ความคิดเห็นที่ 6
กรณีดาวเทียมไทยคม การใช้วงโคจรที่ได้รับสิทธิจากสหประชาชาติ (UN) และ ITU ต้องทำตามกฎนานาชาติ เป็นเรื่องสากล เพราะดาวเทียมมีพื้นที่บริการครอบคลุมหลายประเทศ รัฐบาลไทยเองก็เพียงได้สิทธิ์ในวงโคจรดาวเทียมที่หลังจากประสานงานกับชาติอื่นแล้ว ไม่ใช่เจ้าของโดยสมบูรณ์ จากนั้นจึงมอบหมายให้บริษัทส่งดาวเทียมขึ้นไปให้บริการมีกำหนดเวลาตามอายุดาวเทียม
ไม่ใช่เรื่องที่แต่ละประเทศทำตามใจได้ การให้บริการต้องเป็นสากล เป็นกลางและเน้นธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ อิงการเมืองไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละประเทศอนุญาตให้ใช้ดาวเทียมของประเทศอื่นๆได้โดยไม่กีดกันอ้างเรื่องความมั่นคง หากฝั่งไทยอ้างหรือเน้นเรื่องความมั่นคงภายในหรือเรื่องชาตินิยมกันมาก ก็เท่ากับไปป่าวร้องให้ชาติอื่นห่วงเรื่องนี้ เกิดกีดกันระหว่างประเทศ ไปกันใหญ่ ปัจจุบันดาวเทียมไทยคมมีลูกค้าและรายได้จากต่างประเทศ กว่า 60% และเมื่อไอพีสตาร์และไทยคม 5 ให้บริการเต็มรูปแบบ จะมีลูกค้าและรายได้จากต่างประเทศกว่า 95% จึงต้องเป็นสากลและเป็นกลางอย่างยิ่ง
ดาวเทียม ปาลาปาของรัฐบาลอินโดนีเซีย แอ็ปสตาร์ของฮ่องกงจีน อ็อปตัสของออสเตรเลีย ล้วนมีผู้ถือหุ้นต่างชาติสัดส่วนสูงมาก มีส่วนร่วมในการบริหารสูง ในอนาคตไทยคมก็จะมีบริษัทลูกในหลายประเทศ การที่อ้างประเด็นการขายสมบัติของชาติ ที่ผ่านมารัฐบาลส่งเสริมบริษัทโทรคมนาคมไทยอย่างไร?
มีการเก็บภาษีสองต่อ ทั้งภาษีเงินได้และค่าสัมปทาน (ต่อมาเรียกบางส่วนเป็นภาษีสรรพสามิตด้วย) ราวกับเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ที่มาเลเซียมีการให้สถานะ MSC (Multimedia Super Corridor) ให้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง บ้านเรารัฐบาลให้อะไร? สัมปทานมือถือและดาวเทียมเดิม ต้องโอนทรัพย์สินเป็นของรัฐ ทำให้การบริหารงานและการกู้เงินซับซ้อนมาก ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น รัฐก็กำกับดูแลการแข่งขันให้เหมาะสมไม่ได้ ทำให้บริการมือถือไทยแข่งขันรุนแรงมาก จัดได้ว่าถูกที่สุดในโลก (การแข่งขันมากไปไม่ใช่ว่าดี แข่งกันเจ๊ง ลงทุนซ้ำซ้อนเสียเงินตราต่างประเทศมาก) เช่นกรณีโทรทั่วไทย 1 ชั่วโมง จ่าย 1 นาที (หากจ่าย 2 บาท/นาที เท่ากับ นาทีละ 3.3 สตางค์ ที่อเมริกา นาทีละ 15 เซ็นต์ เท่ากับ 6 บาท มากกว่าบ้านเรา 181 เท่า, ที่ออสเตรเลีย นาทีละ 25 เซ็นต์ เท่ากับ 6.25 บาท/นาที มากกว่าบ้านเรา 189 เท่า, ที่จีน นาทีละ 50 เซ็นต์หยวน จ่ายทั้งผู้โทรออกและรับเข้า เท่ากับ 5 บาท/นาที มากกว่าบ้านเรา 151 เท่า ทั้งหมดนี้แค่โทรในเมืองเดียวกัน ทั่วประเทศแพงกว่านี้มาก) ขณะที่ต้นทุนอุปกรณ์และการเงินของเราแพงกว่า มีแค่บริหารต้นทุนและค่าแรงได้ต่ำกว่าเท่านั้น กรณี ยูคอม ดีแทค ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับสองของไทย 6 มีนาคม 2549 กรณีขายหุ้นชินคอร์ป บทที่ 3 จาก คนไทยเพื่อคนไทย หน้า 3 บทวิเคราะห์และคำอธิบายเหล่านี้ ตั้งใจให้ย่นย่อและเข้าใจง่ายขึ้น เน้นประเด็นหลัก หากมีผิดพลาดจุดใด ยินดีรับการแก้ไข ช่วยกันอ่านและเผยแพร่ต่อ
