Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สัมภาษณ์พิเศษ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” เปิดไอเดียนักยุทธศาสตร์ ผู้พลิกสถานการณ์พปช.? (กรุงเทพฯธุรกิจ-เนชั่น)

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

    กว่า 28 ปี สำหรับประสบการณ์ทำงานภาคเอกชน ในบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ที่ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ สะสมชั่วโมงบิน จากการบ้านมาสู่การเมือง

               เริ่มตั้งแต่ทำเซลส์  มาร์เก็ตติ้ง โฆษณา ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร ฯลฯ และด้วยฝีมือ เขาได้ก้าวกระโดดจากระดับผู้อำนวยการฝ่าย ข้ามชั้นไปเป็นไดเร็คเตอร์ของบริษัทอุตสาหกรรมรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งแม้แต่บริษัทแม่เองก็ไม่เคยมีใครทำได้โดดเด่นอย่างเขา

               “คงเป็นเพราะผมมีประสบการณ์ในภาคเอกชน ในตำแหน่งสูงมาก่อน ทำงานมาเกือบทุกด้าน และสมัยผมอยู่โตโยต้า ก็ได้รับคัดเลือกส่งไปเรียนที่วอตัน บิซิเนส สคูล อยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ซึ่งปกติที่นี่คุณสมบัติคนไปเรียนต้องเป็นเพรสิเดนซ์ หรือ ซีอีโอ เป็นประกาศนียบัตร ต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าหลายเดือน ตอนอยู่การตลาด 10 ปี ผมอ่านเยอะมาก แม้จะไม่ได้เรียนการตลาดแต่กลับกลายเป็นว่าผมรู้เรื่องการตลาดมาก กว่าปกติ  และต่อมาผมก็ต้องเข้าไปดูภาพรวมขององค์กร”

    เจ้าตัวเล่าถึงประสบการณ์สำคัญ ในชีวิตการทำงานช่วงหนึ่ง ที่เขาบอกว่าเป็นความภาคภูมิใจมาก

               นอกจากนี้ ประสบการณ์ที่ทำให้ทำให้เขาขึ้นชั้นนักการตลาดระดับโลก และได้นำมาปรับใช้กับงานการเมืองคือ            

               “ผมได้วิธีคิดที่เป็นสากลมา เพราะหลายครั้งที่ทำงานให้ทั้งโตโยต้า มอเตอร์ ในเมืองไทย เหมือนเหยียบ 2 ขา เพราะที่ญี่ปุ่นก็เอาเราไปทำงานด้วย ผมบินไปวางยุทธศาสตร์ อย่างแคมเปญโฆษณาแบรด พิตต์ และบริทนีย์ สเปียร์ เมื่อได้ทำอย่างนี้ ก็เหมือนเป็นทั้งนักการตลาด นักการขาย นักโฆษณา นักประชาสัมพันธ์ นักบริหารจัดการ ถ้าถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร ผมตอบได้ชัดๆ เลย คือเป็นนักยุทธศาสตร์”

               ยังไม่นับงานใหม่ต่อมา ที่มิ่งขวัญในฐานะผู้อำนวยการ ได้สร้างเซอร์ไพรส์ โชว์ผลงานการปฏิวัติสื่อของรัฐอย่าง อสมท ที่เคยรั้งอันดับเกือบท้ายแถว ให้กลายเป็นสื่อแถวหน้าได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีรายได้ขึ้นอันดับหนึ่งของทีวีในประเทศไทย ขณะที่มิ่งขวัญ ได้กลายเป็นชื่อที่สาธารณชนรู้จักอย่างกว้างขวาง

               นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งแรกที่ตัดสินใจตอบแทนประเทศที่ให้โอกาสเขา คือทำงานใน อสมท  และจุดเปลี่ยนครั้งนี้ ก็ยิ่งสำคัญเพิ่มขึ้น

               “ตอนแรกผมก็คิดว่าจะกลับมาทำงานเอกชนอีกหรือไม่ เพราะมีบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศเสนองานมามาก แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศ กำลังเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง จาก 2 ปัจจัย คือ มาจากปัจจัยระดับโลกและภูมิภาค ซึ่งมีปรากฏให้เห็นชัดว่า เทอมเศรษฐกิจเที่ยวนี้ มันได้ย้ายจากอเมริกา ยุโรป เข้ามาสู่เอเชีย เพราะยุคนี้เป็นยุคที่เอเชียรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ผมกล้าพูดเลย ขณะที่ปัจจัยในประเทศ เราควบคุมไม่ได้เลย โดยเฉพาะ น้ำมัน

