ความคิดเห็นที่ 4
ความพ่ายแพ้ของขบวนการโค่นล้มรัฐบาล
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบการปกครอง ประชาธิปไตย แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นหาได้คืนอำนาจให้มหาชนอย่างแท้จริง เพราะผู้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลง การปกครองนั้นเป็นกลุ่มชนชั้นศักดินาของประเทศ ที่กุมอำนาจในการปกครองประเทศมาเป็นระยะเวลาช้านาน หาใช่เกิดจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงไม่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จึงเท่ากับเป็นการโอนถ่าย อำนาจในการปกครองจากสถาบันพระมหากษัตรย์ มาสู่กลุ่มชนชั้นศักดินา
โดยผู้เขียนจะเรียกว่า ชนชั้น ปรสิต อภิสิทธิชน เพราะกลุ่มคนกลุ่มนี้เปรียบเสมือนปรสิตที่คอยสูบผลประโยชน์ เข้าสู่พวกพ้องของตนเอง ซึ่งภายหลัง ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น และพรรคประชาธิปัติก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยอาศัยฐานอำนาจจากกลุ่มชนชั้น ศักดินานั้นเองเป็นรากฐานที่สำคัญ เพื่อสืบทาญาติอสูรให้คอยสูบ ผลประโยชน์เท่านั้น และตลอดระยะเวลากว่า ๗๐ ปีที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับไม่ได้ รับผลประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นแม้แต่น้อย แต่ในทางกลับกัน กับถูกเอารัดเอาเปรียบในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ถูกกลุ่มปรสิต อภิสิทธ ชน เหล่านี้ ซึ่งใช้ อภิสิทธิ ในการเข้ากอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่กลุ่มของตนเอง โดยไม่แบ่งปันให้กับประชาชน ส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากระบบการปกครองของประเทศไทยนั้น แต่เดิมนั้นเป็นการปกครองแบบระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์ ที่เหล่าขุนนางผู้อำนาจในการปกครองเคยชินกับการปกครองไพร่พล เห็นประชาชนเป็นข้าทาส บริวาร ทรัพยากรที่มีอยู่ถูกสูบเข้าหายอดปีรามิดแห่งความชั่วร้าย เมื่อมีการเปลี่ยนการปกครอง ก็หาได้ เปลี่ยนแปลง ทัศนะคติของกลุ่ม ปรสิต อภิสิทธิ ชน แต่ยังคงมองประชาชนในแบบเดิม และยังพยายามสืบทอด อำนาจระหว่างรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย กลุ่มอำนาจเก่าเหล่านี้ ก็พยายามที่จะรักษาความเป็น อภิสิทธิชนของตัวเองด้วยการให้ความช่วยเหลือบุุคคลในกลุ่มของตนเองให้ได้รับผลประโยชน์ให้มากที่สุด เช่น
จะเห็นได้จากกลุ่มทุนที่สนับสนุนกลุ่ม อำนาจมี การเจริญ เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนมากจะอาศัยความได้เปรียบ จาการผูกขาดระบบสัมปะทาน เช่น ตระเราลโสภณพาณิช ผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ตระเราลล่ำซำ ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย ตระเราลจาติกวาณิช ( นายอานันท์ ปัญญารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีจากการปฏิวัติ ขายบางจากให้ในราคา ๘,๐๐๐ ล้านบาท ในวันสุดท้ายที่ดำรงค์ตำแหน่ง ) ตระเราลจันกภาก ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอกธนกิจ จำกัด มหาชน ( ต้นตอของการล่มสลายของระบบการเงินและเศษรฐกิจไทยในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ) ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับผลประโยชน์จากการกำหนดนโยบาย ในช่วงที่พรรคประชาธิปัติ เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ เช่นนโยบายการเปิดเสรีทางการเงิน ( BIBF ) ในสมัยรัฐบาลภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่สำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสาตร์ไทย
และภายหลังกลุ่มทุนเหล่านี้ยังได้ประโยชน์จากการเข้ามาแก้ไขปัญหาของนายชวน หลีกภัย อีกครั้ง ด้วยการที่ รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขหนี้เสียมูลค่าสูงถึง ๑,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีมูลค่าความเสียหายจาการบริหารที่ทุจริต ของรัฐบาล ถึง ๑,๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยที่กลุ่มทุนเหล่านี้ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น นายปิ่น จันกภาก อดีตผู้บริหารของ บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ เอกธนกิจ จำกัด ( มหาชน ) ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปยัง สหราชอาณาจักรพร้อมกับทรัพสินย์จำนวนมาก โดยอาศัยความสนิทสนมกับ นาย กรณ์ จาติกวาณิช รองเลขาธิการ พรรคประชาธิปัติ ในการให้ความสะดวกในการหลบหนี เป็นต้น ซึ่งจากการใช้ระบบอภิสิทธิเยี่ยงได้ สร้างความ แตกต่างให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก คือบุคคลเหล่านี้มีโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยและ ความมั่นคั่ง ให้กับกลุ่ม ของตนเอง แต่ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถที่จะมีโอกาส และยังต้องถูกเอารัด เอาเปรียบ จากกลุ่มทุนเหล่านี้เป็นอย่างมากอีกด้วย
นอกจากที่จะครอบงำในด้านของเศรษฐกิจของประเทศแล้วกลุ่ม ปรสิต อภิสิทธิ ชน ยังต้องการที่ครอบงำ การบริหารประเทศอีกด้วบ ซึ่งวิธีการที่ใช้คือ การส่งบุุคลในกลุ่มของตนเองเข้าไปแทรกซึมในระบบการเมือง การศึกษา ของประเทศ เพื่อในการวางรากฐานอำนาจเพื่อสืบทอดอำนาจไว้ในชนชั้นของตัวเองให้นานที่สุด
ดังกล่าวดังจะเห็นได้จากมีราชสกุลหลายราชสกุลเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็น ราชสกุลปราโมชย์ ราชสกุลบริพัฒณ์ ราชสกุลโสภณกุล ฯลฯ รวมทั้งตะเราลขุนนางในอดีตมากมาย ที่สำคัญ คือ ตระเราลเวชชาชีวะ
เช่นในกรณีของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ที่อาศัยความเป็นอภิสิทธิชนของตัวเอง ในการหลบเลี่ยงการเข้า รับราชการ ทหารในฐานะทหารกองประจำการ ด้วยการใช้ช่องว่างของระเบียบเข้่ารับราชการทหารบรรจุเป็นนายทหาร สัญญาบัตร หลังจากนั้นก็เข้ารับราชการใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยไม่ผ่านกระบวนการัดเลือก ซึ่งหาก ประชาชน ธรรมดานั้นจะต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนจำนวนมาก กว่าที่จะเข้ารับราชการได้ แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัติ กลับไม่ต้องผ่านขั้นตอนต่างเหล่านั้น เพียงเพราะเป็น ชนชั้นศักดินา ซึ่งแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนแม้แต่เพียงในเรื่องเล็กน้อย ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน ที่บัญญัติไว้ว่า ปวงชนชนชาวไทยมีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกันไม่สามารถแบ่งแยกตามเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ชาติกำเนิด แต่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ก็ยังได้ประโยชน์จากการเป็นอภิสิทธชน ตัวผู้เขียนแม้บิดาของผู้เขียนจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็หาได้ใช้ อภิสิทธิ ในการหลบเลี่ยงการเข้ารับราชการทหารไม่ กลับสมัครเข้ารับราชการ เพราะตระหนักดีว่าเป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของชายไทย ที่มีต่อชาติ ศาสนา และที่สำคัญที่สุดคือ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่จะต้องปกป้องสถาบันเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งในกระบวนการศึกษากลุ่มอภิสิทธิชน ก็ได้ใช้ความเป็นอภิสิทธิในการให้บุตรหลานของตนเอง ได้รับการศึกษามากกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้ง สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงมักจะอยู่ในกรุงเทพ ฯ ทุนการศึกษาต่าง ๆ บุุคคลที่ได้รับทุนการศึกษาก็มักจะเป็นบุตรหลานของกลุ่มอภิสิทธิชน ทั้งที่บุคคลเหล่านี้ต่างมี กำลังทรัพย์ ที่จะส่งเสียบุตรหลานของตนเอง ซึ่งเป็นการกีดกันไม่ให้บุตรหลานของประชาชนส่วนใหญ่ของ ประเทศเข้าถึง ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพได้
จากคุณ :
กระบี่น้อย เต่าตุ๊กแก
- [
วันรัฐธรรมนูญ 11:44:54
A:58.9.114.48 X:
]
|
|
|