ความคิดเห็นที่ 16
ความชอบธรรมในการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา คอลัมน์ เดินคนละฟาก โดย กมล กมลตระกูล ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3899 (3099)
หลังจากที่ประเทศไทยประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา รัฐบาลสหรัฐก็ประกาศจัดอันดับประเทศไทย เป็นประเทศถูกจับตามองทันที โดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เหนือมนุษยธรรมของบริษัทยาและรัฐบาลสหรัฐ
อันที่จริงประเทศไทยมีความชอบธรรมและได้ดำเนินการตามปฏิญญาโดฮาของที่ประชุมองค์การการค้าโลกทุกประการ
ในปฏิญญาโดฮาระบุว่า "ข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลกไม่ห้าม และไม่ควรกีดกันสมาชิกในการนำมาตรการมาใช้ป้องกันความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชน สมาชิกสามารถและควรตีความและนำไปปฏิบัติเพื่อปกป้องสุขภาพของคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงยาได้อย่างสมบูรณ์"
ในข้อที่ 5 ได้ขยายความอธิบายไว้อย่างไม่มีที่สงสัยดังนี้ "สมาชิกขององค์การการค้าโลกมีสิทธิประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (compulsory licenses) และมีเสรีภาพในการพิจารณาถึงความจำเป็นในการประกาศใช้สิทธินี้ และไม่ถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงเรื่องการปฏิบัติเหมือนคนในชาติ (national treatment) และเรื่องการปฏิบัติต่อทุกชาติเสมอกัน (most favour nation-MFN)"
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่กระทรวงสาธารณสุขในยุคของ คุณหมอมงคล ณ สงขลา เป็นรัฐมนตรี และ คุณหมอวิชัย โชควิวัฒน เป็นอธิบดีที่กล้าประกาศความเป็นไทโดยการประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" เพื่อปกป้องคุ้มครองชีวิตผู้ป่วยโรคเอดส์
ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขในยุคก่อนๆ กลับทำตรงกันข้ามคือไปประกาศตัวอยู่ใต้ระบอบสิทธิบัตรยาล่วงหน้าตั้ง 10 ปี ก่อนจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งยังไม่เคยมีการประเมินตัวเลขว่ามีผู้ป่วยที่ไม่มีเงินซื้อยาราคาแพงตายไปแล้วกี่ร้อยกี่พันคนในช่วง 10 ปีนั้น
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่ประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ว่าไปแล้วประเทศไทยประกาศใช้สิทธินี้ช้าไปด้วยซ้ำ ประเทศแอฟริกาใต้ได้ประกาศใช้สิทธินี้ไปตั้งแต่ปี 2003 เช่น เดียวกับอีกหลายๆ ประเทศ เช่น แซมเบีย ซิมบับเว กานา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสวาซิแลนด์
สหรัฐอเมริกาก็ประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" ในภายหลังเกิดเหตุการณ์เครื่องบินวิ่งถล่มตึกเวิลด์เทรดฯ และมีการส่งสารแอนแทรกซ์ไปทางไปรษณีย์ไปยังหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง อเมริกามียาป้องกันไม่พอเพียง จึงประกาศใช้สิทธินี้ในการผลิตยา Ciprofloxacine ซึ่งเจ้าของสิทธิบัตร คือ บริษัท Bayer ของประเทศเยอรมนี
การประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" เป็นเรื่องที่บริษัทยากลัวที่สุด เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นไฟลามทุ่ง อันที่จริงก็เกิดขึ้นจริง คือ บราซิลได้ประกาศเอาอย่างไทยทันที
การประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" เป็นสิทธิตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก ซึ่งยอมรับหลักการสากลว่า ชีวิตผู้ป่วยสำคัญกว่ากำไร แต่ไม่ค่อยจะมีประเทศไหนกล้าใช้สิทธินี้ เพราะเกรงว่าการจะพาลหาเหตุมากลั่นแกล้งทางการค้า เช่น การตัดจีเอสพี หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีมากีดกันการค้า (ความปลอดภัยของสินค้าหรืออาหาร ฯลฯ)
หลายประเทศก็ไม่ยอมจำนนอย่างง่ายๆ เพราะคิดว่าชีวิตของประชาชนของชาติตนมีความสำคัญเป็นอันดับแรก เรื่องค่าวิจัยผลิตยาใหม่เป็นเพียงข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะว่ารัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น อินเดีย จีน เวียดนาม และบราซิล จึงผลิตยาเอง หรือนำเข้ายาจากประเทศที่ ประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" ยาในประเทศเหล่านี้จึงถูกกว่าในไทยหลายเท่าตัว
อันที่จริงประเทศไทยก็มีอำนาจต่อรองแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง คือ เมื่อถูกขึ้นบัญชี เป็นประเทศที่ถูกจับตามมองเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นมาตรการในการกีดกันการค้ารูปแบบหนึ่งที่ขัดกับข้อตกลงขององค์การการค้าโลก
