นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยและคนไทยที่พรรคพลังประชาชนในฐานะเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นลำดับที่ 1 (233 ที่นั่ง) สามารถรวมรวบเสียงจากพรรคขนาดกลางและเล็กจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรคได้สำเร็จในที่สุด เพราะการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 315 เสียงถือว่ามีความมั่นคงพอที่จะทำให้รัฐบาลชุดนี้มีอายุยืนยาวสามารถเข้าไปกู้วิกฤตและบริหารประเทศต่อไปได้อย่างราบรื่น
การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นบันไดก้าวแรกในการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่เป็นของปวงชนจริงๆกลับคืนมาหลังจากที่ รธน.40และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกโค่นล้มลง
การที่พรรคพลังประชาชนได้รับชัยชนะเหนือพรรคคู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์แบบทิ้งห่างในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนตั้งใจเลือกพรรคที่สื่อตั้งให้ว่าเป็น ร่างทรง ของอดีตนายกฯทักษิณเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลนั่นเอง
และก็คงไม่สายเกินไปหากจะกล่าวถึง สปิริต และ มารยาททางการเมือง ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นลำดับที่ 2 ในช่วงที่ผ่านมา
ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนยังจำได้หลังจากที่ผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 23 เสร็จสิ้นลง คุณอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับสอง(165 ที่นั่ง) ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสำนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศว่าเนื่องจากทางพรรคมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับพรรคพลังประชาชน ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงมีจุดยืนไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนและ เราให้เกียรติพรรคพลังประชาชนที่ได้มาที่หนึ่ง ทำหน้าที่เชิญพรรคการเมืองอื่น อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองอื่นจะร่วมหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีตัวช่วยใดๆทั้งสิ้น
แต่ในช่วงที่คุณอภิสิทธิ์ได้ ให้เกียรติ พรรคพลังประชาชนในฐานะพรรคที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งในการดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลอยู่นั้น ดูเหมือน การแสดงออกด้วยวาจาของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะคำพูดของท่านหัวหน้าพรรคที่ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังทราบผลการเลือกตั้งว่า
หากเป็นพรรคอันดับหนึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ไม่อายหรือ ไม่ได้แสดงถึง ความมีสปิริต และมารยาททางการเมืองที่เหมาะสมเลย
ทั้งๆที่พรรคพปช.ยังมิได้เริ่มดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นแต่อย่างใดเพราะเพิ่งทราบผลการเลือกตั้งและต้องรอการตอบรับจากหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นที่ต้องตัดสินใจว่าจะตอบรับคำเชิญของพรรคพลังประชาชนหรือไม่
แถมยังไม่ได้เห็นท่านหัวหน้าพรรคกล่าวแสดงความยินดีกับหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่ได้รับชัยชนะอย่างแสดงถึงความมีสปิริต ความมีน้ำใจนักกีฬาให้ได้เห็นเป็นบุญตาแบบอารยะะประเทศเขาแสดงออกต่อกันเลย
หรือเร็วๆนี้ที่คุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดในเชิงเย้ยหยันว่า
หากพรรคพลังประชาชนยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้า ปชป.ได้เสียงมากพอจะแสดงวิธีการตั้งรัฐบาลให้ดู
หรือล่าสุดที่คุณอภิสิทธิ์พูดในทำนองว่า
พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลควรสร้างความชัดเจนเรื่องตัวบุคคลและนโยบายที่จะนำมาแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติ หลีกเลี่ยงการต่อรองผลประโยชน์และสร้างกระแสความขัดแย้งทางการเมือง
