ไปโพสข้อความนี้ในกระทู้คุณเอื้องอัยราวัณ
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6319165/P6319165.html
คิดไปคิดมาตั้งกระทู้ใหม่เลยดีกว่า
ขออนุญาตทบทวนในสิ่งที่หลายคนรู้แล้วอีกรอบ
หากประเทศไทยตัดสินใจ "บังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา" หรือ CL "ซีแอล (Compulsory licensing)" ก็จะได้ประโยชน์ต่างๆดังนี้คือ
ข้อดี
1. ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง
2. โอกาสในการพัฒนาทำประดิษฐ์คิดค้นด้านยาเพิ่ม
3. ลดการผูกขาดสินค้าในตลาด
ประเทศนี้ที่นำร่องไทยประกาศตัวเองใช้ CL ไปล่วงหน้าแล้วมีประมาณ 10 ประเทศ ขอ
ยกตัวอย่างรายชื่อให้ทราบพอสังเขปได้แก่ บราซิล อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น
ในประเทศอินเดียซึ่งทราบกันดีว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นลำดับๆต้นๆของโลก หลังจากประกาศเป็นเป็นเทศ CL แล้วทำให้อินเดียประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีไปได้ 30 50 % (คิดเป็นมูลค่าระดับหมื่นล้านเหรียญ $)
*** หากประเทศไทยตัดสินใจประกาศใช้ CL จะทำให้ประหยัดเงินด้านยานำเข้าไปได้ประมาณ
2, 000 3,000 ล้านบาท/ปี ***
ข้อมูลตัวเลขอ้างอิง : ในพารากราฟ " ชีวิตในอุ้งมือเอฟทีเอ ไทย-สหรัฐ"http://www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=a1_02022007_05
เห็นได้ดังนี้การที่ไทยจะกระโดดเข้าร่วมเป็นประเทศ CL เลยคงเป็นการกระทำที่ดูตื้นเขินมากไป
เพราะประเทศไทยไม่ใช่อินเดีย ไม่ใช่บราซิล เพราะไทยก็มีปัจจัยข้อจำกัดในหลายประการแตกต่างไป อีกทั้งประเด็นค่ารักษาพยาบาลจากการนำเข้ายาจากต่างประเทศจริงๆแล้วเป็นสัดส่วนมากมายคุ้มค่ากับการลงทุนทำหรือไม่ ถ้าไปลดการซื้องบอาวุธลับจะทำได้ง่ายและลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าหรือป่าว คิดได้แล้วจึงค่อยน่าเสี่ยงกับการลงทุนละเมิดสิทธิทางปัญญาของประเทศอื่นเค้า อย่าทำนิสัยเยี่ยงโจร ทุกวันนี้เรายังต้องอยู่ในสังคมโลก ไม่ใช่ 1 ปีที่ผ่านมาโดนปล้นประชาธิปไตยแล้วก็เลยติดนิสัยโจร อยากได้อะไรก็ไปปล้นเค้ามา โดยไม่นึกถึงด้านจริยธรรมกฎกติกา ถ้าทุกประเทศในโลกเห็นข้อดีอย่างนี้แล้วก็คงประกาศตัวเองทำ CL กันหมด เราจะไปเลียนแบบทำตามประเทศอินเดียทุกอย่างคงไม่ได้ เราคงต้องมาดูผลกระทบให้รอบมิติ นอกจากนี้ความเป็นไปได้กับศักยภาพของไทยมีพอหรือไม่ รวมทั้งผลกระทบที่จะตามมาหลังจากประกาศใช้ CL ต้องนี้ไทยต้องคิดให้มาก ถ่วงผลดี ผลเสียว่าอย่างไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ข้อเสียและผลกระทบหากไทยประกาศใช้ CL
1.การตอบโต้จากประเทศผู้ผลิตยาต้นแบบผ่านกลไกทาง WTO โดยการตัดสิทธิ GSP ของสินค้าหลายประเภทของไทย
(ตรงนี้ต้องศึกษาข้อมูลทางสถิติเปรียบเทียบมูลค่าความเสียหากับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการประหยัดการซื้อยานำเข้าประมาณปีละ 2,000 4,000 ล้านบาท ว่าอะไรมากกว่ากัน)
อ้างอิง : http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=2474&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai
2.ประเทศไทยมีความพร้อมและศักยภาพมากแค่ไหนในการพัฒนา + ผลิตยา ???