ประเทศไทยก็สามารถประกาศความเป็นไทอย่างสมบูรณ์ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย โดยประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" ทุกตัวยาให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ซึ่งไม่ขัดกับข้อตกลงขององค์การการค้าโลก เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ มีหนี้สินครัวเรือนละกว่าแสนบาท คือยังเป็นประเทศจนอยู่ การประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" จึงไม่ผิดกติกาขององค์การการค้าโลก
นอกจากนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก ดังนั้นการใช้มาตรการตาต่อตา ฟันต่อฟันกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐหรือประเทศอื่นที่ใช้นโยบายอันธพาลกับไทย ก็จะได้กำไรมากกว่าขาดทุน
การถูกกีดกันการค้าก็จะผลักดันให้ไทยคิดหาทางออกในการหาตลาดใหม่ๆ และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจพึ่งตนเองแบบพอเพียงให้เกิดเป็นจริง เช่น หันมาผลิตยาส่งออกแบบอินเดีย มิใช่ชูเป็นคำขวัญอย่างที่ทำกันอยู่ในขณะนี้ สรุปคือ เศรษฐกิจไม่พังอย่างแน่นอน
คนไทยทั้งประเทศจึงต้องสำแดงพลังสนับสนุนการประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" ของหมอมงคล ณ สงขลา อย่างเต็มที่ เพื่อแสดงให้บริษัทยาเห็นพลังของคนไทยว่ายืนอยู่ข้างหลังคุณหมออย่างมีเอกภาพ และพร้อมจะออกมาสนับสนุนหมอมงคล ณ สงขลา ทุกรูปแบบ
อย่าปล่อยให้คุณหมอโดดเดี่ยวถูกทิ้งให้ออกโรงสู้คนเดียว
ครับ ... ประเทศไทยไม่ใช่เมืองขึ้นของใคร ต้องให้ความสำคัญกับสิทธิและชีวิตของผู้ป่วยเป็นอันดับแรก เพราะว่ายาถือเป็นสินค้าเชิงมนุษยธรรม มีความสำคัญต่อชีวิตจึงต้องแยกเงื่อนไขต่างๆ ออกจากสินค้าทั่วไป
สิทธิของมนุษย์ที่ควรจะมีชีวิตอยู่ย่อมเหนือกว่าผลประโยชน์ทางการค้า ดังนั้น การดำเนินการใช้สิทธิ โดยรัฐของกระทรวงสาธารณสุขต่อยาที่มีสิทธิบัตร จึงเป็นการดำเนินการที่ทั้งถูกกฎหมายและถูกหลักมนุษยธรรม รวมทั้งเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ที่จะต้องจัดหายาจำเป็นตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้แก่คนไทยทุกคนที่ใช้สิทธิ ตามนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วย
การยอมจำนนต่อบริษัทยาและต่อสหรัฐประเทศจะเสียหายในระยะยาวและต้องเป็นทาสติดยา (ราคาแพง) ไปตลอดกาลมากกว่า การเสียน้อยเสียยากด้านส่งออกสินค้าบางตัว ซึ่งคนส่วนใหญ่ของชาติไม่ถูกกระทบมาก
การรณรงค์ตอบโต้
รัฐบาลไม่ควรบ้าจี้หรือยอมเสียเงินไปจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ให้สูญเงินเปล่า แต่ควรจะรู้จักใช้คนไทยที่รักชาติในต่างประเทศ โดยการเรียกร้องให้รวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มกดดันทางการเมือง (pressure groups) เพราะว่าปัจจุบันคนไทย โดยเฉพาะในอเมริกาเป็นคนไทยรุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 ซึ่งถือสัญชาติอเมริกัน และมีสิทธิลงคะแนนเสียง ดังนั้นการรวมตัวกันและเข้าหา ส.ส. หรือ ส.ว. ประจำรัฐของตน เพื่อขอให้ปกป้องไม่ให้ผู้แทนการค้าซึ่งขึ้นต่อรัฐสภากลั่นแกล้ง วิธีการนี้จะได้ผลกว่าการจ้างล็อบบี้ยิสต์ และใช้เงินน้อยกว่ามาก เพราะว่า ส.ส. และ ส.ว. อเมริกันคำนึงถึงเสียงสนับสนุนจากผู้ลงคะแนนเสียงมาก และถ้ารวบรวมเงินบริจาคให้ ส.ส. และ ส.ว. เพื่อใช้หาเสียงบ้างก็จะยิ่งได้ผลดี
รัฐบาลไต้หวันและเกาหลีใต้ล้วนใช้วิธีนี้มาก่อน ทูตไทยและกงสุลไทยน่าจะรู้ดีและเป็นตัวประสานที่ดีได้
นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งตัวแทน หรือนักวิชาการออกเดินสายนอกประเทศเพื่อประสานกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ หรือองค์กรเอ็นจีโอในประเทศอื่นๆ ให้สนับสนุน และเปิดโปงถึงความไม่ชอบธรรมของบริษัทยา และรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตน ว่าถ้าหากว่าถูกหลายๆ ประเทศ หรือหลายๆ องค์กรต่อต้าน ดังนั้นจึงได้ไม่คุ้มเสีย
บทเรียนจากนานาประเทศ
บราซิล
ประเทศบราซิลได้ออกกฎหมายสิทธิบัตรโดยคำนึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ซึ่งต่างจาก พ.ร.บ.สิทธิบัตรของไทย ราวฟ้ากับดิน โดย พ.ร.บ.ของไทยมุ่งปกป้องสิทธิ และผลประโยชน์ของบริษัทข้ามชาติ แต่กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของบราซิล (1966) กลับมุ่งปกป้องคน และผลประโยชน์ของชาวบราซิล โดยระบุว่า "รัฐบาลบราซิลไม่ยอมรับสิทธิบัตรยาของต่างชาติหากว่า บริษัทเหล่านั้นไม่ตั้งโรงงานผลิตยานั้น ในประเทศบราซิล หรือออกใบอนุญาตให้บริษัทยาของบราซิลผลิตแทน"
