ตามหัวข้อเลยค่ะ วานผู้รู้ด้านกฏหมายรบกวนช่วยตอบให้หายข้อใจ
อ่านมาหลายกระทู้ บางยาวมากจนอ่านไม่ไหว เลยขอตั้งประเด็นใหม่ให้ปวดหัวกันต่อ ตามนี้
เมือได้ศึกษาข้อมูล ในประเด็น CL ยังคิดว่าการทำ CL ทำได้อย่างถูกต้องตามที่ WTO ได้เปิดช่องไว้ให้ได้ 3 กรณี ตามเอกสารนี้จริง แต่ว่าสงสัย การทำทีผ่านมาของไทย ดูยังคลางแคลงใจว่าขั้นตอนถูกต้องและโปร่งใสหรือไม่ ???
ข้อมูลอ้างอิง : http://www.tncathai.org/cmsdd/fileupload/tncathai/White%20Paper%20final%5B1%5D.pdf
จะว่าด้วยเรื่อง CL โดย
2. การใช้สิทธิโดยหน่วยงานของรัฐ
2.1 เพื่อประโยชน์ในการประกอบกิจการอันเป็นสาธารณูปโภคหรือการอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ หรือป้องกันหรือบรรเทาการขาดแคลนอาหาร ยา หรือสิ่งอุปโภค บริโภคอย่างอื่นอย่างรุนแรง เพื่อประโยชน์สาธารณอย่างอื่น ในกรณีนี้รัฐ (พ.ร.บ.สิทธิบัตรไทยมาตรา 51) กำหนดให้เป็นอำนาจของกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องสามารถประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตรได้ โดยไม่ต้องเจรจากับผู้ทรงสิทธิบัตรก่อน แต่จะต้องแจ้งการใช้สิทธิโดยรัฐดังกล่าวต่อผู้ทรงสิทธิบัตรโดยมิชักช้า และจะต้องเสียค่าตอบแทนการใช้สิทธิต่อผู้ทรงสิทธิและจะต้องยื่นขอเสนอค่าตอบแทนและเงื่อนไขในการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรต่ออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาด้วย
2.2 ในภาวะสงครามหรือในภาวะฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจออกคำสั่งใช้สิทธิตามสิทธิบัตรใด ๆ ก็ได้เพื่อการอันจำเป็นในการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงแห่งชาติ โดยเสียค่าตอบแทนที่เป็นธรรมแก่ผู้ทรงสิทธิบัตร และต้องแจ้งให้ผู้ทรงสิทธิบัตรทราบเป็นหนังสือโดยไม่ชักช้า
เท่าที่อ่านเอกสารมาคิดว่าหมอมงคลคงใช้ช่องตามเงื่อนไขการทำ CL ข้อ 2 การใช้สิทธิของหน่วยงานรัฐ เงื่อนไข ข้อ 2.1 เพราะ 2.2 คงใช้อ้างไม่ได้เพราะจะใช้ได้ในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งการพิจารณาสภาวะฉุกเฉิน ต้องประกาศโดยคำสั่งผ่านมติของคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 52 การกระทำที่ผ่านไม่มีมติ ครม. รองรับ คาดว่านพ.มงคลใช้อำนาจตามมาตรา 51 ในฐานะ รมต. กระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นประกาศทำ CL
แต่อาจจะด้วยความบกพร่องด้านเทคนิคบางประการ ทำให้การประกาศ CL ยา 3 รายการที่ผ่านมาไม่โปร่งใส หากแม้จะทำได้ตามกฎหมายไทย แต่กฎหมายระหว่างประเทศทำถูกขั้นตอนหรือไม่ก็ต้องให้ผู้รู้ด้านกฎหมายให้รายละเอียดเพิ่มเติม เพราะบริษัทยาผู้เสียหายอาจฟ้องร้องได้ในภายหลัง
ตอนนี้ผลขั้นสุดท้ายยังไม่จบ ขึ้นกับว่าบริษัทยา Abbott จะตัดสินใจยื่นฟ้องร้องเอาผิดกฎหมาย พรบ. สิทธิบัตร ปี พ.ศ 2535 ว่ามีการทำผิดขั้นตอนระหว่างประเทศหรือไม่ ??
และจากการกระทำที่ผ่านมาของไทยทำให้ต้องตอบข้อครหา จากประชาคมโลกในประเด็นต่างๆดังนี้
1.รัฐบาลไทยทำไมเร่งรีบประกาศซีแอลโดยไม่มีความจำเป็น เพราะสถานการณ์ยังอยู่ในวิสัยที่จะเจรจาได้ แต่ก็ยังไม่มีการเจรจาระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัทยาหรือตัวแทนอุตสาหกรรมนวัตกรรมยา
(ส่วนใหญ่ตัวแทนบริษัทยายินดีลดราคายาให้ แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่สนใจ และยังเดินหน้าประกาศทำ CL อย่างต่อเนื่องนับแต่การประกาศยา CL ตัวแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย 2549 ที่ผ่านมา)
2.การบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางการค้าสากล โดยเฉพาะยาที่ให้ผลในการรักษาโรคหัวใจ
3.กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นการประกาศใช้ซีแอลเป็นเครื่องมือหลักในการลดราคายา และเอื้อประโยชน์แก่การผูกขาดของรัฐในตลาดยาเป็นสำคัญ ด้วยการยึดสิทธิบัตรยาจำนวนหนึ่งของบริษัทต่างชาติในประเทศไทย แล้วเอาไปให้องค์การเภสัชกรรมผลิตโดยไม่สนใจผลกระทบอื่นใด (จริงๆมีอีกหลายวิธีที่จำทำให้ราคายาลดลงโดยไม่ต้องทำ CL)
4.แนวโน้มการลงทุนในไทยมีทิศทางถดถอยลงจากมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่มีต่อสิทธิบัตรยา...ไทยมีงบประมาณเพียงพอจะช่วยเหลือด้านสาธารณสุขแก่ผู้ยากไร้ แต่เลือกที่จะไม่จัดสรรเงินนั้นสำหรับการสาธารณสุข ในทางกลับกัน หน่วยงานด้านกลาโหมของไทยกลับได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นกว่า ๑ พันล้านเหรียญสหรัฐ (๓๕,๐๐๐ ล้านบาท)
5.การประกาศซีแอลตามกฎหมายระหว่างประเทศทำได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่นมีโรคติดต่อร้ายแรงอย่างซาร์ส ไข้หวัดนก หรือโรคเอดส์ แต่กรณีรัฐบาลไทยประกาศซีแอลกับยาพลาวิกซ์ซึ่งมีผลต่อการรักษาโรคหัวใจไม่น่าจะอยู่ในข่ายนี้ การซีแอลยาตัวนี้อยู่นอกกฎเกณฑ์ของทริปส์และองค์การการค้าโลกอย่างแน่นอน
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 51 20:54:27
จากคุณ :
Pin_Ph
- [
12 ก.พ. 51 20:31:32
A:125.25.175.24 X:
]