ด้วยคำพูด ท่วงท่าและการแสดงออกของคุณอภิสิทธิ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันที่เป็นไปในลักษณะ เย้ยหยัน และเข้ามา ยุ่มย่าม ต่อความพยายามของพรรค พปช.ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม นั้นทางฝั่ง พปช. ผู้ที่ฟังหรือประชาชนคนทั่วไปก็ย่อมมีสิทธิคิดและเข้าใจได้ว่าพรรค ปชป. ต้องการจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพปช. คุณอภิสิทธิ์จะมาบอกว่าที่หลายคนพูดว่า ปชป.พยายามตั้งรัฐบาลแข่ง ว่าเป็นคำพูดของคนที่วิตกจริตไปเองไม่ได้หรอก
คุณอภิสิทธิ์พูดไม่ผิดเลยที่บอกว่า ในต่างประเทศเขาถือกันว่าใครสามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ก็สามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่เราให้เกียรติพรรคพลังประชาชนที่ได้มาที่หนึ่ง ทำหน้าที่เชิญพรรคการเมืองอื่น อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองอื่นจะร่วมหรือไม่
แต่ในรัฐเสรีประชาธิปไตยแบบอารยะนั้นเขาก็ให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นลำดับที่หนึ่งจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยและรัฐบาลผสมได้หากไม่ win outright majority อย่างในประเทศแคนาดาที่แม้พรรคคอนเซอร์เวทีฟจะได้ที่นั่งไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แต่พรรคที่ได้คะแนนเสียงในลำดับถัดมาก็เปิดทางให้พรรคคอนเซอร์เวทีฟจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ แม้จะขาดเสถียรภาพแต่แคนาดาก็มี minority governments มาแล้วถึง 11 สมัย
หากแต่ทั้งคำพูด ท่วงท่าและการแสดงออกของคุณอภิสิทธิ์ที่ผ่านหาได้แสดงออกถึงมารยาทที่เหมาะสมในการ ให้เกียรติ พรรคพปช. ซึ่งเป็นพรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาลอย่างที่ตนพูดไว้ไม่ นี่ยังไม่รวมถึงคำพูดของเลขาธิการพรรคฯที่ออกให้สัมภาษณ์รายวันก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เป็นการ ให้เกียรติ พรรคที่ได้คะแนนเสียงที่มาเป็นอันดับหนึ่งอย่างพรรค พปช. เลย
อีกทั้งก็สอดคล้องกับการที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นฟ้องใน 4 ประเด็นต่อ กกต.และ พปช. คือ พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย และ นายสมัคร เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย รวมทั้งในประเด็นที่ให้การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเป็นโมฆะ ซึ่งก็ปรากฏว่าศาลฯมีคำสั่งให้ยกคำร้องในทุกประเด็น
แน่นอนว่านายไชยวัฒน์(สังกัดพรรคประชาธิปัตย์) มีสิทธิที่จะฟ้อง พปช.ได้หากเขาเห็นว่าพรรค พปช. ทำผิดกฏหมายเลือกตั้งและมีหลักฐานไม่ใช่การกล่าวหากันอย่างลอยๆ แต่การที่นายไชยวัฒณ์ฟ้องในประเด็น ให้การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเป็นโมฆะ นั้นถือว่า
1. เหตุผลฟังไม่ขึ้น
2. เป็นระเบิดทางการเมืองเพราะหากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งชี้ขาดว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค. ที่ผ่านมาและการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที 23 ธ.ค.ที่ผ่านมาถือเป็นโมฆะนั่นหมายความว่า ทุกอย่างต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หมด
3. ไม่เคารพกติกา เพราะหากมองในประเด็นที่ กกต. จัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้านั้นก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปลงคะแนนในวันเลือกตั้งจริงได้ เป็นการส่งเสริมให้คนไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากๆ แต่นายไชยวัฒณ์กลับมองว่ากติกาตรงนี้ที่ออกมาโดย กกต. ไม่โปร่งใสทั้งที่กติกาตรงนี้ก็ปฎิบัติกับทุกพรรคการเมือง หาได้เลือกปฏิบัติกับพรรคใดพรรคหนึ่ง ตรงนี้มันมองเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากว่านายไชยวัฒน์ไม่เคารพกติกา
4. ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ขี้แพ้ชวนตี เนื่องจากว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่ตรงตามที่ตัวเองคาดหวังไว้เลยต้องการหาทางใช้ข้อกฏหมายคว่ำกระดาน มันซะทั้งหมด
5. มีความเป็นไปได้ที่พรรคประชาธิปัตย์ให้การหนุนหลังการกระทำของนายไชยวัฒน์
เพราะนายไชยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ การที่คุณอภิสิทธิ์เพิ่งจะโผล่ออกมาคัดค้านและเรียกร้องให้นายไชยวัฒณ์ถอนฟ้องในเฉพาะข้อหาให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะหลังจากที่นายไชยวัฒน์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลฯไปก่อนหน้านี้แล้วหลายวันแต่ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ยังนิ่งเฉยอยู่นั้นมันบ่งบอกพฤติกรรมของพรรคเก่าแก่พรรคนี้ได้เป็นอย่างดีว่า
- พรรคประชาธิปัตย์ต้องการรอดูทิศทางลมสักระยะหนึ่งก่อน ก่อนที่จะออกมาบอกให้คุณไชยวัฒณ์ถอนฟ้องเพราะหวังลึกๆว่าเผื่อมี ส้มหล่น เกิดขึ้นหากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะ
- นายไชยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มันเป็นไปไม่ได้เลยที่หัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคซึ่งต้องห่วงภาพพจน์ของพรรคจะไม่รับรู้หรือไม่ไฟเขียวให้นายไชยวัฒณ์เพราะคดีนี้ออกจะเป็นข่าวดังปรากฏอยู่ทางหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ
และแม้ว่าในตอนนี้ศาลฯมีคำสั่งให้ยกคำร้องในทุกประเด็นแต่นายไชยวัฒณ์ก็ยังไม่ยุติความพยายามที่จะเอาผิดกับพรรคพลังประชาชนให้ได้และบอกว่าจะไปปรึกษากับทนายความในประเด็นนอมินี เพื่อให้ได้ข้อยุติว่าจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายได้อย่างไรอีก อีกทั้งนายไชยวัฒน์อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้ยื่นฟ้อง กกต.ทั้งคณะด้วย
ด้วยเหตุนี้จากพฤติกรรม คำพูดและการแสดงออกของคุณอภิสิทธิ์และแกนนำพรรคปชป.ในช่วงเวลาที่ผ่านมารวมไปถึงพฤติกรรมของนายไชยวัฒณ์ มันจึงเป็นการสนับสนุนคำพูดที่ว่าฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้งนอกจากจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ไม่เคารพกติกาแล้ว ยังหาหนทางที่จะใช้กฏหมายมาอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยอีกต่างหาก จึงมีข่าวเรื่องผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ข่าวยุบ-ไม่ยุบพรรคออกมามากมาย เพราะสิ่งที่ประเทศไทยขาดในตอนนี้ก็คือวัฒนธรรมของการเคารพมติเสียงข้างมากและความมีสปิริตของผู้พ่ายแพ้
มาถึงตรงนี้ด้วย พลังของประชาชน จึงส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์นอกจากจะพ่ายแพ้ทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง พ่ายแพ้ทั้งในเรื่องของอำนาจและการต่อรองเพราะพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดย่อมมีอำนาจการต่อรองและดึงดูดพรรคเล็กได้มากกว่าอยู่แล้วขนาดที่ทำให้ "เติ้ง สะพานหัก" ต้องยอมวางทิ้ง สัตยาบัน ลงข้างตัว ยังทำให้พรรคประชาธิปัตย์สูญเสียเสียคะแนนนิยมหมดโอกาสที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์กลับมาเป็นต่อ นั่นเป็นเพราะตลอดระยะเวลากว่า 15 เดือนในสถานการณ์รัฐประหารที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ล้มเหลวในบทบาทที่แสดงตนว่าเป็นผู้ส่งเสริมประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
จากที่เคยปรามาสไว้ว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกโดดเดี่ยว กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายถูกลอยแพไปเสียนี่
แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 08:39:12
แก้ไขเมื่อ 21 ม.ค. 51 08:03:21
จากคุณ :
เอื้องอัยราวัณ
- [
21 ม.ค. 51 07:59:58
A:71.7.214.219 X:
]