ปัจจัยแรก : วัตถุดิบการผลิตยา ( Raw material ) ข้อนี้ที่เราแตกต่างจากอินเดียและบราซิล เพราะทั้งสองประเทศมีบริษัทผลิตวัตถุดิบภายในประเทศหลายบริษัท หากไทยจะผลิตยาแต่ยังไม่พัฒนาบริษัทผลิตวัตถุดิบแล้วและยังพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเราก็จะไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ สรุปแล้วราคาสุทธิจะประหยัดได้ตลอดไปหรือไม่ แล้วถ้าเกิดวัตถุดิบต้องนำเข้าจากประเทศผู้เป็นต้นแบบ เค้าไม่ขายให้เราจะทำอะไรต่อไปได้ (นี่เลยทำให้เราสามารถผลิตรายการยาได้จำกัดน้อยลงไปอีก เพราะผลิตได้เฉพาะรายการที่สามารถหาวัตถุดิบได้ แล้วถ้าเกิดในอนาคตยาเอดส์สูตรใหม่ ตัววัตถุดิบต้องนำเข้าจากอเมริกา จะทำอย่างไรฝากให้คิด)
ปัจจัยที่สอง : บุคลากร เครื่องมือ และเทคโนโลยี เรามีความพร้อมทันสมัย ??? มีระบบการตรวจสอบให้ได้มาตรฐานของอุปกรณ์เครื่องมือในการผลิตให้มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือได้รึยัง ?? ยาเป็นปัจจัย 4 ไม่ใช่สักแต่ผลิตแล้วดูที่ปริมาณอย่างเดียว ถ้ากินแล้วไม่มีผลในการรักษาต่อให้ผลิตได้มากมายหลายล้านกระสอบก็ไม่มีค่า ยาที่ผลิตได้ก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากเม็ดแป้ง อย่างที่ทราบกันดี โรงงานที่ได้มาตรฐานผลิตยาในประเทศไทยยังมีจำนวนน้อย แค่องค์การเภสัชกรรมแห่งเดียวกำลังการผลิตยังไม่เพียงพอ
(ขอบ่นองค์การฯหน่อย ตอนนี้หันไปผลิตยาเอดส์จนลืมและยกเลิกรายการยาบางตัวที่สำคัญและจำเป็นไปก็หลายรายการทำให้ผู้ป่วยหลายโรคได้รับผลกระทบ ประเทศไทยไม่ได้มีผู้ป่วยเอดส์ หรือ มะเร็งแค่สองโรคที่ไหน)
ยานั่นจะมองที่ราคาคือแค่ได้ยาถูกลงแล้วจะดี ตัวชี้วัดว่ายาดี ไม่ใช่ที่ราคายาถูก แต่ต้องดูว่ายาที่ได้มีประสิทธิภาพผลในการรักษามีมากแค่ไหน กินไปแล้ว หายจากโรคที่เป็นอยู่หรือเปล่า กินไปแล้วในระยะยาวปลอดภัยมีผลแทรกซ้อนหรือไม่ ไม่ใช่กินยาแก้โรคเอดส์ แต่อีก 3 ปีต่อมาตับพัง อะไรทำนองนั้น ??? หากยาที่ผลิตเองถูกลง แต่ระบบการผลิต และการควบคุมคุณภาพยังไม่ดีพอ ยารักษาโรค ก็จะกลายเป็นยาพิษดีๆนี่เอง จึงไม่แปลกใจที่ยาแต่ละตัวบริษัทต้นแบบต้องลงทุนค้นคว้าวิจัยด้วยต้นทุนที่สูงมาก หลังจากคิดค้นเสร็จก็ยังต้องทดลองในสัตว์ หรือบางครั้งในคนเพื่อดูผลข้างเคียงของยาที่จะเกิดในระยะยาวหลายปีกว่าจะประกาศออกใช้ขายในท้องตลาด จากข้อนี้จะเห็นได้ว่ายาเป็นสินค้าพิเศษ และมีความเสี่ยงสูง เราจึงเห็นยาในท้องตลาด ยาตัวเดียวกันแต่มีหลายเกรดหลายราคา นั่นเพราะผู้บริโภคบางส่วนให้ความสำคัญในปัจจัยผู้ผลิต คือยอมเสียเงินสูงกว่าซื้อยาจากต้นฉบับแทนที่จะใช้ยาเลียนแบบ ถามว่าหาไทยประกาศ CL ทำยาเลียนแบบแล้ว ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนนึงที่ยอมเสียเงินซื้อยาต้นฉบับอยู่ดี
3. การตอบโต้โดยตรงจากบริษัทยาต้นแบบ
3.1 ความสามารถของไทยในการรับการตอบโต้โดยตรงจากบริษัทยาต้นแบบ ในปัจจุบันไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าผลกระทบในหัวข้อนี้เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าได้รับแล้วไม่มากก็น้อย อย่าลืมว่าบริษัทยาต้นแบบส่วนใหญ่มีศักยภาพในการผลิตค้นคว้าวิจัยค่อนข้างสูง หากรายการยาตัวใดที่อยู่ในอำนาจควบคุมได้ของบริษัทยาดังกล่าวและดังบังเอิญเป็นบริษัทรายเดียวที่ผลิตยาตัวนี้ได้เกิดไม่ขายยาให้ไทย โดยอ้างโน้นนั่นนี่ ถามว่าเกิดเป็นยาสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจขึ้นมา ผู้ป่วยพวกนี้ไม่ต้องดิ้นรนไปซื้อยากินที่ ฮ่องกงหรือ แคนาดารึไร ซึ่งในปัจจุบันมีรายการยาหลายตัวที่บริษัทตัวแทนต้นแบบยกเลิกการนำเข้ามาขายในไทยก็หลายรายการโดนไม่เกี่ยวกับการถอนทะเบียน ซึ่งไม่แน่อาจเป็นการตอบโต้ทางอ้อมที่ค่อยคืบคลานทำที่ละเล็กละน้อยก็เป็นได้ ดังนั้นอย่ามองแค่ว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยเอดส์หรือมะเร็ง เยอะ เรายังมีโรคอีกหลายๆๆๆๆๆๆๆ โรคที่เรายังทำยาเองไม่ได้และต้องนำเข้า ชีวิตคน 1 คน มีค่าเท่ากัน ต้องคิดถึงผลกระทบในส่วนนี้ของผู้ป่วยโรคอื่นๆด้วย
3.2 บริษัทยาต้นแบบอาจใช้วิธีตอบโต้โดยการผลักภาระขึ้นราคารายการยารักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่ยาเอดส์หรือยามะเร็งเพื่อหักลบกลบหนี้กันไป เหมือนกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา ถ้าได้ราคายาเอดส์กะยามะเร็งราคาลดลงแต่ราคายาเบาหวาน ความดัน วัคซีนฯลฯ ราคาขึ้น หากบวกลบกลบหนี้ สรุปแล้วไทยลดค่าใช้จ่ายจริงหรือ ???
4.พิจารณาทางเลือกอืนที่ไม่ใช่การทำ CL
เรามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าและหลีกเลี่ยงความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากผลกระทบที่จะตามมาหลังการทำ CL หรือไม่ ??
ทางเลือกที่ 1 : สร้างดีกว่าซ่อม อย่างที่นโยบายสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่มักกล่าวเสมอว่า
สร้างดีกว่าซ่อม ขยายความคือ สุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บการป้องกันที่ต้นเหตุย่อมดีการรักษาที่ปลายเหตุ ฉันใดฉันนั้นการรณงค์ให้ประชาชนรู้จักดูแลสุขภาพตนเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคย่อมดีกว่ามารักษาเมื่อปรากฏอาการป่วยของโรคแล้ว ถึงลงทุนซ่อม (รักษา)อย่างไรก็ไม่เต็ม 100 %เหมือนเดิม เพียงแค่ชะลอและลดความสูญเสียลงเท่านั้น เมื่อจะมองในกรณีโรค 2 โรคคือเอดส์กับมะเร็งที่หัวข้อของไทยที่ตัดสินใจทำ CL ในรัฐบาลขิงแก่ที่ผ่านมา
ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลควรจะใช้เงินงบประมาณมาใช้ในการให้ความรู้เรื่องโรควิธีการติดต่อและการป้องกันก่อนเกิดโรค เช่นใช้ถุงยาง น่าจะวิธีประหยัดกว่า แต่ที่ทำมาไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเหตุใดก็ไปศึกษาเพิ่มเติม
ต้องยอมรับว่าโรคเอดส์เป็นโรคที่ปัจจุบันยังไม่ค้นพบวิธีการรักษาให้หายขาด ยาที่ใช้เพียงแค่ชะลออาการพัฒนาของโรคและยืดอายุของผู้ป่วยให้นานขึ้น ในปัจจุบันยารักษาเอดส์มีอยู่ไม่กี่สูตร แต่ละสูตรโดยปกติ ผู้ป่วยกินแล้วก็ต้องดื้อยา (ส่วนใหญ่ จะเกิดการดื้อยาภายใน 10 ปีก็จะดื้อยาต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่) หรือไม่ผู้ป่วยบางรายก็แพ้ยา ยังไงเราก็ต้องละเมิดสิทธิบัตรยาคนอื่นทุกๆ 10 ปีต่อไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
ทางเลือกที่ 2 : ขอเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยาต้นแบบ ก็บอกไป จน ด้อยด้านใดก็บอกเค้าไปตรงๆของซื้อถูกหน่อยได้ป่าว ไม่งั้นฉันเลียนแบบนะ ??