"กฎหมายสิทธิบัตรของบราซิล กำหนดให้รัฐบาลมีสิทธิผลิตยาที่มีสิทธิบัตรก่อนกฎหมายบังคับใช้ (1966) ได้ทุกตัวยาจากทุกประเทศ" ประเทศไทยควรจะเอาเยี่ยงอย่างโดยการเสนอแก้กฎหมายสิทธิบัตรของไทยให้เหมือนของบราซิล เกาหลี ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งร่ำรวยกว่าประเทศไทยเห็นความสำคัญของสิทธิเข้าถึงยาของผู้ป่วย ได้แก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ ให้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2005 โดยแก้ให้รัฐบาลต้องอนุญาต ให้มีการผลิตยาโดยประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" ภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือนเพื่อใช้ในประเทศ และสามารถผลิตเพื่อการค้าและการส่งออกอีกด้วย
สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็แก้กฎหมายในทำนองเดียวกับประเทศเกาหลีใต้ เพื่อจะได้เป็นผู้นำในการส่งออกยา ให้กับประเทศด้อยพัฒนาที่ประกาศใช้ "สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" แต่ว่ายังผลิตเองไม่ได้ แต่ต้องนำเข้าจากประเทศอื่น
โดยสวิตเซอร์แลนด์ไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตร หรือจ่ายน้อยลง
อินเดีย
กฎหมายสิทธิบัตรของอินเดียอนุญาตให้ผลิตยาที่มีสิทธิบัตรของต่างประเทศได้อย่างถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 1970 (2513) โดยการแปลงหรือถอดสูตรเคมี (reverse drug engineering) ซึ่งทำให้ประเทศอินเดียกลายเป็นประเทศส่งออกยาที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของโลก โดยการส่งออกยาไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนทั่วโลก ในแต่ละปีช่วยชีวิตผู้ป่วยได้หลายร้อยล้านคน และนำรายได้เข้าประเทศมหาศาล
ประเทศไทยก็ควรเอาเยี่ยงอย่างอินเดียเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมยาภายในประเทศ เพื่อนำรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศ จะได้ไม่ต้องกลัวการตัดจีเอสพีอีกต่อไป เพราะปัจจุบันเราพึ่งแต่สินค้าส่งออกไม่กี่ตัว ทำให้ถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย
ยาที่ประเทศไทยพึ่งประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ชื่อ antiretroviral ซึ่งราคาประมาณ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (350,000 บาท) ในประเทศตะวันตก แต่อินเดียผลิตขายเมื่อปีที่แล้ว ในราคาเพียง 200 ดอลลาร์สหรัฐ (7,000 บาท) องค์การหมอไร้พรมแดน ก็ซื้อยาจากอินเดียไปช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ใน 27 ประเทศทั่วโลก
ในเดือนธันวาคม 2004 อินเดียยอมรับที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลกอย่างมีเงื่อนไข โดยยอมรับในเรื่องสิทธิบัตรยาเฉพาะที่ยื่นขอจดและผลิตในอินเดียนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นไปเท่านั้น ส่วนยาที่มีสิทธิบัตรก็ต้องเป็นยาที่มีการยื่นจดสิทธิบัตรในประเทศอื่นในภายหลังปี 1995 (2538) เท่านั้น
เป็นเรื่องเศร้าที่ประเทศอื่นๆ ล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์และชีวิตของคนในชาติ แต่ประเทศไทยเรามีแต่คนที่พร้อมจะตาย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทข้ามชาติ เช่น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในหมวด 5 เรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่ 9 มาตรา 85 (2) ส่งเสริมการประดิษฐ์หรือการค้นคิดสิ่งใหม่ รักษาและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
เรื่องการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศอื่นๆ ล้วนกำหนดอยู่ในกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ตามสถานการณ์ความจำเป็น และเงื่อนไขของภาวะเศรษฐกิจและสังคม แต่การมากำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้เป็นเรื่องถาวร แก้ไขไม่ได้ นอกจากฉีกรัฐธรรมนูญ ดังนั้นกรณีการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา อาจจะตีความได้ว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ ดังนั้นมาตรา 85 (2) ควรจะต้องตัดออกทันที เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลายเป็นรัฐธรรมนูญขายชาติ
จากคุณ :
my beloved sunshine
- [
9 ก.พ. 51 20:47:14
A:222.123.183.144 X:
]
|
|
|