             ด้วยเหตุนี้ ผมเลยมานั่งเขียนยุทธศาสตร์ชาติ  ช่วงนั้นผมเขียนเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องค่าเงิน เรื่องส่งออก การท่องเที่ยว เรียงลำดับไว้ พร้อมทั้งเขียนทาง แก้ไขปัญหาว่าจะทำอย่างไร ตอนเขียนก็ตั้งใจจะเขียนวิเคราะห์ปัญหา ด้วยความเป็นนักยุทธศาสตร์ เพื่อจะหาทางออก คิดว่าถ้าใครเป็นรัฐบาลผมก็จะเอาแผนนี้ไปยื่นให้

               บังเอิญกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน(พปช.) คุยกัน แล้วมีมติพรรคมาเชิญผมไปร่วมงาน ตอนแรกผมไม่อยากทำ แต่ก็มี 2 เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจรับคือ

               1 ตามลักษณะวิธีคิด ที่พรรค พปช.เน้นประชานิยม ซึ่งผมชอบ โดยเฉพาะประชานิยมรากหญ้า ซึ่งก็เป็นวิธีคิดเดียวกัน ผมดูว่า นโยบายของพรรคที่ยึดหลักเรื่องประชานิยมสู่รากหญ้า ผมคิดว่าน่าจะทำและสานต่อเพื่อจะได้ช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ แต่ผมยังเห็นว่ายังให้น้อยไป และคิดว่าถ้าบริหารประเทศจะหารายได้อย่างไร เพราะผมจะถนัดทางหารายได้เข้าองค์กร นี่จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์ 3 เรื่อง คือ ประชานิยมสูตรต้นตำรับ ประชานิยมสูตรพิเศษ และการสร้างรายได้ให้ประเทศ  

               ส่วนเหตุผลที่ 2 ก็คืออยากให้ผมเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจทั้งระบบ ผมก็คิดว่า สมมติว่าได้เข้ามาทำ นโยบายก็น่าสนใจก็อยากจะทำ  ซึ่งเราจะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่หมด”

               เขาอธิบายถึง เหตุผลในการตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับพปช.เพื่อปฏิเสธกระแสที่ว่า เขาเข้ามาเพราะ “ใบสั่งนายหญิง”จากลอนดอน

               สำหรับหลักการบริหารจัดการของเขา ไม่ว่าจะอยู่องค์กรใด มิ่งขวัญ บอกว่าเขาใช้ยุทธศาสตร์ 3 ข้อนี้เป็นจุดยืนมาตลอด นั่นคือ

               1.Totally Change คือการคิดใหม่หมดทั้งกระบวนทัศน์ ไม่ติดอยู่ในกรอบวิธีคิดเดิม หรือเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวจรดเท้า  

               2.JR มาจากกรณีศึกษาการรถไฟญี่ปุ่น Japan Railway ที่จับต้องได้ ซึ่งญี่ปุ่นเอาเข้าประเทศพร้อมไทย เคยเจ๊งทั้งคู่ แต่พอเขาเปลี่ยนโค้ดเป็น JR เขาเปลี่ยนตัวผลิตภัณฑ์หลัก เอาชินกันเซน หรือรถไฟความเร็วสูงลง มันก็พลิกสถานภาพจากคนนั่งเครื่องบิน เปลี่ยนมานั่งรถไฟ เช่น โตเกียวไปนาโงยาเหลือ 2 ชั่วโมง คอนเซปต์นี้บอกเลยว่า กทม.-เชียงใหม่ 3 ชั่วโมง จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

               3.ประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่า เราจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น นี่คือจุดยืนของผม

               เมื่อถามว่า เหตุใดถึงอยากเดินหน้าโครงการประชานิยมต่อ ทั้งที่ถูกหลายฝ่ายท้วงติงว่าทำให้เกิดปัญหาตามมามาก