คาดว่าคงไม่ใจไม้สอยระกำไม่ลดให้หรอกนะ
ทางเลือกที่ 3 : ไม่ต้องทำเองซื้อจากประเทศที่ทำซีแอล เช่นอินเดีย ฯลฯ แต่ถ้าหากคิดว่าทำไมไม่ทำเองก็ไปอ่านข้อต้นๆข้างบนแล้วถ่วงวัดน้ำหนักได้เสียเอาเอง
5. ผลกระทบอื่นๆ
- ด้านจริยธรรม : มุมมองจากสายตาชาวโลก ก็คงไม่ต้องขยายความอะไรมาก CL ก็คือพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากโจรนั่นหล่ะ ถามว่าคุณยากจนไม่มีข้าวจะกิน แต่คุณมีสิทธิไปปล้นฆ่าชาวบ้านเพื่อเอาเงินคนอื่นมาซื้อข้าวกินถูกต้องไหม ? ทนๆกัดฟันเอาหน่อย อดทนรอ 20 ปี (ตาม FTA ) รอปลดล๊อคก็สามารถทำยาเลียนแบบได้เหมือนกัน ซึ่งทาง WTO ก็ไม่ได้ใจดำได้เปิดช่องทางให้ประเทศด้อยพัฒนาสามารถ ทำ CL ยาได้ เพราะมีเหตุจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุข หรือโรคระบาดร้ายแรงภายในประเทศ สามารถใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิเพื่อทำการผลิตยา หรือนำเข้าซ้อนในช่วงที่ยานั้นมีสิทธิบัตรคุ้มครองอยู่ในประเทศได้ เป็นมาตรการของรัฐบาลที่อนุญาตให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐหรือเอกชน) สามารถใช้สิทธิบัตรนั้นได้ โดยจ่ายค่าชดเชยตามสมควรให้แก่ผู้ทรงสิทธิ
อ้างอิง : พารากราฟสุดท้าย http://www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=a1_02022007_05
- ด้านสังคม : การเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้นไม่ใช่มีแต่ข้องดีอย่างเดียว อย่าลืมว่าอะไรที่ได้มาง่ายๆ ความตระหนักในคุณค่าชีวิตและการดูแลรักษาสุขภาพตนเองจะลดลง ต่อไปความคิด หรือความตระหนักในการป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคก็จะน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น
ในโรคเอดส์ ความสำคัญในการใช้ถุงยาง พฤติกรรมสำส่อนทางเพศ การแพร่เชื้อให้ผู้อื่นก็จะตระหนักลดลง เป็นต้น
-. การถูกละเมิดลิขสิทธิ์ของไทย จากประเทศอื่นก็จะเกิดตามมา อย่างพวกสินค้าเกษตร พันธ์ข้าว กล้วยไม้ ฯลฯ
- ปัญหาอื่นๆ เช่นปัญหาดื้อยา , พฤติกรรม shopping ยาของผู้ป่วย ได้ยามาถูกได้ง่ายก็ไม่ตระหนักในการกินยา ,มลภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จากโรงงานยา ฯลฯ อื่นๆ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ใครคิดออกเพิ่มเติมได้
สรุป : อ่านมาจนจบแล้ว มองให้รอบด้านลองถ่วงน้ำหนักดูผลได้ผลเสีย ปัจจัยของจำกัด ของประเทศไทย ทำ CL แล้วไทยได้มากว่าเสียจริงหรือ ????
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 20:21:16
แก้ไขเมื่อ 10 ก.พ. 51 20:16:35