(ลอกเขามาอีกที)
คำถามที่ท่านควรตอบมีตัวอย่างดังต่อไปนี้ครับ
1.หลังจากท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีการแก้ไขสัมปทานส่วนแบ่งรายได้มือถือจาก 25-30% ตามสัญญาเดิม (ดังแบบ 56-1 ปี 2543) เป็น 20% สำหรับระบบพรีเพด (ดังแบบ 56-1 ปี 2544) หรือไม่ ?
2.กรณีไอทีวี มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทำให้รัฐได้ประโยชน์น้อยลง เอกชน (คือกลุ่มท่าน) ได้ประโยชน์เพิ่มหรือไม่ ? ได้เงื่อนไขธุรกิจดีกว่าสมัยที่เป็นธุรกิจกลุ่มเนชั่นหรือไม่ ? ถ้ากลุ่มเนชั่นถือต่อ จะมีทาบงได้ประโยชน์พิเศษนี้หรือไม่ ?
3.ท่านยังถือหุ้นกลุ่มชินฯผ่านวินมาร์ค ซึ่งมีเลขบัญชี 121751 ที่ธนาคารยูบีเอส ตรงกับรายชื่อผู้ถือหุ้นกลุ่มชินฯในระบบตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ ? เพราะดีเอสไอและ
ก.ล.ต.ก็ได้ร่วมกันกล่าวโทษแล้วว่า วินมาร์คมีเลขที่บัญชี 121751 เป็นของท่านที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ประชาชนเพิ่งทราบว่ามีหุ้นชินฯด้วย ซึ่งจะผิดกฎหมาย ปปช. (ป้องกันการทุจริต) ที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้นสัมปทาน
4.ท่านยังถือหุ้นผ่านแอมเพิลริชหรือไม่ ? เพราะ ธ. ยูบีเอสได้รายงานหุ้นของแอมเพิลริช และหุ้นของวินมาร์คเป็นของบุคคลเดียวกันตามกฎหมาย ถ้าเขาเห็นว่า
แอมเพิลริชเป็นของพานทองแท้ ก็คงจะไม่นับรวมกับวินมาร์คของพ่อ เพราะเป็นของคนละคนตามกฎหมาย ธนาคารระดับโลกระดับนี้คงไม่ทำงานโดยผิดกฎหมาย และ ตอนแบ่งหุ้นที่ไม่ได้นับรวมหุ้นของแอมเพิลริช พานทองแท้ก็ถือ 24.99% ไปถามใครในวงการหุ้น ก็เข้าใจได้ตรงกันว่า เป็นสัดส่วนสูงสุดที่ไม่ต้องเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ถ้าจะให้ถือแอมเพิลริชจริง ก็ไม่ต้องจัดจำนวน 24.99% พอดี จัดมากกว่านี้ก็ได้ ประเด็นนี้ทำให้การที่อดีตผู้นำโอนให้ลูกแล้วไม่น่าเชื่อถือ โปรดอธิบาย
5.ท่านและภรรยาโอนให้ลูกชายแล้วทั้ง 733.95 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) จริงหรือ ? ทำไมพานทองแท้ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้แม่อีก 4,500 ล้านบาท เป็น "หนี้ซ่อน" ต่างหากจากหนี้ 733.95 ล้านบาท ซึ่งค้างชำระพ่อ 309.2 ล้านบาท และ ค้างชำระแม่ 424.75 ล้านบาท และ พานทองแท้ก็โอนให้น้องสาว 440 ล้านหุ้นจริงๆหรือ ? เพราะโอนที่ราคาพาร์ ในจำนวนที่มากกว่าที่ตนเหลืออยู่เพียง 293.95 ล้านหุ้นเท่านั้น และพี่ยังต้องแบกภาระหนี้ซ่อนเพียงคนเดียว !! เป็นการตัดสินใจที่เป็นเจ้าของหุ้นสิทธิ์ขาดจริงๆหรือ ? ครั้นจะบอกว่าเป็นการแบ่งระหว่างพี่น้องให้เป็นธรรม ทำไมแพทองธารไม่ได้รับ ? เพราะตอนขายหุ้นแล้วจะแบ่งกัน ก็ไม่เป็นปัญหาต่อตำแหน่งของพ่ออีกต่อไป
6.ทำไมนายบรรณพจน์ซื้อหุ้นชินฯไม่ต้องใช้เงินของตนเองเลย ครั้งหนึ่งก็ใช้เงิน คุณหญิงพจมาน เพื่อซื้อหุ้นจากคนรับใช้ อีกครั้งก็ค้างหนี้ค่าหุ้น 102,135,225 บาท ตั้ง 3-4 ปี จึงชำระคืนด้วยเงินปันผลจากหุ้น SHIN ที่ได้รับ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ก็ค้างค่าหุ้น 20 ล้านบาท ถึง 3 ปี โดยไม่คืนด้วยเงินส่วนตัวเลย จนเมื่อรับปันผล 2 งวดจึงได้คืน และงวดต่อๆมา ก็ถอนด้วยเช็คเงินสด ครั้งละประมาณ 10 ฉบับๆ ละ 1-2 ล้านบาท ราวกับเป็นการหลบกฎหมายฟอกเงินอีกเช่นเคย
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโอนทรัพย์สินในครอบครัว เพราะมันเกี่ยวกับการละเลยรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้นเกิน 5% และกฎหมาย ปปช. (ป้องกันการทุจริต) ห้ามมีหุ้นสัมปทาน ซึ่งกฎหมายที่มีก็เพราะกลัวการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ธุรกิจตนเองบนภาระของภาครัฐหรือประชาชน แล้วก็ยังใช้โนมินีถือหุ้น แล้วก็ยังมีนโยบายภาครัฐเอื้อกิจการส่วนตัว ตามข่าว ก็มีความเสียหายภาครัฐนับแสนล้านบาท สูงสุดคอรัปชันในประวัติศาสตร์ไทย
ขออภัยที่ถามซ้ำ เพราะไม่เคยได้รับคำตอบ เมื่อพรรคโนมินีอยากตอบข้อข้องใจประชาชน ดีเบตจะดีที่สุด จะได้ไม่แต่งคำถามเองเหมือนตัวอย่างตอนต้น และตอบตรงคำถามให้หมดข้อข้องใจ และถ้าหมดข้อข้องใจได้จริง ผมจะไปขออภัย และประชาชนก็จะได้ฟื้นฟูศรัทธากลับมาอีกครั้งหนึ่งครับ ประชาธิปไตย จะนำให้เศรษฐกิจเจริญยั่งยืน 23 ธันวาคม นี้ อย่าลืมเลือกคนดีเข้าสภาไปบริหารบ้านเมืองนะครับ
มนตรี ศรไพศาล
(Montree4life@yahoo.com)
จากคุณ :
LyouTyou
- [
3 ธ.ค. 50 06:59:16
A:125.24.8.5 X:
]