Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ประวัติศาสตร์ตุลาชนฯเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า [วิสา คัญทัพ] มอง"สมัคร" ชำแหละ"สื่อ"

    คุณสมัคร สุนทรเวช ก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มองอย่างไร

        คือผมมองว่าอดีตเป็นเรื่องของอดีตนะครับ ปัจจุบันเป็นเรื่องของปัจจุบัน บางครั้งเนี่ยคนบางคนอาจจะรู้สึกผิดกับอดีตที่เคยทำลงไป อันนี้พูดแบบทั่วไป ไม่ได้พูดกรณีของท่านสมัครนะ บางคนทำในอดีตเคยคิดว่าตัวเองทำถูก แต่มาทำในปัจจุบันทำขัดแย้งกับในอดีตก็มี เพราะฉะนั้นจุดนี้เราต้องมองให้แยกกันว่าอดีตกับปัจจุบันไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะว่าเวลาเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน จุดยืนแนวคิดของเราเปลี่ยนไปตามสภาพ อาชีพเรา การงานเราเปลี่ยนไปตามสภาวะสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นถึงวันนี้ถ้าเกิดว่าเรามองอย่างนี้ จะเห็นว่าท่านสมัครเขากลับได้เอาประสบการณ์ทางการเมืองอันเชี่ยวกราก ซึ่งหาได้ยากในคนวัยอย่างนี้ในปัจจุบันนี้

        และสิ่งที่รู้สึกอยากจะชมเชยสปิริตเขาในวันที่เขาพูดออกมาคำหนึ่ง วันที่แถลงเป็นรัฐบาล วันที่รับพระราชโองการฯ เขาพูดออกมาคำหนึ่งว่า เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องสถาบันที่เอามาทำลายคน ทำลายคนทั้งครอบครัวและทั้งชีวิต เหมือนกับเอามาทำลายทักษิณ อันนี้มัน เป็นความรู้สึกลึกๆ ของคนเดือนตุลาอย่างเรา แล้วเคยโดนกระทำย่ำยี โดยการเอาสถาบันมาทำลายกระบวนการนักศึกษา มาป้ายสีนักศึกษามาตลอด ตั้งแต่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขบวนการนักศึกษาถูกกล่าวหาว่าเป็นกระบวนการที่จะมาทำลายสถาบัน คือเราเห็นว่ามันเป็นการทำร้ายกัน ซึ่งตรงนี้มันเป็นอาวุธ และตรงนี้คุณสมัครกล้าที่จะเอามาพูดแทนทักษิณ

        แล้วผมไม่รู้ว่าคนเดือนตุลาที่เดินทางไปให้เขาแต่งตั้ง หรือเดินทางไปอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง เขาคิดอย่างไรกับการ เอาสิ่งที่เขาเคยเอามาทำลายพวกตน แล้ววันนี้เอาไปทำลายคนอื่น คุณไปยืนอยู่เบื้องหลังของคนที่ เอาอาวุธที่ร้ายแรงมาทำลายเราในอดีต มาทำลายคนอื่นเนี่ยมันรู้สึกเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมมองว่านายกฯ คนนี้ก็เจอภาวะที่ลำบากมาก แต่มีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้า ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเปลืองตัว เหมือนกับการที่ท่านบอกว่ากำลังขับรถบนถนนลูกรังที่ขรุขระ พายุฝนกำลังมาก็เขากล้า ตรงนี้ก็น่าติดตามกันต่อไป จึงขอความเห็นใจจากสื่อบางส่วน ไม่รู้ว่าจะเข้าหูสื่อบางส่วนนี้หรือไม่ เพราะทุกวันนี้สื่อมวลชนถือว่าเป็นมหาอำนาจเหมือนกันนะ คือ เมื่อก่อนสื่อชอบว่าคนอื่นปราบปราม แต่เดี๋ยวนี้สื่อก็มีความเป็นมหาอำนาจไม่เบาเลยนะ

    หลังจากการรัฐประหารได้มองบทบาทของสื่ออย่างไรบ้าง

        คือ สื่อมีจุดยืนของตัวเองแล้ว คิดอย่างไร เลือกข้างอย่างไร เลือกไปเลย หมายถึงว่าโดยหลักแล้วคือทิศทางใหญ่ของเขานะ แต่ว่าขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ในที่นี้หมายความว่าสื่อที่เป็นเผด็จการในตัวเองทั้งหมดก็จะไม่ยอมให้มีความที่คิดต่างกับตัวเองเล็ดลอดเข้ามาในสื่อตัวเองเลย แต่บางสื่ออาจจะเป็นธุรกิจ มีภาพรวมในตัวเองใหญ่และกว้างขวางหน่อย ก็อาจจะต้องยอมให้มีทรรศนะที่แตกต่างเข้ามาให้ดูเหมือนเป็นกลาง แต่ว่าโดยภาพรวมแล้ว สื่อดูแล้วไม่ค่อยเป็นกลางในทรรศนะผมนะ