               ประธานทีมเศรษฐกิจ พปช. บอกว่า “ตรงนี้อาจเป็นความเห็นที่แตกต่างกัน  ซึ่งในความเห็นของผม ประชานิยม คนกลุ่มหนึ่งต้องการโอกาส ต้องการเงินทุน เจ็บป่วยก็อยากมีสวัสดิการ อยากมีโอกาส อยากลงทุน อยากมีการศึกษา เมื่อเขาต้องการโอกาส ก็ต้องการคนที่จะหยิบยื่นให้เขา นี่คือที่มาของประชานิยม

                ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ ตอนนี้กำลังมีคนเปลี่ยนคำๆ นี้ เป็นอีกคำหนึ่ง ซึ่งก็มีความหมายเป็นอีกคำหนึ่งคือ “สวัสดิการรัฐ” ซึ่งรัฐบาลที่ดีก็ต้องทำสวัสดิการที่ดี เมื่อรัฐเก็บภาษีอากรจากประชาชน พ่อค้า นักธุรกิจ ก็ต้องเอาเงินมาคืนให้ประชาชนในอีกรูปแบบหนึ่ง วิธีการคืนก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบว่าจะคืนอย่างไร จะสร้างถนน สะพาน รถใต้ดิน หรือคืนโดยตรงอย่างนี้ นี่คือประชานิยม”

               โครงการประชานิยมต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จะหาเงินจากไหนมาใช้ ภายในระยะเวลาอันสั้น

               เขาอธิบายว่า “ผมวางนโยบายทางเศรษฐกิจไว้ 3 ประการคือ 1.จะสานต่อนโยบายประชานิยม สูตรต้นตำรับ หรือดั้งเดิม  2.เราจะรวบรวมเป็นหมวดหมู่ อาจจะใช้ว่าประชานิยมสูตรพิเศษ  เช่น ระบบการคมนาคม อาจจะใช้ระบบรางมากขึ้น เช่นทำเป็นรถไฟทั้ง 5 ระบบเข้ามาเสริม... แต่ข้อสำคัญสุดคือข้อ 3

    ถ้าคิดว่าจะใช้เงินเพื่อทำสวัสดิการรัฐ สวัสดิการประชาชนขนาดนี้ เงินที่มีอยู่ไม่พอ ต้องหาเงินมากขึ้น การหาเงินมากขึ้น ก็คือการหารายได้เข้าประเทศ       ซึ่งรายได้เข้าประเทศตอนนี้ มีหลักๆ อยู่ 3 ก้อน  

               ก้อนที่ 1 มาจากการเก็บภาษีอากร อาจจะประมาณ 80-90% ก้อนที่ 2 รัฐบาลได้มาจากการลงทุนผ่านกิจกรรมที่เป็นรัฐวิสาหกิจต่างๆ และเงินก้อนที่ 3 คือเงินประเภทอื่น เช่น การท่องเที่ยว ซึ่งเงินจะเข้ามาตรง

               แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราจะกระตุ้น เพื่อก่อให้เกิดการทำธุรกิจ อุตสาหกรรม การเคลื่อนไหวของทุน หรืออพยพทุนเข้ามา ทั้งเรียลเซคเตอร์ หรือการทำอุตสาหกรรมจริงๆ  เอสเอ็มอีต่างๆ หรือแม้กระทั่งเงินที่เข้ามาอยู่ในตลาดเงินทุนต่างๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้ามามากๆ ก็จะเกิดการหมุนเวียน มีการไหลของเงิน การทำธุรกิจเกิดขึ้นเยอะ ภาษีอากรก็จะเก็บได้มากขึ้นบวกกับเงินลงทุนที่ไหลเข้ามา บวกกับเงินของการท่องเที่ยวหรืออื่นๆ ก็ทำให้มีเงินพอที่จะนำมาทำกิจกรรมต่างๆ อย่างที่กำหนดเอาไว้  

               สำหรับ“เงินพิเศษ” ที่เราจะหารายได้เข้าประเทศ แต่เราจะหาจาก ผมย้ำนะ มีระยะสั้นกับระยะกลาง (ส่วนระยะยาวก็ต้องทำ)  ระยะสั้นกับระยะกลางคืออะไร อย่างเช่น การท่องเที่ยว กระตุ้นปุ๊บในครึ่งปีหลัง หรือในปีนี้ ปีหน้ามาให้เห็นเป็นต้น หรือว่าการเจรจาการลงทุน การหลอมรวมเศรษฐกิจในหลายๆ ระบบ หลายๆ มิติ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ เดี๋ยวผมจะต้องไปทำตรงนั้นด้วย”