ปลายปี 48 ตระกูลเบญจรงคกุล ได้ขายหุ้นอย่างซับซ้อน รวมถึงการใช้ตัวแทนนอมินีด้วย ทำให้ต่างชาติ(บริษัทเทเลนอร์ เจ้าของใหญ่คือรัฐบาลนอร์เวย์) เป็นเจ้าของดีแทคเกือบทั้งหมด 100% (มากกว่ากรณีชินคอร์ปมาก) ไม่มีภาษีจากการขายหุ้นเช่นกัน มีการถือหุ้นทางอ้อมผ่านตัวแทน หากกรณีชินคอร์ปไม่ถูกต้อง กรณียูคอมดีแทคก็เหมือนกัน ทำไมผู้ประท้วงกรณีชินคอร์ปไม่ประท้วงกรณียูคอมดีแทค เป็นแค่เกมการโจมตีการเมือง (ไม่ได้ต้องการกระทบดีแทค เพียงไม่ต้องการการเมืองสกปรก) 7 ปีก่อน นายสนธิทำโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ลงทุนแล้วเจ๊งไปหลายพันล้านบาท ให้ยูคอมซื้ออุ้มบริษัทไป เป็นเหตุให้เลือกปฏิบัติในการโจมตีกล่าวหา? กรณีนายสนธิทำโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง ASTV แพร่ภาพในไทยโดยใช้ดาวเทียมต่างชาติ (New Sky Network) ผิดกฎหมายไทย สองกรณี
การใช้ดาวเทียมต่างชาติที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้บริการได้ในไทยโดย กทช การออกอากาศแพร่ภาพโทรทัศน์ในประเทศไทย โดยไม่มีใบอนุญาต อาศัยช่องโหว่ที่ทางราชการยังไม่มีมาตรการจัดการกับช่องโทรทัศน์ไทยผ่านดาวเทียมอย่างผิดกฎหมาย อาศัยอิทธิพลม็อบ อ้างสิทธิสื่อมวลชน และอ้างว่ารัฐปิดกั้นสื่อ ทั้งที่สื่อไทยโจมตีรัฐบาลได้ทุกรูปแบบ กรณีนายสนธิทำธุรกิจดาวเทียมลาวสตาร์ ในนามบริษัท ABCN (Asia Broadcasting & Communications Ltd)
นายสนธิขอสัมปทานและร่วมทุนกับรัฐบาลลาว ตั้งเป้าขายตลาด ไทย ไต้หวัน จีน อินเดีย พยายามที่จะฝ่าฝืนกฎหมายไทยเพื่อขายช่องสัญญาณ และทำโทรทัศน์บอกรับสมาชิกในไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ เล็งที่จะแข่งกับดาวเทียมไทยคมและUBC แต่หลังลงทุนไปหลายพันล้านบาท ก็ล้มละลายและต้องเลิกไป คงยังเจ็บใจที่ทำแล้วเจ๊ง? ทั้งหมดนี้ นายสนธิได้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชาติและการไม่ขายชาติตรงไหน ในการร่วมมือกับต่างชาติเพื่อทำสื่อข้ามประเทศเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย
นายสนธิยังผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรค 1 ทั้ง 4 ประเด็น เพราะ (1) พยายามล้มรัฐบาล (2) หมิ่นประมาทและละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอื่น (3) ก่อม็อบ และ (4) เนื้อหาหยาบคาย
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อ (1) รักษาความมั่นคงของรัฐ (2) เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น (3) เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือ (4) เพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน
จากคุณ :
candleman
- [
7 ธ.ค. 50 06:40:20
A:125.24.142.245 X:
]
|
|
|