         ส่วนคำว่ามหาอำนาจในความหมายของผมนั้นคือ บางทีเราบอกว่ามีรัฐมนตรีคนหนึ่ง หรือนักการเมืองคนหนึ่งมีอำนาจ มีอิทธิพล บางทีหัวหน้าผู้สื่อข่าวบางคนก็มีอำนาจอิทธิพลเหมือนกัน เช่น อาจจะมีอำนาจจากสายตำรวจ สายทหาร หรือสายนักการเมือง มีความสัมพันธ์กัน ดูแลกัน ควบคุมกัน สังคมเราเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ฉะนั้นสื่อบางรายก็เป็นมหาอำนาจเหมือนกัน ไม่ใช่จะว่าแต่นักการเมือง เพราะนักการเมืองไม่แข็งจริงยังถูกสื่อกำราบได้เลย

    ในเรื่องของการนำเบื้องสูงมาใช้ในกระบวนการเคลื่อนไหวนั้น ตรงนี้มองว่าเป็นสูตรสำเร็จในการเคลื่อนไหวไหม

        ทุกครั้งในการทำลายป้ายสีกัน เพราะมันง่ายที่สุดที่จะทำให้คนเชื่อ และทำให้ผู้นั้นพ่ายแพ้ เหมือนที่นายกฯ ทักษิณโดน เรื่องอื่นไม่เท่าไร พอพูดเรื่องนี้ก็สะดุด

    ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือที่จะนำมาใช้ นอกจากวิธีนี้

        ต้องไปถามเขานะว่าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ เขาถึงใช้วิธีการแบบนี้ ต้องดูด้วยว่าคนที่ใช้วิธีการแบบนี้จะเป็นกลุ่มเดิมๆ คือกลุ่มผู้มีอำนาจในกลุ่มพวกอำมาตยาธิปไตยที่สูญเสียอำนาจไป กลุ่มพวกนี้ใช้เล่นงานมาตลอด อำมาตยาธิปไตยที่รู้สึกว่าจะสูญเสียอำนาจจะยกสถาบันมาทำลายคนอื่น

    การที่ คุณสมัคร สุนทรเวช ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ลงต่อระบอบอำมาตยาธิปไตย แล้วจะไม่โดนคนกลุ่มนี้เล่นงานเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ

        คุณสมัครนั้นเป็นคนจงรักภักดีต่อสถาบันมากที่สุด ถ้าจะมีความขัดแย้ง ก็จะมีความขัดแย้งในแนวทางการบริหารบ้านเมืองที่แตกต่างกัน อย่าลืมว่าคุณสมัครเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยที่ ท่านธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วท่านธานินทร์เป็นองคมนตรีคนหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นตรงนี้ไม่ใช่ว่าคุณสมัครจะโดดเดี่ยว ในสายของสถาบัน คุณสมัครกลับมีศักยภาพที่แข็งแกร่งกับการที่เป็นคนจงรักภักดี และได้มานั่งดูแลบ้านเมือง ตรงนี้จะเป็นข้อเปรียบเทียบที่ว่าคนที่จงรักภักดีทุกฝ่ายจะทำงานออกมาโดยที่ไม่ต้องถูกใส่ร้ายป้ายสีได้ไหม เพราะถ้าป็นคนธรรมดาจะเปราะบางมาก แต่เป็นท่านสมัครนั้นจะเอาสีไปราดก็ไม่ได้...ราดให้ใครเชื่อยาก เพราะฉะนั้นโอกาสตรงนี้เนี่ยน่าจะเป็นโอกาสที่จะพอฟัดพอเหวี่ยงกันในการต่อสู้ทางการเมือง ถ้าพ้นจากคนนี้ไป นึกไม่ออกว่าจะเอาใคร แล้วใครคนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกทำร้ายทำลายเหมือนเดิมหรือเปล่า

    บทบาทของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติที่ขณะนี้บอกว่าเคลียร์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วถึงวันนี้มีโอกาสที่จะกลับมาทำการปฏิวัติอีกครั้งไหม

