PANTIP.COM : P6234562 ระวังเกมเปิดสภา 456 เสียง ! []

ความคิดเห็นที่ 6

รัฐธรรมนูญ มาตรา 127 ระบุว่า ภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก

หลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. ภายในวันที่ 22 ม.ค. 2551 จะต้องเปิดประชุมรัฐสภา

มาตรา 93 วรรคหก ระบุว่า กรณีที่มีเหตุการณ์ใดๆ ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ถึง 480 คน แต่มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด

ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนนั้นประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องดำเนินการให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ภายใน 180 วัน และให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่

การประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของ กกต. จึงถูกบังคับโดยมาตรา 127 และมาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ

เพราะจำนวนร้อยละ 95 ของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมีทั้งสภา เท่ากับ 456 คน ที่ กกต.ต้องประกาศรับรองเพื่อให้เปิดประชุมสภาครั้งแรกได้

การสอบสวนและวินิจฉัยข้อร้องเรียนต่างๆ ของกกต. ที่จะนำมาสู่การแจกใบ เหลือง-ใบแดงหลังการเลือกตั้ง จึงต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 22 ม.ค.

หากต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตใด กกต.กำหนดไว้เป็นวันที่ 20 ม.ค. โดยวันที่ 22 ม.ค. จะเป็นวันที่กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง

หลังรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาตามมาตรา 127 แล้ว จะมีการกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

จากนั้นประธานสภาฯ จะเป็นผู้นำรายชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ตามมติสภาผู้แทนราษฎร

โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ดังนี้

มาตรา 171 ระบุ ให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

วรรคสอง นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 172

วรรคสาม ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

วรรคสี่ นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่า 8 ปีมิได้

มาตรา 172 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกตามมาตรา 127

วรรคสอง การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง

แสดงว่าการเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับรอง ถ้าคิดจากจำนวนสมาชิกเต็มสภา 480 คน ต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 96 คน

วรรคสาม มาตราเดียวกัน ระบุว่า มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยการลงคะแนนโดย เปิดเผย

วรรคสามของมาตรา 172 นี้เอง ที่นำมาสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปิดช่องให้มีการซื้อตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการโหวตเลือกใครคนใดคนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ประกอบกับ มาตรา 126 วรรคห้า เปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร "แหกมติ" พรรคได้ เนื่องจากระบุไว้ดังนี้ การออกเสียงลงคะแนนเลือกหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดให้กระทำเป็นการลับ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้ และสมาชิกย่อมมีอิสระและไม่ถูกผูกพันโดยมติของพรรคการเมือง หรืออาณัติอื่นใด

นั่นหมายความว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นสิทธิส่วนตัวของส.ส. ไม่ผูกพันกับมติพรรคต้นสังกัด

พิจารณาจากสภาพฝุ่นตลบและความไม่แน่ไม่นอนทางการเมือง

ทำให้ฉุกคิดกันว่าหากไม่ได้นายกฯ ใน 30 วันจะทำอย่างไร

มาตรา 173 ระบุในกรณีที่พ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งคราวแล้ว ไม่ปรากฏมีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 172 วรรคสาม ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคล ซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี

ตีความได้ว่าหากภายในกำหนดวันที่ 22 ม.ค. 51 ที่ประชุมสภายังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องตัวนายกรัฐมนตรี

ประธานสภาต้องนำรายชื่อว่าที่นายกฯ ที่ได้รับคะแนนเสียงสนับ สนุนสูงสุดขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ภายในวันที่ 6 ก.พ. 51

ที่มา ข่าวสด

จากคุณ : นักกวนเมือง - [ 15 ม.ค. 51 16:58:36 A:58.8.191.219 X: ]