งดังกล่าวมองได้ว่าจะมีการแทรกแซงการเลือกตั้งผ่านบางพรรคการเมือง ส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ

พ.ร.บ.ความมั่นคงแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากเป็นการเตรียมวางฐานการเมืองระยะยาว เป็นเจตนาแอบแฝงของ คมช.ที่จะสืบทอดอำนาจ โดยหวังผลในการวางรูปแบบการจัดการเลือกตั้งต่อไปการควบคุมการเลือกตั้งคงอยู่ที่ฝ่ายทหาร เราอาจเห็นรูปแบบการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในโลกอีกครั้งหนึ่งเหมือนปี 2500 ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากประเทศพม่า อีกทั้งร่างรัฐธรรมนูญนี้ยังส่งเสริมการสืบทอดอำนาจเผด็จการ มีอำนาจแฝงอยู่ในประธานคณะต่างๆที่คมช.ตั้งไว้ สืบทอดอำนาจโดยนโยบายของคมช. สร้างระบบพรรคให้อ่อนแอ

ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในประเทศไทยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ไม่ได้บอกว่าฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะเลยค่ะ ในทางตรงกันข้ามเลยมันเป็นบทพิสูจน์ที่บอกว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยพ่ายแพ้แล้วต่างหากเพราะเรากำลังเิดนเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยรัฐธรรมนูญฉบับทหารที่เขาเขียนขึ้นนั่นเอง

ตลอดระยะเวลากว่า 75 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยของไทยได้ย่ำอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนาไปข้างหน้าเพราะอำนาจทหารได้เข้ามาแทรกแซงการเมืองอยู่ตลอดเวลา อำนาจทหารจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยอย่างถาวร เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถหลุดพ้นวงจรอุบาทก์ได้กล่าวคือ

มีรัฐประหาร >>> ร่างรัฐธรรมนูญ >>> เลือกตั้ง >>> มีรัฐบาลผสม >>> มีข่าวโจมตีกันเรื่องคอร์รับชั่น >>> ทหารเข้ามาทำการรัฐประหารยึดอำนาจ….

เป็นวงจรอุบาทก์เช่นนี้อยู่ร่ำไป

ดังนั้น 19 กันยาจึงไม่ใช่รัฐประหารครั้งสุดท้ายของไทย คำถามของคนไทยในตอนนี้ไม่ใช่ IF แล้วแต่เป็น When นั่นคือ การรัฐประหารจะเกิดขึ้น “เมื่อไหร่” เท่านั้นเอง

หากเราคนไทยยังจำกันได้คมช.เคยบอกว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้นภายใน 1 ปี การที่การเมืองไทยเดินมาสู่การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการนั้นเป็นการบ่งบอกว่าประชาธิปไตยของไทยพ่ายแพ้แล้ว หากประชาธิปไตยชนะจะต้องไม่มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นี้ค่ะ

หากประชาชนไทยกลัวการรัฐประหารนั้นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ประชาธิปไตยจะมีโอกาสกลับมาเบ่งบานในประเทศไทยอีกครั้ง แต่คนไทยไม่ได้กลัวการรัฐประหารค่ะ คนไทยเคยชินกับการรัฐประหารและเห็นการรัฐประหารเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วต่างหาก

คนไทยมีโอกาสที่จะปฏิเสธรัฐประหารบอกให้ประชาคมโลกรู้ว่า คนไทยไม่เอาเผด็จการ แต่ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ออกมานั้นเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า คนไทยยอมรับการรัฐหารได้ ยอมรับว่าการทำรัฐประหารเป็นสิ่งจำเป็น(ชั่วคราว) และยอมรับอำนาจนอกและเหนือรัฐธรรมนูญเข้ามาแก้ไขปัญหาการเมืองแทนที่จะยึดมั่นตามครรลองแห่งประชาธิปไตย บรรดาผู้ที่เชื่อเช่นนี้มักเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคมที่พูดอะไรไปแล้วคนมักเชื่อตาม เช่น ปัญญาชน นักศึกษา และสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งทำให้ทหารสามารถสร้างความชอบธรรมในการแทรกแซงทางการเมืองได้..ดังที่เราเห็นเมืองไทยเป็นอยู่เช่นปัจจุบัน
แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 50 12:28:48

จากคุณ : เอื้องอัยราวัณ - [ 13 ต.ค. 50 12:23:51 A:71.7.214.219 X: ]