               ในฐานะประธานทีมเศรษฐกิจของพปช. หากเข้ามาเป็นรัฐบาล ปัญหาเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่จะเข้ามาแก้ไขมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะในระยะสั้นนี้  

               เขาอธิบายต่อว่า  “ในระยะสั้น เบื้องต้นก็ต้องดูข้อมูล ตัวเลขที่เป็นจริง คือต้องพูดกันตรงๆ ผมคงต้องดูว่าเงินคงคลังมีเท่าไหร่ เรามีหนี้สินอยู่ชัดๆ เท่าไหร่ สถานภาพทางการเงินของเราเป็นอย่างไร แข็งแรงหรือไม่ อันนี้คงต้องดูกันละเอียดชัดเจน แล้วก็ต้องคุยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า และอื่นๆ คงต้องคุยกันทั้งหมด

               พอเอาข้อมูลมาวางบนโต๊ะ ตรงนั้นแหละจะกำหนดความสำคัญลำดับก่อนหลัง เพราะบางอันเราอาจจะทำช้าไปสัก 6 เดือน ไม่เป็นไร  อีกปีหนึ่งทำยังได้อยู่ แต่บางอันต้องทำทันที  แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ต้องทำทันทีคือ ต้อง กระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นของรายได้ที่จะมาจากต่างประเทศ ทั้งในรูปการลงทุนที่แท้จริง และเงินทุนต่างๆ ที่เข้าสู่ระบบ”

           เมื่อถามว่า ประเมินว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ จึงจะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวสู่สภาวะปกติได้

          เขากล่าวว่า “เป็นคำตอบที่ยาก แต่ผมจะพยายามตอบในวิถีทางที่ผมจะอธิบายได้ ก่อนอื่นจะต้องอธิบายให้เห็นสภาพแวดล้อมในภูมิภาคนี้ และทั้งโลกด้วย 1 เราอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์  2 สิ่งที่แน่นอน ที่ตอนนี้ กระทบกระเทือนเศรษฐกิจโลกมากๆ คือปัญหาซับไพร์มของ อเมริกัน และเกิดวงจรที่เรียกว่าเกิดการใช้หนี้ครั้งที่ 2 และ 3 แต่อันที่ 3 ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือ ปัญหาเกี่ยวกับราคาเชื้อเพลิง คือเรื่องน้ำมัน น้ำมันดิบ แล้วของเรายังอาจจะต้องคำนึงไปถึงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินด้วย      

               3-4 แฟกเตอร์นี้ เป็นองค์ประกอบระดับโลก ที่เราปฏิเสธการเผชิญหน้าไม่ได้ อันนี้คือระดับโลก

               ส่วนในระดับท้องถิ่น วันนี้ถ้าหันไปดูเพื่อนบ้านเราหลายประเทศ จีน อินเดีย เกาหลี รวมทั้งญี่ปุ่นที่ปัจจุบันเป็นเศรษฐีไปแล้ว จะเห็นว่าประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจเติบโตมาก แต่สิ่งที่ผมต้องพูดกับประชาชนคนไทยนั้น เราจะไปบอกให้เขาหยุดวิ่ง หรือช้าๆ เพื่อให้เราตามทัน เราคงห้ามเขาไม่ได้ เพราะนี่เป็นการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก

    แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องทำให้ตัวเองแข็งแรงและลุกขึ้นมาแข่งขันกับเขาได้ ถ้าถามผม (ไม่ได้ตอบในเชิงปรัชญานะ) แต่ความหมายของเรา ก็คงต้องตอบอย่างนี้ ผมว่าเราจะทำอย่างไร เร็วขนาดไหน อันนี้จะมีโอกาสได้คุยกันอีกที”

               จากประสบการณ์นักการตลาดและนักยุทธศาสตร์ จะสื่อสารอย่างไร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กลับมาโดยเร็ว  

    http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/19/WW01_0106_news.php?newsid=203442

    อีกด้านของสื่อที่ยอมนำเสนอด้านของศัตรู เป็นการปรับปรุงที่ดี หวังว่าจะดียิ่งขี้นนะครับ

    จากคุณ : HaHaHa - [ 19 พ.ย. 50 14:12:10 A:172.16.90.37 X:203.209.31.100 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom