ความคิดเห็นที่ 1 จากที่กล่าวมาข้างบนจึงเป็นที่มาและที่ไปของคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมิได้ใช้มุมมองทางด้านทัศนคติที่เอนเอียงเต็มไปด้วยอคติของนักวิชากาผู้นี้ ซึ่งมีภูมิหลังในทางลบกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะที่พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไร่กัญชา ซึ่งเขียนโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ เคยยกความคิดเห็นของ เมธาวุฒิ พีรพรวิทูร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาใส่ไว้ในบทความตนเอง ซึ่งความคิดเห็นที่ว่ามาจากเวทีอภิปรายทางวิชาการเรื่อง "ประชานิยมกับอนาคตทางการเมืองไทย" นักวิชากาที่ร่วมอภิปรายมีอาทิ นายเมธาวุฒิ พีรพรวิทูร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายชัยยนต์ ประดิษฐศิลป์ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และนายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ โดยการอภิปรายครั้งนี้นักวิชาการต่างเรียกระบบการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า "ระบอบทักษิณ" ตลอดการอภิปราย โดยเฉพาะนายเมธาวุฒิกล่าวว่า นโยบายเอื้ออาทรต่างๆ ของรัฐบาลทักษิณจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความล่มสลาย ที่ผ่านมาในทุกประเทศไม่มีประเทศไหนที่เจริญได้ด้วยนโยบายเอื้ออาทรของรัฐบาล ความจริงที่เกิดขึ้นจากผลพวงประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้เกษตรกร โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้เริ่มสะท้อนให้เห็นแล้วว่านโยบายประชานิยมจะไปไม่รอด เพราะคนระดับรากหญ้ากู้เงินกองทุนหมู่บ้านก็เอาไปซื้อโทรศัพท์มือถือระบบเอไอเอส ซึ่งเป็นของคนในรัฐบาล นโยบายเหล่านี้ทำให้คนระดับชาวบ้านติดกับดักของทักษิณ ที่น่าห่วงคือต่อไปคนไทยจะเกิดการติดใจความช่วยเหลือแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนไม่คิดจะพึ่งพิงตนเอง "ผมยืนยันว่าไทยรักไทยจะอยู่ได้แค่สองสมัย คือหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกครั้งเดียวก็จะไม่มีอีกแล้วระบอบทักษิณ สาเหตุหลักเกิดจากโครงการเอื้ออาทรต่างๆ จะเริ่มเห็นผลแล้วว่ามีแต่สร้างปัญหาและไม่ได้สร้างการเติบโตที่แท้จริง โดยเฉพาะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ท้ายสุดระบอบทักษิณจะมีจุดจบแบบแชร์แม่ชม้อย" นายเมธาวุฒิกล่าวว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะบริหารประเทศแบบบริษัทในวันที่เข้ารับตำแหน่ง คิดอย่างนี้ก็ผิดแล้ว ผู้นำประเทศคิดแบบนี้ เอาประเทศมาเป็นบริษัทส่วนตัว ที่ผ่านมาจึงบริหารประเทศไปพร้อมกับการบริหารธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การทำโครงการนักบินเอื้ออาทร พ.ต.ท.ทักษิณไปลงทุนกับมาเลเซียทำสายการบิน แล้วให้กระทรวงคมนาคมทำโครงการฝึกนักบินเพราะรู้ว่ากว่าจะฝึกนักบินได้ต้องใช้งบอย่างน้อย 2 ล้านบาท แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมใช้เงินตัวเอง กลับใช้เงินประเทศ พอฝึกนักบินได้เสร็จก็มาอยู่สายการบินของทักษิณเพื่อมาแข่งกับการบินไทยที่เป็นของรัฐ "นายกฯ คนนี้คิดเร็วใจเร็ว ทำงานมุ่งอยู่สองอย่างคือตัวเลขจีดีพีกับตัวเลขขึ้นลงในตลาดหุ้น แต่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา ดูแค่ภาคใต้อย่างเดียวก็พอ ระบอบทักษิณไม่มีทางแก้ปัญหาภาคใต้ได้ เพราะใช้แต่อำนาจแต่ละเลยมิติวัฒนธรรม ไม่ต้องดูอื่นไกลนายกฯ ทักษิณเวลาพบกับจุฬาราชมนตรีที่เป็นผู้นำในศาสนาอิสลาม และมีอาวุโสกว่าแต่นายกฯ ทักษิณกลับนั่งไขว่ห้างคุยกับจุฬาราชมนตรี แค่เห็นก็รู้แล้วแบบนี้แก้ภาคใต้ไม่สำเร็จ" นายเมธาวุฒิกล่าว อาจารย์รัฐศาสตร์ผู้นี้กล่าวว่า ระบอบทักษิณมุ่งเน้นแต่ความรวดเร็วและการใช้อำนาจวัดผลความสำเร็จ โดยต่อก๊อกตัดคนกลางในทุกระบบออกไปหมด เช่น การตัดระบบราชการออกไปจากประเทศ เห็นได้จากการตั้งตู้ไปรษณีย์ที่หน้าบ้านพิษณุโลกโดยไม่ให้ข้าราชการมาร่วมแก้ปัญหาด้วย นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องเงิน การบริหารของทักษิณคือการบริหารแบบแชร์แม่ชม้อยที่ต้องคอยทำไร่เลื่อนลอยไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างกระแสคอยกลบข่าวไม่ดีของรัฐบาล สุดท้ายระบอบทักษิณก็คือฟองสบู่ที่หาความยั่งยืนไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเชื่อได้ว่าอนาคตประเทศไทยจะตรงกับคำทำนายที่ว่าผลพวงจากประชานิยมจะทำให้ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบสอง แต่ครั้งนี้จะรุนแรงขึ้นไปอีก เพราะจะลงไปถึงระดับรากหญ้าที่ชาวบ้านจะไม่มีแม้แต่เงินซื้อนมให้ลูกและรุนแรงกว่าที่อาร์เจนตินา จากเวทีอภิปรายทางวิชาการในอดีต และจากบทความชี้เลือกนายกรัฐมนตรี ดูให้ดีตั้งแต่ 'หัวจรดเท้า' ล่าสุด ทำให้เราสามารถมองเห็นว่านักวิชากาผู้นี้กำลังมีปัญหาทางด้านวุฒิภาวะที่ไม่สมดุลกับคุณวุฒิและวัยวุฒิที่ตนเองมีอยู่ มีการใช้สมองซีกขวามากกว่าการใช้สมองซีกซ้าย เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เกี่ยวกับเหตุผล ใช้การอุปมาอุปมัยทางสรีระ (นักวิชากาจรดปลายเท้า) มาจินตนาการ พยายามเชื่อมต่อหลายมุมให้เห็นเป็นภาพ โดยใช้อัตวิสัย (อารมณ์ ค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ และความรู้สึกของผู้ใช้ในการวัดและประเมิน) นักวิชากาพวกนี้จะเก่งในการวิจารณ์คนอื่น แต่ไม่เคยพิจารณาตนเอง ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้า มีสภาพเป็นเช่นไร เป็นมือเป็นเท้าให้อำมาตยาธิปไตย ยอมก้มหัวให้เผด็จการทหารกดขี่ สายตาเห็นชนชั้นศักดินาอยู่ยั้งยืนยงเพราะตนเองเป็นเพียงข้าทาสระบบขุนนางศักดินา ดังตัวอย่างที่นักวิชากายกยอ 3 นายกรัฐมตรีในอดีต จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และนายอานันท์ ปันยารชุน ว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการประเมินว่ามีผลงานสูงและเป็นคนฟังเก่ง ย่อมชี้ให้เห็นเป็นประจักษ์ชัดแจ้งแก่สายตาว่า ตนเองเป็นได้แค่กาฝากที่ฝังตัวอยู่ในสถาบัน อาศัยคราบนักวิชากาเป็นร่างทรงโจมตีฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออำมาตยาธิปไตย ทำให้พวกอื่นที่ไม่ใช่พวกตนดูเลว แล้วยกยอปอปั้นฝ่ายเดียวกันให้ดูดี ที่เขียนมานี้ตั้งใจให้แนวทางหรือเกณฑ์ในการพิจารณาตนเองในการออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา เสียงส่วนน้อยควรเคารพมติมวลมหาประชาชนที่เค้าเลือกตัวแทนเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภาที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ต้องการเช่นไร อย่าถืออภิสิทธิ์ทางชนชั้นและความมีต้นทุนสูงในคราบกาฝากประชาธิปไตยออกมาชี้นำให้สังคมเกิดความสับสนและขัดแย้งแบ่งแยก จนไม่สามารถฟื้นฟูความสมานฉันท์ปรองดองเกิดความสงบสุขขึ้นได้ในแผ่นดิน ประเทศชาติศักดิ์สิทธิ์และสำคัญเกินกว่าขี้ปากของนักวิชากาสันดานกา ผลการเลือกตั้งทั่วประเทศและการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาไม่เพียงเป็นการตบหน้าสั่งสอนพรรคการเมืองที่รับใช้เผด็จการทหาร กลุ่มอำนาจเก่าอำมาตยาธิปไตย และนักวิชากาสันดานเผด็จการ แต่น่าจะเป็นการให้คำตอบที่ดีที่สุดของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดของประเทศว่า ต้องการใครหรือพรรคใดให้เข้ามาบริหารปกครองประเทศด้วยตนเอง มิใช่ให้ชนชั้นหนึ่งชนชั้นใดมีอภิสิทธิ์มาทำการชี้นำ บงการ ตีกรอบ หรือกำหนดกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจ ที่มา ราชดำเนิน พันทิป แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 02:41:11 จากคุณ : นักกวนเมือง - [ 27 ม.ค. 51 01:58:36 A:58.8.204.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 นายมีชัย เคยกล่าวว่าถึงกรณีสนช.จะยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของคุณสมัคร สุนทรเวชที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคุณยงยุทธที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา ที่มีคนทักท้วงว่า ให้เคลียร์ปัญหาให้เสร็จสิ้นก่อน เพื่อความสง่างามว่า "กรณีที่มีสนช.กลุ่มหนึ่งเตรียมรวบรวมรายชื่อเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้เนื่องจากต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกในคดีหมิ่นประมาท ว่า ถ้าจะตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมัคร ในฐานะเป็น ส.ส. สนช.ไม่สามารถทำได้เพราะเรื่องของสภาไหนก็ต้องเป็นของสภานั้น จะไปก้าวล่วงข้ามสภาไม่ได้ ส่วนถ้าจะตรวจสอบในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ตอนนี้นายสมัครก็ ยังไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วจะไปตรวจสอบอะไร ทั้งนี้ สนช.ไม่มีหน้าที่ดังกล่าวเพราะรัฐธรรมนูญให้สนช.ทำหน้าที่ชั่วคราวเพื่อให้รัฐสภาครบองค์ประกอบ ขณะที่การแต่งตั้ง ถอดถอน ยังทำไม่ได้ ดังนั้น ตอนนี้สนช.จะทำอะไรต้องระวัง" นายมีชัยได้กล่าวต่อไปถึงความสง่างามในด้านคุณธรรมและจริยธรรมในการเข้าดำรงตำแหน่งของทั้งสองบุคคลว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงเอามาใช้ไม่ได้ “เรื่องจะสง่างามหรือไม่ เป็นเรื่องที่คนคิดกันเอง  และที่มีคนตั้งข้อสังเกตถึงคุณสมบัติของประธานสภาฯ ว่าจะต้องประคองการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้ได้นั้น  ผมเห็นว่าคุณสมบัติอันเดียวที่ต้องมีคือ สมาชิกส่วนใหญ่เลือก  เมื่อเลือกแล้วก็จะไปว่าอะไรไม่ได้  ส่วนที่มีคนคาดว่า  การทำงานในสภาฯ ต่อไปจะแบ่งขั้วรุนแรง  ผมคิดว่ายังพูดอะไรไม่ได้  ต้องดูการทำงาน" เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาฉันใด การเลือกนายกรัฐมนตรีก็ต้องว่ากันไปตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉันนั้น จากคุณ : นักกวนเมือง - [ 27 ม.ค. 51 02:19:00 A:58.8.204.175 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 มิน่า..ถึงเลือก พล.อ.สุรยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี?? จากคุณ : พาชื่น - [ 27 ม.ค. 51 08:27:40 A:124.120.89.195 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าจะเป็นใครก็ตามที่มีความเห็นเรื่องอย่างนี้ผมว่าให้ไปอ่านกฎหมายที่ยกมาแล้วอ่านให้ออกด้วยไม่ใช่จับประเด็นเพียงนิดเดียวเอามาอ้าง ประเด็นของคุณสมัครที่พูดถึงนั้นอยู่ที่เรื่องจำคุกโดยกฎหมายเขาบอกว่าเคยต้องโทจำคุกและพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปี อ่านเท่านี้มันก็คือมีการจำคุกจริงๆแล้วเท่านั้น  พยายามอ่านให้มันสมกับเป็นผู้มีความรู้น่าจะมีประโยชน์กว่านะครับ จากคุณ : คนพิจิตร - [ 27 ม.ค. 51 08:53:36 A:125.24.99.171 X: ]