         ผมไม่รู้ข้อมูลอะไรมากมายในส่วนของทหาร แต่เท่าที่ฟังดูเขาไม่ใช่ตัวจริงนะ คนที่มาทำรัฐประหารเป็นเพียงคนที่ถูกชูให้เป็นผู้นำรัฐประหาร ตัวการเป็นคนอื่น คนที่ไม่ได้มีบทบาทนำแบบนี้ เพราะฉะนั้นตัวท่านเองอาจไม่ใช่คนที่จะมาทำอะไรต่อไป น่าจะลดบทบาทไปเรื่อยๆ เพราะอำนาจที่แท้จริงของคนที่จะทำมันยังไม่เปิดเผย

    คุณสนธิ บุญยรัตกลิน เคยพูดว่าได้คุยกับอดีตนายกฯ ทักษิณ เหมือนพี่เหมือนน้อง

        ประเด็นอันหนึ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นว่า เวลาบ้านเมืองวิกฤตินั้น ถ้าเราแยก เราอย่าแยกเป็นฝ่าย อย่างเช่น ถ้าฝ่ายทหารเนี่ยไม่เป็นเอกภาพ อันนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเสมอมา ยกตัวอย่าง 14 ตุลา พลังประชาชนเป็นแสน อาจมองว่าทหารปราบไม่ไหว แต่จริงๆ แล้วทหารปราบไหว แต่เพราะทหารขัดแย้งกันเอง คือมีทหารฝ่ายที่ไม่เอากับจอมพลถนอม จอมพลประภาส และยืนอยู่ฝ่ายข้างนักศึกษา เพราะฉะนั้นถ้าทหารแตก ประชาชนได้รับชัยชนะ ถ้ามามองในยุคนี้เป็นยุคที่ทหารมีเอกภาพจึงร่วมกันทำรัฐประหาร แม้จะมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจในการคุมกองทัพ จนกลายเป็นการทำรัฐประหารได้สำเร็จ

         ต่อไปนี้ก็ต้องดูว่าคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ว่าจะมีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน แต่ ผบ.ทบ. คนปัจจุบันพูดในเชิงที่เป็นประชาธิปไตยให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

    ประชาชนควรจะให้อภัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หรือเปล่า

         คนที่ทำรัฐประหารชาติบ้านเมืองนั้นประชาชนไม่ควรให้อภัยอยู่แล้ว ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา คนที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ใส่ร้ายป้ายสีคนเนี่ย เราไม่ควรให้อภัยอยู่แล้ว จริงๆ เราควรบันทึกเป็น ตำราบอกเหล่าขีดเขียน หรือเล่าบอกต่อกัน หรือสอนสั่งด้วยซ้ำไป เนื่องจากเราไม่มีตรงนี้ต่างหากบ้านเมืองเราถึงวนมาเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย

         เราจะให้อภัยคนที่ทำร้าย ปรีดี พนมยงค์ ได้อย่างไร ให้อภัยคนที่ทำร้าย อ.ป๋วย ได้อย่างไร คนที่ทำร้ายคนดีๆ ในประวัติศาสตร์เราให้อภัยไม่ได้ เราควรจะเอามาเปิดโปงให้เห็นธาตุแท้ที่อยู่เบื้องหลัง ความคิดที่มันทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายควรจะเล่าบอกต่อๆ กัน ทำหนังสือเรียน เป็นตำราเรียนให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าการต่อสู้ของคนรุ่นนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ในทรรศนะของผม คิดว่าคนพวกนี้ไม่ควรให้อภัย เพื่อที่จะไม่มีอีก เพราะถ้าเราให้อภัยคนพวกนี้ก็จะทำอีก

    ต่อไปนี้จะทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดการรัฐประหารอีก

         มีได้ในรัฐธรรมนูญไง ขึ้นอยู่ว่าคุณจะร่างรัฐธรรมนูญอย่างไร ถ้าเกิดฉีกรัฐธรรมนูญอีก เขียนให้มันมีผลย้อนหลัง มันเขียนได้หมดถ้าจะเขียนนะ จะเขียนให้คนที่มาฉีกรัฐธรรมนูญแล้วจะจัดการอย่างไรก็ว่ากันไปในข้อกฎหมายก็ได้ มันขึ้นอยู่กับการตกลงกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเราจะเอาเงื่อนไขอะไร แล้วเราก็ปฏิบัติตามนั้น ถ้าเกิดเราไม่ยอมรับเงื่อนไขไม่ตกลงกัน ไม่ยอมรับกันด้วยใจ ด้วยคุณธรรม ด้วยมโนธรรมแล้วเนี่ย ให้เขียนด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ไม่มีประโยชน์ รัฐธรรมนูญร่างได้ก็ทำลายได้

    ฉบับเต็มอ่านที่
    http://www.prachatouch.com/content.php?id=2191

     
     

    จากคุณ : นักกวนเมือง - [ 12 ก.พ. 51 18:11:15 A:58.8.204.196 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom